xs
xsm
sm
md
lg

“จุฬาราชมนตรี”วอน“มุสลิม”รักแผ่นดินไทย-เลิกแบ่งแยกศาสนา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“จุฬาราชมนตรี”วอนชาวมุสลิมยุติความคิดแบ่งแยกศาสนา ชี้เป็นคนไทยเหมือนกัน-มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ด้าน“เชษฐา”เผยรัฐบาลเตรียมเสนออภัยโทษผู้หลงผิดในเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่“พัลลภ”ค้านหนักแนวคิด “บิ๊กจิ๋ว”ตั้ง“มหานครปัตตานี”เชื่อเข้าทางกลุ่มแบ่งแยกดินแดน

ที่สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามประจำประเทศไทย เขตมีนบุรี พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร รมว.กลาโหม ได้เดินทางเข้าพบ นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรี เพื่อหารือในเรื่องการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ โดยภายหลังการหารือ นายสวาสดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้คนไทย 60 กว่าล้านคน ตระหนักว่าเราเกิดมาในประเทศไทยซึ่งถือว่าเป็นบุญ เพราะในอดีตญี่ปุ่น และมหาอำนาจพยายามเข้ามายึดเมืองไทย พระนารายณ์ก็ยกกองทัพต่อต้านร่วมกับคนอิสลามของเจ้าพระยาเชกอาหมัด จนสามารถปราบญี่ปุ่นลงได้ เพราะฉะนั้นอิสลามทั่วประเทศไทย ขอให้ภูมิใจได้ว่า ในการรักษาเอกราชของชาตินี้ คนอิสลามก็ร่วมกับชาวพุทธยืนหยัดรักษาชาติไว้ได้

นายสวาสดิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 รัฐธรรมนูญมาตรา 5 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า ชนชาวไทยไม่ว่า เพศ กำเนิด ศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เสมอกัน เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้คนไทยเท่าเทียมกัน ไม่มีคนไทยชั้น 2 ไม่มีศาสดาองค์ใดเกิดในประเทศไทย ศาสนาอิสลามมาจากอาหรับ ศาสนาคริสต์มาจากปาเลสไตน์ ศาสนาพุทธมาจากอินเดีย พระพุทธเจ้าก็เกิดที่ลุมพินี เราต่างคนต่างรับศาสนาแต่ละศาสนามานับถือ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่น่าจะแบ่งแยก และควรที่จะรักกันมากกว่า หากมีศาสดาเกิดขึ้นในเมืองไทยก็ว่าไปอย่าง

วอนสื่อฯ เขียนข่าวอย่าใช้โจรมุสลิม-กบฏมุสลิม
นายสวาสดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีการแปลงตำราผิด จึงกำลังออกคำชี้แจงว่าที่ถูกเป็นอย่างไรในเร็วๆ นี้ ในส่วนของระยะเวลาทำก็คงไม่นาน เพราะทุกฝ่ายต่างร่วมมือกันเป็นอย่างดี คิดว่าคงไม่นาน สื่อมวลชนก็ควรที่จะทำให้เกิดความรัก เพราะการเขียนบางอย่างเช่น โจรมุสลิม กบฏมุสลิม การเขียนอย่างนี้ยิ่งจะทำให้เกิดการแตกร้าว และทำให้คนมุสลิมส่วนใหญ่เห็นว่าคนร่วมชาติพยายามผลักเขาออกไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงการล้างคำสาบานของวัยรุ่นที่หลงผิด นายสวาสดิ์ กล่าวว่า โดยปกติเรื่องทุกอย่างมันมีทางแก้ไขได้ หากคำสาบานถูกต้อง เราก็สามารถแก้ไขได้ แต่หากเป็นการสาบานที่ไม่ถูกหลักวิธี เราก็ไม่ถือว่าเป็นคำสาบานที่ต้องแก้ไข เรื่องนี้มันก็เหมือนคนเป็นโรค มีวิธีการรักษา 3 อย่างคือ 1.รักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย 2.รักษาหาย ไม่รักษาตาย 3.รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย ยกตัวอย่าง หากเส้นโลหิตใหญ่ขาด เราสามารถป้องกันไม่ให้เลือดไหลเราก็รอด ปล่อยไว้เราก็ตาย หากเป็นเอดส์ หรือมะเร็ง ไม่รักษาก็ตาย รักษาก็ตาย เพราะฉะนั้นสังคมเรายังไม่เป็นเอดส์ในเรื่องความสงบ เป็นแต่เพียงเส้นเลือดใหญ่ขาด ทั้งกลาโหม มหาดไทย และแม่ทัพภาค 4 ก็พยายามหาหมอมาปิดเส้นเลือดตรงนี้อยู่

เผยหาแนวทางอภัยโทษให้กับคนที่หลงผิด
ด้าน พล.อ.เชษฐา กล่าวว่า สาเหตุความไม่สงบในภาคใต้นั้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดมาจากความไม่เข้าใจ สืบเนื่องจากกรณีที่แปลคัมภีร์ออกไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง เราก็ต้องทำให้ทุกคนเข้าใจที่ถูกต้องเหมือนกัน เมื่อทำได้ทุกอย่างก็จบ เพราะเท่าที่ได้ข้อมูลมา พี่น้องส่วนใหญ่ยังยึดติดกับเรื่องของ“ซุมเปาะ”มาก แต่เท่าที่คุยทางจุฬาราชมนตรี ก็เรียนให้ทราบว่ามีทางแก้ไขได้ เมื่อถามถึงแนวคิดในการอภัยโทษ พล.อ.เชษฐา กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดหาแนวทางในการอภัยโทษให้กับบุคคลที่หลงผิดอยู่ โดยพิจารณาจากต้นตอการทำผิด หากไม่หนักหนาสาหัส และหากทุกคนพร้อมที่จะสำนึกในการกระทำความผิด และพร้อมกลับเนื้อกลับตัวได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าอภัยอย่างยิ่ง คนที่ทำผิดแล้วสำนึกในความผิด ถือเป็นสิ่งที่ดีกว่าคนที่ทำดีอยู่แล้วด้วยซ้ำไป

ขณะที่ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รองผอ.รมน.) กล่าวคัดค้านอย่างรุนแรงต่อแนวคิดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ที่จะให้จัดการปกครองท้องถิ่น จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เป็น
มหานครปัตตานีว่า เพราะมีความหมายเหมือนกันกับการแบ่งแยกดินแดน หรือการปกครองพิเศษ ตามความต้องการของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นความต้องการของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานนาย วัน กาเดร์ เจ๊ะมัน ประธาน Bersatu ก็เคยเสนอคล้ายๆ อย่างนี้มาแล้ว และเมื่อ 50 ปีก่อน นาย หะยี สุหรง โต๊ะมีนา ก็เคยเสนอรัฐบาลเรื่องการปกครองตนเอง คล้ายๆ อย่างนี้มาแล้วด้วย เพราะในการปกครองเอง เก็บภาษีเอง มันก็คือการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเหมือนการปกครองเป็นรัฐปัตตานีในรูปแบบหนึ่ง

ไม่เห็นด้วย“บิ๊กจิ๋ว”ยกแดนใต้เป็น“มหานครปัตตานี”
พล.อ.พัลลภ กล่าวต่อว่า แม้ พล.อ. ชวลิต จะพยายามพูดว่าจะทำให้เหมือนการบริหารของเมืองพัทยาก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันแตกต่างกัน เนื่องจากพัทยาเป็นแหล่งท่องเที่ยว เศรษฐกิจดี และยังอยู่ในการปกครองของผู้ว่าราชการ จ.ชลบุรี และอำเภอ คอยดูแลอยู่ แต่ถ้าจะให้ จ.ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส มาเป็นมหานครปัตตานี ก็เหมือนเป็นรัฐปัตตานี ซึ่งก็จะเข้าทางพวกที่มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน อีกทั้งขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทยได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจากเดิมที่มีการตั้งกองกำลังอยู่ในป่าเขา แต่ในช่วง 5 ปี มานี้ กลุ่มนี้ได้ต่อสู้ในพื้นที่ชุมชน และเข้ามาอยู่ในพื้นที่ชุมชน ทำให้เกิดปัญหา และปราบปรามได้ยาก ซึ่งการแก้ปัญหายังคงต้องใช้มาตรการเชิงรุก และทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำๆ หยุดๆ และจะต้องทำทั้งการปราบปราม ป้องกัน การพัฒนาที่ยั่งยืน เชื่อว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี

ด้านนายนิรันดร์ พันทรกิจ ผู้อำนวยการสำนักจุฬาราชมนตรี ได้กล่าวระหว่างการสัมมนาโครงการวิทยากรมุสลิมเพื่อความมั่นคงว่า ได้มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาเอกสารการต่อสู้ที่รัฐปัตตานี หรือเบอร์ญีฮาด ดี ปัตตานี เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า 1.การอ้างคัมภีร์อัลกุรอาน มีการเขียนภาษาอาหรับผิด มีการเขียนเพิ่ม แปลผิด และอรรถาธิบายผิด 2.แนวคิดของผู้เขียนเอกสารเชื่อว่า การต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนออกจากการปกครองของไทย เป็นการต่อสู้ทางศาสนา หรือญิฮาด หรือผู้ที่ตายในหนทางศาสนา หรือซาฮีด

วอนชาวมุสลิมอย่าไปหลงเชื่อคัมภีร์นรก
3.ได้แบ่งคนเป็น 3 กลุ่มคือ ผู้ที่ยอมรับแนวทางการต่อสู้ตามเอกสาร ผู้เป็นมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยเป็นพวกมูนาฟิก หรือพวกกลับกลอก และ ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น หรือพวกนอกศาสนา โดยคนกลุ่มแรกต้องจัดการกับคนกลุ่มที่สอง และสาม 4.วิธีการสร้างแนวคิดจากผู้เขียนที่สร้างแบบจำลองทางประวัติศาสตร์มุสลิม โดยเฉพาะการดึงเรื่องสงครามของศาสดา รวมถึงการสร้างความเชื่อเรื่องชาติพันธ์ 5.ใช้ไสยศาสตร์ มีการใช้บางข้อความ หรือมีการใช้วิธีหมุนแหวน และดูอา หรือการสวดมนตร์ เพื่อไม่ให้คนมองเห็น 6.ทำให้คนทั่วไปเห็นว่าทัศนะอิสลามไม่ยอมรับเรื่องเสรีทางศาสนา

“จากเนื้อความ 65 หน้า พอสรุปได้ว่า คนเขียนพยายามเทียบตัวเองเท่ากับศาสดา แต่หลักคำสอนตามคัมภีร์อัลกุรอานชัดเจนว่า เรามีศาสดาองค์เดียวเท่านั้น การเขียนเช่นนี้จึงเป็นการบิดเบือน ซึ่งทางคณะกรรมการฯ ได้คุยกันว่า ในสัปดาห์หน้าเราจะพิมพ์เอกสารในการชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้พี่น้องมุสลิมได้รับทราบ และอย่าไปหลงเชื่อเอกสารที่มีจุดประสงค์ปลุกระดมเช่นนี้ โดยต้องอาศัยผู้รู้ในการอธิบาย

แนะต้องให้ผู้รู้จริง เข้าร่วมอธิบายแนวทางแก้ปัญหา
นายนิรันดร์ กล่าวอีกว่า การจัดอันดับการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลผิดขั้นตอนมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะแนวคิดในการพัฒนา ด้วยการทุ่มงบประมาณจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท โดยงบประมาณทุ่มไปที่ 2 ส่วนใหญ่ๆ ที่กำหนดจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนแรกคืองบประมาณป้องกันและปราบปรามในส่วนของตำรวจ และทหาร ส่วนที่สองงบในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และส่วนที่สาม งบประมาณในการดำเนินการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งปรากฏว่าน้อยมาก ทั้งที่ปัญหาวันนี้หนักถึงขนาดที่มีคนเสียสละชีวิตด้วยความเชื่อ ดังนั้นจะไปแก้ด้วยการเลี้ยงปลาดุก เลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ อาจจะผิดทาง เพราะแนวทางคือ ต้องให้ผู้รู้ไปอธิบาย และดำเนินการด้วยองค์กรศาสนา

ด้านนายอิสมาแอล อาลี อาจารย์ประจำวิทยาลัยอิสลามปัตตานี กล่าวว่า เอกสารดังกล่าว ถือเป็นอันตรายต่อพี่น้องมุสลิมมาก เพราะเราไม่รู้เลยว่าเข้ามาอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างไร และที่สำคัญคือ ทำให้พี่น้องของเรา 100 กว่าคนตกเป็นเหยื่อของเอกสารฉบับนี้ จึงอยากเรียกร้องให้เหล่าบรรดาโต๊ะครูช่วยกันชี้แจงในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าเป็นไปตามแนวทางที่ผู้เขียนเอกสารปลุกระดมนำเสนอแล้ว พวกเราที่นั่งอยู่ในที่นี้ก็ไม่ปลอดภัย และอาจถูกมองจากพวกมูนาฟิกว่า มาทำงานร่วมกับรัฐบาล

33 ตัวแทนมุสลิม ไม่เห็นด้วยชี้แจง“เบอร์ญิฮาด ดี ปัตตานี”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนาที่เป็นตัวแทนจากมุสลิม 33 จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่จะมีการเผยแพร่คำชี้แจงแก้เอกสาร“เบอร์ญิฮาด ดี ปัตตานี”เพราะจะเป็นการขยายความให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งไม่ควรให้ความสำคัญมากมาย ควรจะมุ่งแนวทางการใช้คัมภีร์อัลกุรอานในการสั่งสอนมากกว่า

ขณะเดียวกันนายดำรง พุฒตาล สว.กรุงเทพ กล่าวว่า สิ่งที่ตนเรียกร้อง และต่อสู้มาตลอดคือ การให้มุสลิมเข้าไปทำหน้าที่เป็นทูตในนามประเทศไทย เพื่อไปประจำในสถานทูตต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอิสลาม แต่เท่าที่ปรึกษาหารือกับนายสุรเกียรติ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศ ทราบว่า ข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศยังไม่ Performance พอ โดยเฉพาะในสาขารัฐศาสตร์การทูต จึงอยากเรียกร้องให้พี่น้องมุสลิม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ให้สนใจในการเรียนสาขานี้มากขึ้น เพราะเท่าที่ทราบ มุสลิมของไทยที่เดินทางออกไปศึกษาต่างประเทศ จะเรียนทางด้านนิติอิสลามเป็นส่วนใหญ่

นายดำรง กล่าวต่อว่า รู้สึกเห็นใจกับมุสลิมในประเทศไทยที่เดินทางไปศึกษาในประเทศลิเบีย เพราะมักถูกมองว่าไปเรียนวิชาการก่อการร้าย ทั้งที่ความจริงสถาบันการศึกษาก็สอนหลักสูตรปกติ ความเชื่อดังกล่าวเกิดจากสื่อของมหาอำนาจที่ต้องการให้ภาพของลิเบียเป็นเช่นนั้น และจากการเดินทางไปกับคณะของนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา รองนายกฯ ทำให้ทราบว่า ขณะนี้ประเทศลิเบียเปิดมาก นักธุรกิจไทยให้ความสนใจไปลงทุน ซึ่งทางประเทศลิเบียเขาก็อยากให้เราเปิดสถานทูตลิเบียในประเทศไทย เพื่อความสะดวกในเรื่องการขอวีซ่า และเป็นช่องทางในการอำนวยความสะดวกในการเข้าออกประเทศอีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น