“วัฒนา อัศวเหม” เตรียมเปลี่ยนชื่อ “พรรคราษฎร” เป็น“พรรคมหาชน”พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ14 ก.ค.นี้ขณะที่ “เอนก”แจงพรรคทางเลือกที่ 3 เกิดจากอุดมการณ์ ไม่ใช่พรรคเฉพาะกาลที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แย้มรายชื่อบุคคลหลายวงการที่จะมาร่วมงาน มี“สังศิต”ช่วยงานอยู่เบื้องหลังด้วย
วันนี้ (3ก.ค.)นายวัฒนา อัศวเหม หัวหน้าพรรคราษฎร เปิดเผยว่า พรรคราษฎรจะมีการเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคมหาชน อย่างแน่นอน ส่วนการดำเนินการทางการเมืองจะต้องหารือกับคณะกรรมการบริหารพรรคทั้ง 35 คน ให้เรียบร้อยก่อน โดยมีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการไปบ้างแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ขัดข้องที่จะให้พรรคราษฎร เปลี่ยนชื่อมาเป็นพรรคมหาชน โดยมีนักวิชาการและคนรุ่นใหม่ นักธุรกิจบางคนที่มาพูดคุยกันก็เห็นด้วย ทั้งนี้ มีเงื่อนไขที่พูดคุยกันคือ จะเป็นพรรคที่ไม่มีศัตรูทางการเมือง และนักการเมืองรุ่นเก่าจะเป็นเฉพาะผู้ให้คำปรึกษาเท่านั้น รวมทั้งตนด้วย จะสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ทำงานทางการเมือง โดยหลังจากที่มีการประชุมระหว่างกลุ่มของพรรคราษฎรกับผู้ที่จะร่วมก่อตั้งพรรคมหาชนในวันพรุ่งนี้แล้ว ก็จะมีการแถลงเรื่องนี้อีกครั้งในวันพุธนี้
นายวัฒนา กล่าวอีกว่า ได้มอบหมายให้นายมั่น พัธโนทัย นายปาน พึ่งสุจริต และนายอรรคพล สรสุชาติ เป็นผู้ไปดำเนินการในเรื่องของเอกสารต่าง ๆ และแจ้งให้ กกต. ได้รับทราบในเรื่องการเปลี่ยนชื่อพรรคหลังจากนี้ ในวันที่ 14 ก.ค. ทุกอย่างก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย และพร้อมที่จะเปิดตัวพรรคมหาชน อย่างเป็นทางการได้
ด้านนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเกี่ยวกับการตั้งพรรคการเมืองทางเลือกที่ 3 ว่า ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดอะไรมาก เนื่องจากทางครอบครัวขอไว้ เพราะขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์บิดาที่เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนสบายใจกันได้ว่า พรรคการเมืองทางเลือกที่ 3 ซึ่งจะชื่ออะไรนั้นยังไม่ได้ข้อยุติ จะเป็นพรรคที่มีทั้งอุดมคติ อุดมการณ์ ให้มากที่สุด เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน พรรคการเมืองนี้เกิดขึ้นจากความต้องการของประชาชนและผู้ที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ที่ไม่อยากเห็นการเมืองถูกครอบงำโดยพรรคการเมืองพรรคเดียว และไม่อยากเห็นประชาชนไม่มีทางเลือก จึงได้คิดร่วมกันและไปขอการสนับสนุนความร่วมมือจากกลุ่มที่มีประสบการณ์ทางการเมืองอีกกลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองนี้จะใช้เพียงอุดมคติและอุดมการณ์คงไม่ได้ จะต้องมีสัจจะนิยม มีความรู้ความเข้าใจในความเป็นจริงประกอบกันด้วย ทุกคนที่มาอยู่ร่วมกันก็ได้คำนึงถึงเรื่องนี้
เมื่อถามว่า อุดมการณ์และอุดมคติของพรรคจะเพียงพอต่อการดึงความรู้สึกของประชาชนให้หันมาสนับสนนุมากกว่าพรรคไทยรักไทยหรือไม่ นายเอนก กล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นของประชาชน ส่วนใหญ่อยากจะเห็นพรรคการเมืองที่เป็นทางเลือกใหม่เกิดขึ้นอีกพรรคหนึ่ง และพวกตนก็มีความตั้งใจที่จะให้เป็นพรรคพหุนิยม ไม่ต้องการให้เป็นทวิพรรค หรือมีแค่ 2 พรรค ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาปรามาสพรรคทางเลือกที่ 3 นั้น ก็สุดแล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะพูดอะไร แต่ขอให้ดูไปเรื่อย ๆ
เมื่อถามว่า ในทางการเมืองเมื่อแยกตัวออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ยังจะเป็นพันธมิตรกันต่อหรือไม่ นายเอนก กล่าวว่า ขณะนี้เราต้องการความเป็นตัวของตัวเอง อย่างไรก็ตาม เราก็พร้อมที่จะทำงานร่วมกับคนที่เห็นตรงกับเรา คนไทยไม่อยากให้มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว โดยมีคนโทรศัพท์มาแสดงความดีใจ เห็นด้วย โล่งใจ ที่จะมีทางเลือกใหม่ให้กับบ้านเมือง ส่วนตนที่ยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น คงต้องไปหารือกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคฯ ก่อน เพราะบุคคลทั้งสองเป็นที่เคารพและชื่นชมของตนและครอบครัว และขอยืนยันว่า การแยกตัวออกมา เป็นคนละลักษณะกับเหตุการณ์ 10 มกรา เพราะไม่ได้เกิดจากความแตกแยกหรือขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคการเมืองนี้เกิดขึ้นบนเงื่อนไขที่มีปัญหาในบ้านเมือง และไม่ได้ตั้งขึ้นเป็นพรรคการเมืองเฉพาะกาลหรือชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และพร้อมที่จะดำเนินการทุกอย่างให้ทันกับการเลือกตั้งในปี 2548
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายเอนก ได้เปิดเผยรายชื่อของบุคคลจากวงการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นนักวิชาการ องค์กรเอกชนที่จะเข้ามาร่วมงานกับพรรค เช่นนพ.ประยงค์ เต็มชวาลา นายสน รูปสูง นายสานิตย์ พลศรี นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ เป็นต้น ส่วนนักวิชาการที่ให้การสนับสนุนและเสนอแนะเบื้องหลัง คือ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สำหรับนักการเมืองยังไม่เปิดเผย อย่างไรก็ตาม จะมีการเปิดตัวผู้ที่จะมาเข้าร่วมพรรคทางเลือกที่ 3 ไปเรื่อย ๆ และบางคนจะได้เป็นกรรมการบริหารพรรค