xs
xsm
sm
md
lg

"มหานครปัตตานี"รูปแบบปกครองพิเศษที่เป็นไปได้

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• แม้จะเป็นสิ่งที่ เป็นไปได้ยากมากในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ก็น่ายินดีที่ผู้กล้าหาญเสนอ แนวคิดนอกกรอบ ประเด็น การแก้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกมาอย่างไม่หวั่น ก้อนอิฐ นอกเหนือจาก ข้อเสนอเชิงสัญลักษณ์ ว่าด้วยการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก ไทย กลับไปเป็น สยาม ล่าสุด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ยังได้ไปปราศรัยที่บริเวณ มัสยิดกรือเซะ พูดถึง มหานครปัตตานี ที่จะเป็น เขตปกครองตนเองปัตตานี ในลักษณะเดียวกับ เมืองพัทยา ซึ่งต้องถือว่าเป็นการปราศรัยที่ กล้าหาญ, ไม่ถนอมตัว เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันมีความเป็นไปได้สูงมากว่าอาจจะทำให้ท่าน ถูกโจมตีอย่างหนัก ว่า สนับสนุนกบฏ, สนับสนุนการล้มล้างรัฐ และ สนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่ต่างกับที่ท่านเคยประสบชะตากรรมถูกกล่าวหามาแล้วว่า สนับสนุนสภาเปรซิเดียมแบบโซเวียต ขอโอกาสให้ผู้น้อย “เซี่ยงเส้าหลง” ที่เพียรเสนอสิ่งที่เรียกว่า Autonomous Region มาแล้ว ณ ที่นี้ หลายครั้งหลายหน คารวะด้วยใจจริง

•• พิจารณาดูถ้อยคำแล้ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พูดอย่างมี เงื่อนไขบังคับก่อน โดย ไม่ผูกมัดตนเอง โดยมีคำว่า “ถ้า...” และ “อาจ...” เสมือนเป็นการเสนอสิ่งที่ “เซี่ยงเส้าหลง” จะขอเรียกว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มีความเป็นไปได้มากกว่า ขึ้นมาเปรียบเทียบกับ ผลิตภัณฑ์เก่า ในนาม ประเทศปัตตานี ที่โดยเนื้อแท้ ขายไม่ออก มานานแล้ว

•• อะไรคือ สารัตถะ รวมทั้ง เงื่อนไขบังคับก่อน ที่จะต้องเกิดขึ้นก่อน “เซี่ยงเส้าหลง” ขอให้ดูจากคำปราศรัยส่วนนี้ “...ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันสร้างสันติสุข ด้วยการถอยหลังคนละ 3 ก้าว ยุติความขัดแย้ง ยุติความหวาดระแวง และร่วมมือกันพัฒนาปัตตานีให้เป็นเมืองเป็นมหานครปัตตานี หากทุกฝ่ายร่วมมือกันทำให้เป็นบ้าน เมืองที่สงบ ประชาชนมีการศึกษา มีคุณภาพชีวิต มีงานทำ ต่อไป...อาจมีการสถาปนาให้มหานครปัตตานีเป็นเขตปกครองตนเอง เช่นเดียวกับเมืองพัทยา สามารถบริหารจัดการท้องถิ่นได้เอง.” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงวัย 72 ยังได้พูดถึง ทฤษฎีดอกไม้หลายสี ที่จะต้องประกอบไปด้วย หลายศาสนา, หลายเชื้อชาติ และให้รายละเอียดว่าจะมี พระราชบัญญัติเฉพาะ ที่ให้อำนาจ เก็บภาษีเอง, เลือกตั้งกันเองทุกระดับจนถึงระดับผู้ว่าราชการจังหวัด โดยฟันธง หัวใจของปัญหา ไว้ว่า “...เราต้องยอม รับว่าความรู้สึกในหัวใจของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือการดูแลปกครองตัวเอง มีอิสระ เสรีภาพในการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยผ่านทางการปกครองท้องถิ่น ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข.” ท่านพูดเช่นนี้ทั้งที่ มัสยิดกรือเซะ และที่ วัดช้างให้ โดยมีการขยายความว่า มหานครปัตตานี นั้นจะขยายขึ้นมาจาก อบจ.ปัตตานี โดยรวม ยะลา, นราธิวาส และรูปแบบการปกครองตนเองของท้องถิ่นเป็น มหานคร เช่นนี้เป็น นโยบายรัฐบาล ที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายพื้นที่เช่น มหานครภูเก็ต (รวม พังงา, กระบี่) และ มหานครเชียงใหม่ (รวม เชียงราย) โดยจะพัฒนาเป็นขั้นตอนจาก อบจ. เป็น เมือง ก่อนที่จะเป็น มหานคร จะเห็นได้ว่าเป็นเนื้อหาที่กล่าวได้ว่า นอกกรอบ และ เสี่ยงต่อการถูกทำให้เข้าใจผิด จริง ๆ หากคนกล่าวนโยบายเช่นนี้ออกมาเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คงจะเป็น ข่าวพาดหัวใหญ่ กว่าที่เป็นอยู่ 100 เท่า เป็นแน่

•• พูดก็พูดเถอะ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน น่ะ ขายไม่ออก จนกลายเป็นขบวนการไม่ใหญ่ไม่โตอยู่ นอกประเทศ แต่จากความละเลยและความผิดพลาดบางประการในช่วง ปี 2544 – 2546 และเพียงชั่วระยะเวลา 6 เดือน ของ ปี 2547 ขบวนการที่ไม่มีอะไรนี้สามารถ ยกระดับตนเอง ขึ้นมาได้อย่าง น่าตกใจ ทีเดียว

•• ทั้ง ๆ ที่ ผลิตภัณฑ์เก่า ยี่ห้อ ประเทศปัตตานี นั้นเป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ในทุกกรณี แต่เพราะอำนาจรัฐส่วนกลางของประเทศไทยก็ไม่มี ผลิตภัณฑ์ใหม่ ออกมา เปรียบเทียบ ข้อเสนอที่ประกาศออกมาจากปาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ถือเป็น ครั้งแรก ที่ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะ มีโอกาสเลือก ระหว่าง ชีวิตใหม่ 2 แบบ แบบหนึ่งคือการไม่ให้ความร่วมมือภาครัฐเต็มที่อันจะทำให้ ขบวนการก่อความไม่สงบเติบโต และนำมาซึ่ง ความรุนแรงหลากหลายรูปแบบไม่มีที่สิ้นสุด อีกแบบหนึ่งการให้ความร่วมมือกับภาครัฐเต็มที่เพื่อ กำจัดขบวนการก่อความไม่สงบ เพื่อที่ในอนาคตจะได้มีโอกาส ปกครองท้องถิ่นตนเองภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่ง เป็นไปได้สูงกว่า อย่างแน่นอน

•• อันว่ารูปแบบ ปกครองท้องถิ่นตนเอง ในลักษณะ รูปแบบพิเศษ เป็น เมือง, นคร หรือ มหานคร ที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เสนอออกมานั้นไม่ใช่ การแบ่งแยกดินแดน, การสูญเสียอธิปไตย หรือ การยอมจำนน หากแต่เป็นปกติธรรมดาของประเทศทั่วโลกที่อาจจะมีรูปแบบ Autonomous Region, Autonomous State หรือ Local Autonomyคำ ๆ นี้ ศ.ประยูร กาญจนดุล ศาสตราจารย์ทางกฎหมายปกครองและราชบัณฑิตเคยแปลไว้ได้ กระชับอย่างยิ่ง ว่า อัตตาณัติ เป็นคำสนธิที่มาจาก อัตตา แปลว่า การถือตนเองเป็นใหญ่ กับคำว่า อาณัติ แปลว่า การมอบหมายให้ดูแลปกครอง ซึ่งถ้าหากพิเคราะห์ให้ดี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 282 – 290 ก็ได้บรรจุ หลักอัตตาณัติของท้องถิ่น ไว้แล้วแต่ยังคง ปฏิบัติไม่เต็มที่ เพราะสังคมไทยยังคงห่วงใยใน ความมั่นคง และติดอยู่ในกรอบของสิ่งที่เรียกว่า รัฐเดี่ยว ใครเสนอ รัฐอัตตาณัติ ขึ้นมาเป็นต้อง แตกพ่าย ไปเพราะข้อกล่าวหา แบ่งแยกดินแดน, ทำลายรัฐเดี่ยว และ ทำลายความมั่นคงของรัฐ ทั้ง ๆ ที่ในโลกยุคปัจจุบันนั้นควรหมดยุคของ กฎหมายแนวดิ่ง ควรเริ่มต้นยุคของ กฎหมายแนวขวาง รูปแบบของ Autonomous ควรจะมี หลากหลายในประเทศไทย ตั้งแต่ เมืองพัทยา ที่ยุคต่อไปจะเป็นที่ตั้งของ เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ + กาสิโน ไปจนถึง ภูเก็ต – พังงา - กระบี่ ที่สามารถสร้างเป็น แหล่งรองรับนักลงทุนทดแทนสิงคโปร์ รวมทั้ง เชียงใหม่ - เชียงราย และ ฯลฯ หรือแม้แต่ กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันก็คือการรวม 2 จังหวัด พระนคร, ธนบุรี และต่อไปจะต้องแตกตัวออกมาเป็น 4 – 13 มหานคร แล้วแต่กรณีที่มี ลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน อันจะทำให้ กฎหมายลำดับรอง ของแต่ละพื้นที่ แตกต่างกันไป ด้วย

•• เวลาพูดถึง Autonomous Region ที่อาจแปลได้ว่า มณฑลพิเศษ (หรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ) ในรูปแบบ มหานคร อย่าคิดแต่เฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วไพล่ไปพูดถึง การแบ่งแยกทางเชื้อชาติ, การยอมจำนน แต่ควรคิดไปไกลถึง ลักษณะเฉพาะ ของแต่ละ กลุ่มท้องถิ่น ที่จะต้องมี ลักษณะเฉพาะ และต้องการ กฎหมายเฉพาะ, รูปแบบบริหารเฉพาะ เพื่อ ประสิทธิภาพสูงสุด เป็นสำคัญ

•• และ Autonomous Region จะมีได้ตาม สภาพความเป็นจริง และ ความพร้อม แต่ละมณฑลแต่ละเขตต่างมี ลักษณะเฉพาะ, กฎหมายเฉพาะ และ รูปแบบเศรษฐกิจเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน นาทีนี้ตราบใดที่ยัง ไม่ได้รับความร่วมมือเต็มที่จากประชาชน ก็ยังไม่ต้องพูดถึง มหานครปัตตานี ในขณะเดียวกันก็ต้อง แสดงความจริงใจ โดยให้กำเนิด มหานครอื่น ที่ พร้อมกว่า อย่างเช่น มหานครภูเก็ต, มหานครเชียงใหม่, มหานครพัทยา(ใหม่) ให้ดูเป็น ตัวอย่าง ได้

•• จะพูดว่าเป็น การซื้อความสนับสนุน หรือ เสนอขายผลิตภัณฑ์ กับ ประชาชน ก็ไม่เห็นจะผิดแปลกอะไร “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าสารัตถะในทุก สงคราม ก็คือ การแย่งชิงประชาชน ในอดีตยุคสงครามกับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อำนาจรัฐส่วนกลางของเราเคย เสนอขาย ผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ ถนน, สะพาน หรือ การพัฒนา แต่ ไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ปรับเปลี่ยนมา เสนอขายผลิตภัณฑ์ใหม่เป็น ระบอบประชาธิปไตย ครั้งนี้จะแปลกอะไรที่เราจะ เสนอขาย ผลิตภัณฑ์ใหม่อีกครั้งเพื่อสู้กับผลิตภัณฑ์เก่าของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน, ขบวนการมุสลิมจารีตนิยม ที่ดู เท่ แต่เต็มไปด้วย ทุกข์ยาก น่าคิดไหม

•• ต่อให้ยืนหยัดปฏิเสธ การแบ่งแยกดินแดน อย่าง หลับหูหลับตา จนปัดข้อเสนออย่าง มหานคร หรือ Autonomous Region ออกไป “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าหากเหตุการณ์ยัง ไม่คลี่คลาย ในทางปฏิบัติก็เสมือนเกิด การแบ่งแยกดินแดน ขึ้นมาแล้วเพราะขณะนี้ก็เกิด คนไทย(พุทธ)อพยพ กันอยู่ทุกวัน

•• ที่จริงเรื่อง มหานคร หรือ Autonomous Region นั้นก็เรื่องเดียวกันกับชื่อประเทศ ไทย – สยาม นั่นแหละ มิจฉาทิฐิ ที่ครอบงำสังคมไทยมานานอยู่ที่การถูก ครอบงำจิตสำนึก อย่าง รอบด้าน ในยุคนโยบาย ชาตินิยม, รัฐนิยม สมัย จอมพลป. พิบูลสงคราม เราถูกมอมเมาอยู่กับการศึกษาประวัติศาสตร์ที่มุ่งสนใจ รากเหง้าของคนเชื้อชาติไทย ว่าเคย ยิ่งใหญ่กว่าใคร แม้กระทั่งแต่กับ จีน เราท่องจำมาว่าเรามีรากอยู่ที่ ภูเขาอัลไต แล้วถูก รุกราน จน ถอยร่น ลงมาเพราะ ความดี ที่ รักสงบ เราไปยัดเยียดความเป็น รัฐสมัยใหม่ ให้กับอาณาจักร สุโขทัย, อยุธยาและเราละเลยที่จะศึกษาเพื่อทำความเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับ เพื่อนร่วมแผ่นดินปัจจุบัน ไม่ว่า ลาว, เขมร, ญวน, มอญ รวมทั้ง มลายู ด้วย

•• ขอทิ้งท้ายอีกครั้งว่า ชื่อนั้นสำคัญไฉน กรณีว่าด้วยชื่อ สยาม กับ ไทย และกรณี มหานคร นี้โปรดอย่าพิจารณาแต่ รูปแบบ (อย่าง ตายตัว) ขอให้ยึดถือ สารัตถะ โดยแยกระหว่าง การสร้างรัฐ กับ การสร้างชาติ เพราะในยุคนั้นหรือยุคก่อนหน้าล้วนเป็น การสร้างรัฐ เนื่องจากถึงที่สุดแล้ว การสร้างชาติ จะมีขึ้นมาได้ก็บนพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่า “...ความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี ด้วยชีวิตจิตใจที่เป็นเจ้า ของร่วมกัน.” เป็นสำคัญ

•• มีบทความชิ้นหนึ่งของ จิตร ภูมิศักดิ์ เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว เรื่อง ชนชาติ <ภาษา และรัฐ บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้ดียิ่ง “เซี่ยงเส้าหลง” ขอนำบางส่วนมาให้อ่านกันในล้อมกรอบใกล้ ๆ นี้

•• งานชิ้นนี้เป็น ต้นร่างที่ไม่เคยตีพิมพ์มาก่อน เพิ่งจะตีพิมพ์ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม – พฤษภาคม 2547 และกำลังจะพิมพ์เป็น ภาคผนวก ของ ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ – ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม วันนี้เปิด http://www.matichon.co.th/art/art.php?srctag=0606010547&srcday=2004/05/01&search=no อ่านไปพลาง ๆ ก่อนได้

ชนชาติ ภาษา และรัฐ
จิตร ภูมิศักดิ์


เรื่องของชนในรัฐเป็นเรื่องของประชาชาติ ไม่ใช่ชนชาติ.
ชนชาติหาได้มีบทบาทกำหนดขอบเขตของรัฐไม่.


ปัจจุบันนี้ชนเชื้อชาติลาวที่มีอยู่ในภาคอีสานของประเทศไทยนั้น มีถึงแปดล้านคน มากกว่าที่อยู่ในประเทศลาวเองเสียอีก. ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องรัฐกับชนชาติหรือเชื้อชาติ จึงมักจะเอียงกระเท่ไปศึกษาเรื่องราวของเชื้อชาติ, ศึกษาประวัติของเชื้อชาติ แทนการศึกษาประวัติศาสตร์แห่งสังคมในรัฐ. ผลก็คือ พากันบ้าคลั่งเชื้อชาติ (Racialism) หรือเป็นนักลัทธิคลั่งชาติ (Chauvinism) คิดแต่จะไปรวบเอาชนเชื้อชาติเดียวกันภายนอกประเทศ มารวมกับประเทศตน หรือคิดแยกชนเชื้อชาติตนไปรวมกับประเทศอื่นที่มีเชื้อชาติเดียวกัน ให้วุ่นวายไปหมด.
ถ้าคนไทยก็คิดจะรวบเอารัฐชานซึ่งเป็นพวกไทใหญ่ และไตลื้อสิบสองปันนา ตลอดไปจนถึงผู้ไทในเวียดนามเหนือ ; ชาวลาวก็คิดจะรวบเอาภาคอีสานของไทย ; ชาวเขมรก็คิดจะรวบเอาดินแดนฟากใต้แม่น้ำมูล ; ชาวพม่าก็คิดจะรวบเอาดินแดนกะเหรี่ยงทางด้านตะวันตก ; ชาวมลายูก็คิดจะรวบเอาดินแดนสี่จังหวัดภาคใต้ของไทย และหลาย ๆ ประเทศก็เป็นไปในทำนองนี้, โลกจะเป็นอย่างไร ? ก็ต้องทำสงครามเพราะลัทธิคลั่งชาติกันเรื่อยไป และก็ไม่มีวันจะตกลงอะไรกันได้.

นี่แหละคือผลร้ายของการเรียนประวัติศาสตร์โดยวิธีผิด ๆ ที่พวกฝรั่งถ่ายทอดทิ้งไว้ให้

นั่นคือแทนที่จะเรียนประวัติศาสตร์ของสังคมไทยที่อยู่ภายในการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจและการเมืองเดียวกัน ซึ่งสังคมนี้ประกอบขึ้นด้วยหลายชนชาติอันมีไทย ลาว เขมร มลายู ฯลฯ เรากลับถูกพวกฝรั่งจูงให้ไปมุ่งเรียนแต่ประวัติศาสตร์ของชนเชื้อชาติไท-ไต, ไปสืบสาวราวเรื่องเรียนเรื่องของสังคมน่านเจ้าในเขตยูนนานของประเทศจีนเสียเป็นคุ้งเป็นแคว แล้วมาเริ่มศึกษาประวัติของชนชาติไทยในแหลมทองเอาเมื่อสมัยสุโขทัยและศรีอยุธยา.

การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยที่ถูกต้องจะต้องเริ่มกันใหม่

นั่นคือศึกษาประวัติความเป็นมาแห่งสังคมบนผืนดินอันเป็นเอกภาพผืนนี้

ศึกษาย้อนขึ้นไปตามลำดับ จากอยุธยาไปสู่ละโว้, พิมาย, สุโขทัย, โยนก, ศรีธรรมราช, ไชยาหรือศรีวิชัย, จานาศปุระ, ทวารวดี, พนมหรือฝูหนาน ฯลฯ

ศึกษาให้ทราบว่าสังคมบนเอกภาพแห่งดินแดนนี้ พัฒนาขึ้นมาจากลักษณะใด มาสู่ลักษณะใด มีประวัติการณ์ของชนชาติใดมาบ้างบนผืนแผ่นดินนี้

และทั้งหมดนี้รวมกันคือประวัติศาสตร์ของประชาชาติไทย อันประกอบด้วยหลายชนชาติ และผ่านยุคสมัยมาหลายสมัย บางสมัยก็ชนชาตินี้เป็นชนชั้นปกครอง
บางสมัยก็ชนชาตินั้นเป็นชนชั้นปกครอง ; ส่วนชนชาติใดอพยพมาจากที่ไหนนั้น เป็นเพียงส่วนประกอบทางตำนานอันเป็นข้อปลีกย่อย เป็นเรื่องของมานุษยชาติวิทยาเท่านั้น.

การศึกษาด้วยทรรศนะเช่นนี้เท่านั้นจึงจะได้รับความรู้ที่เป็นประวัติศาสตร์แห่งสังคมในรัฐเอกภาพหนึ่ง ๆ ที่แท้จริง และจะไม่ก่อให้เกิดลัทธิคลั่งชาติหรือหลงเชื้อชาติ อันนำมาซึ่งความเพ้อฝันแผ่อิทธิพล หรือน้อยเนื้อต่ำใจคิดแบ่งแยกเอกภาพ.

ทั้งนี้เพราะประวัติศาสตร์ที่ศึกษาในแนวนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ของสังคมที่ทุกชนชาติเป็นเจ้าของ, เป็นผู้เคยมีบทบาทมาแล้ว, และก็ยังจะมีบทบาทต่อไปอีกในอนาคตภายในเอกภาพแห่งดินแดนนี้.

ทุกชนชาติได้เคยมีหุ้นส่วนในดินแดนที่เป็นเอกภาพนี้มาแล้วแต่โบราณ, มีหุ้นส่วนในการสร้างสังคมนี้มาแล้วแต่โบราณ และก็ยังจะมีอยู่ต่อไป.
เอกภาพของรัฐหรือสังคมเกิดจากพื้นฐานเศรษฐกิจและความไหวตัวทางการเมือง มิได้เกิดขึ้นจากหรือกำหนดขึ้นจากเชื้อชาติ นี่เป็นความจริงที่เราจะต้องปลูกฝัง.

เรื่องที่คิดจะกำหนดเอกภาพของรัฐหรือสังคมขึ้นจากเชื้อชาตินั้น เป็นเรื่องของความเพ้อฝันที่ไม่อาจเป็นจริง และไม่เคยเป็นความจริงมาก่อนเลยในอดีต.

ความคิดอย่างนั้นขัดต่อความจริงของชีวิต เพราะชีวิตในสังคมรวมศูนย์กันด้วยเศรษฐกิจและการเมือง มิใช่ด้วยเชื้อชาติ.

ความคิดอย่างนั้นรังแต่จะก่อให้เกิดความหายนะแก่มนุษยชาติทุกเชื้อชาติ ดังเช่นลัทธินาซีของฮิตเลอร์เคยก่อมาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น.

เอกภาพของดินแดนและสังคมที่เป็นประเทศไทยทุกวันนี้ เป็นผลิตผลสืบทอดลงมาจากการไหวตัว, ต่อสู้, สร้างสรรค์ ของชนหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ที่นี่. ชนเหล่านี้ได้ไหวตัว ต่อสู้ สร้างสรรค์ มาตั้งแต่ครั้งก่อนประวัติศาสตร์ คือมีประวัติการณ์มาตั้งแต่สมัยหินดังที่เราได้พบร่องรอยอยู่มากมายหลายแห่งทั่วประเทศ.
แล้วทำไมเราจึงจะไปตัดทุกอย่างทุกชนชาติทิ้งหมด, เรียนกันแต่ประวัติการณ์ของชนชาติเดียว ;
แทนที่เราจะเริ่มเรียนประวัติการณ์ของสังคมบนผืนแผ่นดินนี้ตั้งแต่สมัยหิน, เรากลับหันหลังให้เสียหมดสิ้น แล้วเดินทางออกนอกประเทศไปเรียนประวัติการณ์ของสังคมอื่น เป็นต้นว่าน่านเจ้ากันเป็นวรรคเป็นเวร ?
นี่เป็นประวัติของเชื้อชาติ, ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของสังคมซึ่งหล่อหลอมขึ้นที่นี่ พัฒนาขึ้นที่นี่ มีชนชาตินั้นผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านออกไป อยู่ที่นี่.


สังคมไทยและผืนแผ่นดินไทยจะต้องเป็นเอกภาพ ข้าพเจ้าคัดค้านความคลั่งเชื้อชาติที่คิดแบ่งแยกเอกภาพนี้ทุกชนิด.

แต่ขณะเดียวกันเอกภาพของสังคมไทยนี้ และผืนแผ่นดินนี้ ก็ประกอบขึ้นจากหลายภูมิภาคและหลายชนชาติ ข้าพเจ้าคัดค้านการผูกขาดเรียนประวัติของชนเชื้อชาติเดียว, ภูมิภาคเดียว ตัดประวัติของชนชาติอื่นและภูมิภาคอื่นทิ้งไป.
รัฐประชาชาติกำหนดขึ้นด้วยเอกภาพทางเศรษฐกิจ การเมือง และเอกภาพแห่งดินแดน, มีเอกภาพทางภาษา กล่าวคือมีภาษาที่มีลักษณะทั่วไป ภาษาหนึ่งเป็นภาษากลาง, และมีเอกภาพทางวัฒนธรรม คือมีวัฒนธรรมที่มีลักษณะทั่วไปกระแสหนึ่ง เป็นวัฒนธรรมหลักของรัฐ.

องค์ประกอบของรัฐประชาชาติทั้งห้านี้จะละทิ้งเสียประการใดประการหนึ่งมิได้.

ฉะนั้นในขณะที่ศึกษาเรื่องราวของแต่ละชนชาติ ซึ่งมีภาษาเป็นของตนเอง และมีวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นเป็นของตนเองนั้น ก็จะเลยเถิดจนลืมเอกภาพทั้งห้าประการ, เกิดลัทธิคลั่งชาติหรือคลั่งท้องถิ่น (Provincialism) ขึ้น ไม่ได้เป็นอันขาด!

นี่คือทรรศนะและแนวทางศึกษาประวัติศาสตร์ที่ข้าพเจ้ายึดถือว่าถูกต้องที่สุด.

กำลังโหลดความคิดเห็น