xs
xsm
sm
md
lg

วันอภิวัฒน์สยาม - 24 มิถุนายน 2475

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ถือเป็นเรื่องน่าสลดหดหู่ยิ่งนักที่วันนี้ วันครบรอบ 72 ปีการอภิวัฒน์สยาม สังคมไทยมีอันต้อง ตกตะลึง กับปฏิบัติการลอบสังหารอย่างอุกอาจที่มีต่อ เจริญ วัดอักษร ผู้นำชุมชนแห่ง บ่อนอก ประจวบคีรีขันธ์ หวังว่ารัฐบาลจะดำเนินการ สืบสวน อย่าง เอาจริงเอาจัง ให้ได้ผลในเร็ววัน

•• วันนี้ วันที่ 24 มิถุนายน ในอดีตนับตั้งแต่ วันที่ 18 กรกฎาคม 2481 ในยุคของ คณะราษฎร ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา กำหนดให้เป็น วันชาติไทย โดยอาศัยเหตุผลตามนานาอารยประเทศจำนวนหนึ่งในลักษณะที่ว่าเป็น วันปฏิวัติประชาธิปไตย ที่เสมือนเป็น การเกิดใหม่ แต่ต่อมาเมื่อ วันที่ 21 พฤษภาคม 2503 ในยุครัฐบาลเผด็จการทหาร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ยกเลิก โดยเปลี่ยนแปลงใหม่ให้ วันชาติไทย ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม โดยอาศัยเหตุผลตามนานาอารยประเทศอีกจำนวนหนึ่งในลักษณะที่ว่า “...ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ โดยทั่วไปได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหา กษัตริย์ เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ เช่น ประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นต้น แม้ประเทศไทยเราเองก็ได้ถือเอาวันพระราช สมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยมาแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณี ของประเทศที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน จึงให้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ คือวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย.” เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ ความสำคัญ ของ วันที่ 24 มิถุนายน อันสื่อถึง การอภิวัฒน์สยาม เมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ก็มีอันต้อง เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์, ความทรงจำของคนรุ่นหลัง ยังคงเหลืออยู่แต่พิธีทำบุญรำลึกในแต่ละปีของผู้เกี่ยวข้องกับ คณะราษฎร โดยมี คนส่วนอื่นของสังคมไทย เข้าร่วมน้อยมาก

•• โดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และทฤษฎีการเมืองแล้ว วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในทัศนะของ ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือ Absolute Monarchy ไปเป็น ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือ Constitutional Monarchy ถือเป็น ก้าวแรก ที่จะเดินไปสู่ ระบอบประชาธิปไตย เท่านั้น

•• และเพียง ก้าวที่ 2 ในอีก 1 ปีถัดมา ปี 2476 คือ ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจ ก็มีอัน สะดุดหยุดลง เพราะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในหมู่ คณะราษฎร โดย ท่านปรีดี พนมยงค์ ถูกกล่าวหาว่าเป็น คอมมิวนิสต์ ในทัศนะของท่านตั้งแต่นั้นมาจนถึงก่อนหน้า ปี 2489 ปีที่บังคับใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ. ศ. 2489 ท่านไม่ถือว่าสยามประเทศอยู่ภายใต้ ระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ รูปธรรมที่พิสูจน์ได้คือในห้วง ปี 2482 ที่ จอมพลป. พิบูลสงคราม ในฐานะ นายกรัฐมนตรี จัดสร้าง อนุสาวรีย์ ขึ้นบริเวณ ถนนราชดำเนิน-สี่แยกตึกดิน แล้วดำริจะให้ชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ท่านที่ขณะนั้นเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็แสดงความคิดเห็นในเชิง คัดค้าน, ไม่เห็นด้วย พร้อมทั้งเสนอให้ใช้ชื่อว่า อนุสาวรีย์ 24 มิถุนา แทนที่

•• ที่ ท่านปรีดี พนมยงค์ เสนอเช่นนั้นก็เพื่อให้ ตรงกับความเป็นจริง เนื่องเพราะ สัญลักษณ์ทุกอย่าง ที่ประกอบขึ้นเป็นอนุสาวรีย์ล้วน เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ไม่มีอะไร เกี่ยวเนื่องกับระบอบประชาธิปไตยยกเว้นที่ ใกล้เคียง ก็เพียง พานรัฐธรรมนูญจำลอง แต่ก็เป็นความใกล้เคียงที่อาจทำให้ประชาชนทั่วไป เข้าใจผิดในสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ได้

•• ที่ว่าอาจทำให้ประชาชนทั่วไป เข้าใจผิด ก็คือไปเข้าใจว่า ขอเพียงแต่มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ก็เท่ากับมี ระบอบประชิปไตย รวมทั้งวัด ระดับความเป็นประชาธิปไตย ด้วย รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร เท่านั้น

•• สัญลักษณ์ต่าง ๆ ของอนุสาวรีย์ที่ ณ วันนี้มีนามว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เริ่มต้นจาก วันวางศิลาฤกษ์ ใช้ วันที่ 24 มิถุนายน 2482 ต่อด้วย ปีก 4 ด้าน ที่หมายถึง ความรุ่งโรจน์ กำหนดความสูงจากแท่นพื้น 24 เมตร ตามมาด้วย ป้อมกลางที่ตั้งพานรัฐธรรมนูญ กำหนดให้สูง 3 เมตร สื่อถึง เดือนที่ 3 นับตามปฏิทินเก่า หมายถึง เดือนมิถุนายน ส่วน ปืนใหญ่โบราณ รอบฐานอนุสาวรีย์จะพบว่ามีรวมทั้งสิ้น 75 กระบอก สื่อความหมายถึง ปี 2475 เช่นเดียวกับ พระขรรค์ 6 เล่ม ประกอบ บานประตูรอบป้อมกลาง หมายถึง หลัก 6 ประการของคณะราษฎร ดังนั้น ท่านปรีดี พนมยงค์ จึงเห็นว่าควรให้ชื่อว่า อนุสาวรีย์ 24 มิถุนายน แทนที่จะเป็น อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อันจะก่อให้เกิด ความเข้าใจผิด แก่ ประชาชนทั่วไป ว่า ประชาธิปไตยหมายถึงรัฐธรรมนูญที่จำลองภาพอยู่ในพานสูงเด่นกลางปีกทั้ง 4 ด้าน แต่คำทักท้วงของท่าน ไม่เป็นผล เช่นเดียวกับคำทักท้วงอื่น ๆ อีกมาก

•• ในฐานะที่เป็นวัน ครบรอบ 72 ปี ขอบันทึก หลัก 6 ประการของคณะราษฎร ไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็น เกียรติ แก่ คณะราษฎร ดังนี้

•• ประการที่ 1 -- จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง

•• ประการที่ 2 -- จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก

•• ประการที่ 3 -- จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุก ๆ คนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

•• ประการที่ 4 -- จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน

•• ประการที่ 5 -- จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น

•• ประการที่ 6 -- จะต้องให้การศึกษาเต็มที่แก่ราษฎร

•• จะพบว่าให้ความสำคัญกับ ปัญหาเศรษฐกิจ โดยบรรจุอยู่ใน ข้อ 3 เป็นลำดับก่อนหน้า ความเสมอภาค และ เสรีภาพ ที่อยู่ใน ข้อ 4, ข้อ 5 ดังนั้นเมื่อ ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจ มีอันต้อง ประสบปัญหา ใน ปี 2476 มุมมองของ ท่านปรีดี พนมยงค์ จึงถือว่า ระบอบประชาธิปไตย ในความหมายที่ แท้จริง, สมบูรณ์ นั้น ยังไม่เกิดขึ้น อย่างแท้จริง

•• สาเหตุสำคัญหนึ่งของ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มาจาก เศรษฐกิจตกต่ำ ในช่วง ปี 2475 ที่หากเทียบกับสถานการณ์โลกแล้วก็อยู่หลัง ปี 1930 จุดเริ่มต้น The Great Depression ประมาณ 2 ปี ประเทศไทยในรัชสมัย รัชกาลที่ 7 ต้องรับผลสะเทือนจาก ระบบเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะ ระบบราชการ ที่ต้องถูกปลดออกจำนวนไม่น้อยเพื่อ ดุลยภาพ อย่างที่ทราบกัน

•• ไม่เพียงแต่ ประเทศไทย เท่านั้นแม้ใน สหรัฐอเมริกา ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ แฟลงคลิน ดี. รูสเวลท์ เริ่มต้นโครงการที่เรียกว่า New Deal ช่วงแรกระหว่าง ปี 1932 - 1935 ตรงกับ ปี 2475 หลังจากได้รับเลือกเป็น ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และเริ่มช่วงที่ 2 ต่อเนื่องเมื่อได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 ระหว่าง ปี 1936 - 1939 ทั้งหมดใช้ระยะเวลาประมาณ เกือบ 10 ปีเต็ม เพื่อ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ-ระบบการเมือง ที่มีผลต่อ แนวทางและวิธีการเขียนกฎหมาย โดยเฉพาะใน กฎหมายแรงงาน, กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญใน ระบบทุนนิยมโลก ที่แนวคิดทางเศรษฐกิจของ ลัทธิเคนส์ โดย จอห์น เมนาร์ด เคนส์ เริ่มเข้ามาแทนที่ ลัทธิเสรีนิยมดั้งเดิม และมีผลเป็นการช่วย ต่ออายุระบบทุนนิยม ให้สามารถยืนหยัด ต่อสู้ กับ ลัทธิสังคมนิยม ได้

•• ถึงอย่างไรก็ตามความจริงก็คือวันนี้เมื่อ 72 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เมื่อ คณะราษฎร ประกอบด้วย ทหารบก, ทหารเรือ และ พลเรือน รวมทั้งสิ้น 115 นาย นำโดย นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ลุกขึ้นก่อการ ยึดอำนาจการปกครองประเทศ จาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็น ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ คณะผู้ประกอบการภายใต้ การวางแผน ของ พระยาทรงสุรเดช ใช้ กลลวง นำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม, ลานพระบรมรูปทรงม้า ได้ประมาณ 2,000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. เมื่อพร้อมแล้ว นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ยืนอ่าน แถลงการณ์คณะราษฎร ฉบับที่ 1 อันเป็นเสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายกันไปปฏิบัติ การ จุดยืนเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ของท่าน ณ วันนี้มี หลักฐานประวัติศาสตร์ เป็น หมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนนให้ รถยนต์ แล่นทับไปมาทุกวันจน ลายลักษณ์อักษรคลายความชัดเจนลงไป เช่นเดียวกับที่ ความจริงของเหตุการณ์เลือนหายไปจากความรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่มีใครคิดที่จะ ล้อมรั้ว ให้ หมุดประวัติศาสตร์ แม้เพียงจะเพื่อ เหตุผลทางการท่องเที่ยว (ที่แน่นอนละว่า ขายได้) จึงมิพักต้องถามหาว่าจะมี ใครสักคน หรือไม่ที่คิดจะ นำเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน 2475 กลับมาสู่หน้าประวัติศาสตร์และความรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่ อย่างสมบูรณ์


•• ในระยะหลังมักจะมี คำกล่าว ในเชิง Discredit มวลหมู่ คณะราษฎร (ที่ ณ วันนี้เหลือสมาชิกอยู่เพียง 1 คนเท่านั้นคือ กระจ่าง ตุลารักษ์ในวัย 92 ปี) ทำนองว่า “...คณะราษฎรใจร้อน.”, “...คณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม.” หรือ “...คณะราษฎรชิงปฏิวัติตัดหน้าก่อนที่ในหลวงรัชกาลที่ 7 จะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญตามพระราชปณิธาน.” ฟังแล้วคนรุ่นหลังที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านหลายคนอาจ เชื่อ ได้ง่าย ๆ

•• เรื่องนี้ ศุขปรีดา พนมยงค์ บุตรชายคนที่ 4 ของ ท่านปรีดี พนมยงค์ ที่อยู่ในวัย 69 ปี
จะมาตอบคำถามในรายการ สภาท่าพระอาทิตย์ ทาง 11 News 1 (แพร่ภาพทาง UBC 9, 19 และ 77 รวมทั้งถ่ายทอดเสียงทาง FM 97.5 Megahertz) ในวันนี้ วันที่ 24 มิถุนายน 2547 เวลา 08.30 – 09.00 น. รวมทั้งเล่า เกร็ดประวัติศาสตร์ ที่หาฟังไม่ง่ายนัก

•• แต่เท่าที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ศึกษามา แนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรืออย่างน้อยก็คือจัดให้มี รัฐสภา ให้มี รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร เกิดขึ้นจากทั้ง 2 ทาง โดยเฉพาะทางด้าน ในหลวงรัชกาลที่ 7 นั้นทรงมีพระราชปณิธานปรากฏเป็นหลักฐานต่อสาธารณะมาตั้งแต่ ปี 2474 ที่จะให้ ปีครบรอบ 150 ปีแห่งการก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ปี 2475 เป็น ปีพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ก็ ไม่สำเร็จ เพราะถูกยับยั้งจาก สภาคณะอภิรัฐมนตรี เรื่องนี้ คณะราษฎร จะ รู้ หรือ ไม่รู้ เชื่อว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่จะต้องนำมาอภิปรายกันยืดยาว ท่านปรีดี พนมยงค์ เองยืนยันในข้อเขียนหลายชิ้นว่า รู้ในภายหลัง ส่วนแนวคิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองทางด้าน คณะราษฎร นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ 2469 ณ หอพักชื่อ Rue du summerardใน กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กลุ่มผู้ร่วมหารือเป็นครั้งแรกประกอบไปด้วย ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี, ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ (ต่อมาคือ หลวงพิบูลสงคราม หรือ จอมพลป. พิบูลสงคราม), ร.ต.ทัศนัย มิตรภักดี, นายตั้ว ลพานุกรม, หลวงศิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี), นายแนบ พหลโยธิน และ ท่านปรีดี พนมยงค์ ที่แน่ ๆ ก็คือเมื่อเป็น เป้าหมายร่วมกันของทั้ง 2 ทาง จึงมีผลให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไป โดยสันติ ไม่ถึงกับ เลือดนองท้องช้าง และยังเป็นการส่งผ่านอำนาจที่ งดงาม, อารยะ ดังที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยบอกเล่ามาครั้งหนึ่งแล้ว

•• อย่าลืมว่าเย็นนี้ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ จะขึ้นปาฐกถาหัวข้อ การอภิวัฒน์ 2475 กับเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ เวลา 17.00 น. โดยก่อนหน้าจะมีการอภิปรายในหัวข้อ หนทางสู่สันติสุขยั่งยืนในชายแดนภาคใต้ – และแนวความคิดปรีดี พนมยงค์ โดย สุพจน์ ด่านตระกูล, อัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง, จรัล ดิษฐาอภิชัย ดำเนินการโดย สันติสุข โสภณสิริ เริ่มต้นเร็วหน่อยตั้งแต่เวลา 15.00 น. ว่างก็เชิญ


อำนาจกับความจัดเจน

ก่อนถึงอสัญกรรมไม่ถึง 3 ปี ท่านปรีดี พนมยงค์ให้สัมภาษณ์นิตยสาร Asia Week ฉบับวันที่ 28 ธันวาคม 2523 ไว้ตอนหนึ่งดังนี้

“ในปีค.ศ. 1925 เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้ว และได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี ข้าพเจ้าไม่มีความจัดเจน และโดยปราศจากความจัดเจน บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา

ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย

ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี...

“ในปีค.ศ. 1932 ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน...

“และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”

วาจาอมตะนี้ถือได้ว่าเป็นการวิจารณ์ตนเองอย่างกล้าหาญของรัฐบุรุษอาวุโสวัย 80 ปี ณ วันนั้น

กำลังโหลดความคิดเห็น