xs
xsm
sm
md
lg

ใครจะจ่ายค่าตัวเอกชัย ศรีวิชัย หลังเสธ.หนั่นทิ้งประชาธิปัตย์

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• เรื่อง พรรคที่ 3 ที่เชื่อกันว่าจะได้รับการช่วยเหลือในระดับใดระดับหนึ่งจาก พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ นั้นถ้า เกิดขึ้นได้จริง ก็น่าจะเรียกว่า พรรคใหม่ ไม่ใช่ พรรคที่ 3 เพราะไม่ได้ส่อแววเป็น พรรคทางเลือกที่ 3, พรรคขั้วที่ 3 ในความหมายที่แท้จริงแต่ประการใด พรรคที่ 3 อย่างมากก็จะเป็นไปในลักษณะเดียวกับ พรรค ชาติไทย, พรรคชาติพัฒนา (ที่ก็ไม่เห็นใครขนานนามว่า พรรคที่ 3) ซึ่ง หมดบทบาท, หมดอำนาจต่อรอง ไปเท่านั้นเอง พรรคใหม่ ที่ว่านี้จะยังคงทำงานการเมืองเพื่อให้มีตัวเลข ประมาณ +/- 50 ที่นั่ง เพื่อเป็น ตัวแปร ต่อ การช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง เพื่อเป็น พรรคร่วมรัฐบาล กับขั้วใดขั้วหนึ่ง “เซี่ยงเส้าหลง” ยังมองไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่า ภารกิจทางยุทธศาสตร์ ที่ ชัดเจน เลย

•• ที่สำคัญ ณ นาทีนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ จะ เอาจริงเอาจัง แค่ไหนอย่างไร ไม่ชัดเจน นอกจากตัวเองจะยังคงเป็น สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แล้ว พลพรรคสนามบินน้ำ ก็ยังคง อยู่ที่เดิม แม้แต่ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร เอาเข้าจริงแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะทิ้งตำแหน่ง ส.ว. ออกมา ลุย อย่างที่เคยเชื่อกัน

•• จะ คึกคักทางความคิด กว่าใคร ๆ ในกรณีนี้ก็เห็นจะมีเพียง อเนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่คิดในเชิง อุดมคติ หวังสร้างพรรคการเมืองในเชิง พรรคการเมืองของประชาชน ขึ้นมาโดยอาศัย ฐานเสียง จาก กลุ่มองค์กรภาคประชาชนจำนวนหนึ่ง ระยะหลัง ๆ เห็นสนทนาอยู่บ่อย ๆ กับ สุริยะใส กตะศิลา และในการทำกิจกรรมของพรรคในภาคอีสานก็ดึงนักวิชาการคนจน สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เข้ามา ร่วมงาน สอดคล้องกับข่าวอีกกระแสที่รายงานมายัง “เซี่ยงเส้าหลง” ว่า สุริยะใส กตะศิลา เองก็พยายามชักชวน นักธุรกิจที่สนับสนุนการ เมืองภาคประชาชน ที่เคยรวมตัวกันในนาม FOA – Friends of Anand เข้ามา ร่วมสร้างมิติใหม่ทางการ เมืองในระบบ แต่ดูเหมือนล่าสุดจะ ไม่มีเสียงตอบรับ จาก ปรีดา เตียสุวรรณ บอสใหญ่ของ แพรนดาจิวเวลรี่ ผู้เป็นมิตรแม้ในทุกสถานการณ์ของ อานันท์ ปันยารชุน เมื่อนักธุรกิจกลุ่มนี้ไม่เซย์โอเคเสียแล้วก็เท่ากับ ไม่มีเสบียง, ไม่มีกระสุน เรื่องที่หวังจาก กระเป๋า ของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะธรรมชาติของท่านผู้นี้คือ ผู้ประสาน, ผู้ขับเคลื่อน ไม่ใช่ ผู้ลงทุน และที่สำคัญยังมีปัญหาแนวทางที่แตกต่างกัน หมู่ ปิยมิตร ของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ หลากหลาย เช่นว่า สุริยะใส กตะศิลา, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ คงจะไม่แฮปปี้เป็นปฐมและไม่เอาด้วยเป็นมัธยมหากในพรรคการเมืองใหม่มี พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร เพราะถ้าจะเป็น อดีตส.ว. ก็น่าจะเป็น ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ แต่ล่าสุดรายหลังนี้ก็ยัง ไม่พร้อม จึง ไม่มีท่าทีตอบรับ สุดท้ายแล้วเรื่องนี้เห็นทีจะไม่เกิดขึ้นง่ายนัก

•• ที่สำคัญ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ไม่น่าจะ คิดเรื่องเดียวกัน กับ อเนก เหล่าธรรมทัศน์ แต่ที่ ไม่ขัด เพราะ ไม่มีอะไรเสียหาย มีแต่ เสริมภาพ, เสริมบารมี แค่ตกเป็นข่าวว่ามีพลังและบารมีพอจะเป็นหลักให้ พรรคใหม่ ก็ กำไร แล้ว

•• ก่อนหน้านี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ขนานนามกลุ่มที่ อเนก เหล่าธรรมทัศน์ เข้าไปสัมผัสว่า กลุ่มการเมืองพลังสำรอง เพราะ อานันท์ ปันยารชุน และ FOA (Friends of Anand) Alliance นี่แหละที่มีโอกาสจะเป็นอีก ทางเลือกของประชาชน หากรัฐบาลนี้ พลาดพลั้ง และรัฐบาลเองก็ดูเหมือน เกรง อย่างเช่นสถานการณ์ สงครามตัวแทน ใน วุฒิสภา เมื่อ 3 ปีก่อนที่บางคนในแวดวงรัฐบาลเคยให้ข่าวในทำนองว่าเบื้องลึกเบื้องหลังคือ กลุ่มทุนเก่าที่เสียผลประโยชน์ โดยสร้างรูปธรรมด้วยการนำ มีชัย วีระไวทยะ มาเป็น ตัวแทน ของ FOA เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะมีบางคนคิดเช่นนี้ ศักยภาพและความรู้ความสามารถ ระดับ นายกรัฐมนตรีคนที่ 19 คนนี้ยังพอจะคิดได้ว่าสามารถ come back ได้อย่างสบาย ๆ หากเกิด ทางตัน ว่าไปแล้วในรอบหลายปีมานี้ วิสัยทัศน์ ที่กว้างอยู่แล้วของ อานันท์ ปันยารชุน นับว่ายิ่งกว้างขึ้นกระทั่งอาจกล่าวได้ว่าบรรลุพรมแดนของ กรอบความคิดใหม่ ก็เพราะได้สัมผัสกับ ภาคประชาชน โดยเข้าไปร่วม สนับสนุน ในหลายงานด้วยกันตั้งแต่ ปากมูล มาจนถึง กบฎไอทีวี มีมิตรสหายนักกิจกรรมมวลชนหลากระดับตั้งแต่ ธีรยุทธ บุญมี, ประสาน มฤคพิทักษ์, ชัยวัฒน์ สุรวิชัย มาจนถึง วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ เพียงแต่โอกาสและจังหวะการกลับ ครั้งที่ 3 หากจะมีขึ้นได้ก็แต่ในสถานการณ์ ทางตันทางการเมือง ระดับต้องทะลุทะลวงหา ทางออก ด้วย Constitutional Coup ไม่ใช่ สถานการณ์ปกติ ที่จะต้องเล่นด้วย การตั้งพรรคการเมือง เช่นปัจจุบัน

•• จริง ๆ แล้ว การถอนตัว ออกจาก ประธานศูนย์อำนวยการเตรียมการเลือกตั้ง อาจจะไม่มีอะไรมากไปกว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เล็งเห็นแล้วว่าทำอย่างไรก็ ไม่มีทางชนะ และที่สำคัญ ไม่มีผู้ร่วมลงทุน สู้ พัก-รอจังหวะสถานการณ์ จะดีกว่า

•• วันนี้ กระแส ไม่ได้อยู่กับ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวโดยภาพรวมแล้วยังคงอยู่กับ พรรคไทยรักไทย แม้จะ ไม่เท่าเดิม ก็ตาม

•• เมื่อไม่มี กระแส ก็ไม่มี กระสุน ไม่มี ทุน แล้วจะให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ มานั่งเป็น หนังหน้าไฟ อยู่ในตำแหน่ง ประธานศูนย์อำนวยการเตรียมการเลือกตั้ง ให้ต้อง ลำบากใจ ทำไม

•• ว่ากันถึงที่สุดแล้ว จุดชี้ขาด ของ การเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเมืองไทย เป็นเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า กระแส ประเด็นที่ว่าอะไรคือ กระแส นี้มีคำกล่าวที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน คำคม หนึ่งใน Quotation ร่วมสมัยที่สุดแสนจะ คลาสสิค แม้จะออกมาจากปาก สตรีชาวอเมริกันธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ในการให้สัมภาษณ์สำนักสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา วันที่ 6 พฤศจิกายน 2527 ครั้งที่ โรนัลด์ เรแกน ชนะคู่แข่งขันชนิด Landslide อเมริกันอนงค์นั้นกล่าวว่า “…I liked how decisive President Reagan was during that crisis. I forgot which one. -- ดิฉันชอบการตัดสินใจเฉียบขาดของประธานาธิบดีเรแกนในวิกฤตการณ์ครั้งนั้น แต่ฉันจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร.” เป็นการแสดงให้เห็นว่าประชาชนเลือกผู้นำที่เขา รัก, ชอบ ใน ขณะนั้น โดยไม่สนใจปัญหาหรือข้อเท็จจริงใด ๆ ในกรณีนั้นประชาชนอเมริกันรู้สึกแต่เพียงว่า เรแกนเป็นผู้นำที่เข้มแข็งกว่าคู่ต่อสู้ ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้อาจจะชี้ ปัญหาและแนวทางแก้ไขที่ชัดแจ้งกว่า แต่ประชาชนก็ ไม่สนใจ เขาตัดสินใจจาก ท่วงทำนอง และ บุคลิก ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งแสดงผ่าน โทรทัศน์, วิทยุ และ หนังสือพิมพ์ โดย ไม่ได้ฟัง ว่าผู้สมัคร พูด อะไรบ้าง “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าก็เหมือนบ้านเราเมื่อ สมัคร สุนทรเวช ชนะเลือกตั้งเมื่อ ปี 2543 นั่นแหละ กระแส และ ความรู้สึก ต่างหากที่นำมาซึ่งชัยชนะหาใช่ นโยบาย ไม่

•• ในระยะยาว พรรคประชาธิปัตย์ จะ สะเทือน จากการถอนตัวของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หรือไม่ “เซี่ยงเส้าหลง” ยัง ไม่มีข้อมูล นอกเหนือไปจาก สูญเสียผู้ประสานงาน, สูญเสียผู้หาทุน เรื่องนี้ในระยะเฉพาะหน้าก็เริ่มมี ตัวอย่างเล็ก ๆ ให้เห็นกันแล้ว

•• ตัวอย่างที่ว่านี้คือกรณี เอกชัย ศรีวิชัย นักร้องลูกทุ่งคนดังที่ก่อนหน้านี้อยู่ใน แผนเตรียมการเลือกตั้ง ของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ว่าจะร่วมขบวน เดินสาย ไปกับ พรรคประชาธิปัตย์ ชนิด ปราศรัยที่ไหน, เปิดคอนเสิร์ตที่นั่น เรื่องนี้ได้รับความเห็นดีเห็นชอบจาก ผู้บริหารพรรค ในความเข้าใจว่า ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นทั้งปวง อยู่ใน ความรับผิดชอบ ของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เมื่อมาเกิดเหตุการณ์ ถอนตัว แม้ทุกคนอยากจะคง แผนเดิม แต่ก็เริ่มมี ปัญหาง่าย ๆ ตามมาคือ ใครจ่าย ก็ต้องดู ใจ ของ เอกชัย ศรีวิชัย ที่เดินเข้ามาทาง นิพนธ์ บุญญามณี จะพร้อมพอที่จะ ทำกุศล ให้หรือเปล่า

•• จำได้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อ 4 ปีก่อน ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ บอกว่ายุคปัจจุบันเป็นเรื่องของ การเมือง 2 ขั้ว 2 แนว 3 กลุ่มคน ประเด็นแรก 2 ขั้ว นั้นก็ชัดเจนว่าคือ ไทยรักไทย กับ ไม่ใช่ไทยรักไทย ในขณะที่ 2 แนว คือ การเมืองมียุทธศาสตร์มีรูปธรรมชัดเจน กับ การเมืองเชิงยุทธวิธีที่มีแต่หลักการ ส่วน 3 กลุ่มคน ก็คือ กลุ่มสนับสนุนและได้ประโยชน์จากโลกาภิวัตน์, กลุ่มเสียประโยชน์จากโลกาภิวัตน์ และ ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องโลกาภิวัตน์ ลองนำกรอบคิดนี้มาจับดูก็ไม่เสียหาย

•• ในขณะที่ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ฟันธงสั้น ๆ ง่ายด้วยคำที่ชัดเจนว่าเป็น การเมืองแบบปีศาจวิทยา เนื่องจาก "…พรรคไทยรักไทยใช้วิธีการหาเสียงโดยมีสัญญลักษณ์เป็นพรรคขันอาสา ใช้มนต์สะกดทำให้คนที่ไร้ความหวัง และเบื่อหน่าย ให้กลับมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง." แต่ กระแส ที่เกิดขึ้นก็มีโอกาสจะ ตีกลับ ได้ก็ด้วย วิกฤต 4 ประการ คือ การทวงถามนโยบาย, การหาเงินมาใช้จ่ายตามสัญญา, การจัดระเบียบภายในพรรค และ การท้าทายเชิงจริยธรรม แต่ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า วิกฤตยังไม่เกิดขึ้น ให้เห็น

•• ฟันธงสั้น ๆ จาก “เซี่ยงเส้าหลง” ว่า รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่เอื้อให้เกิด พรรคการเมืองทางเลือกที่ 3 ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่านี่เป็นรัฐธรรมนูญที่ เอื้อแต่พรรคใหญ่, ทำลายพรรคเล็ก และโดยธรรมชาติแล้ว พรรคการเมืองทางเลือก ย่อมต้องเป็น พรรคเล็ก เรื่องก็มีอยู่เท่านี้

•• ก่อนหน้า เลือกตั้งทั่วไป 6 มกราคม 2544 มีความพยายามที่จัดตั้ง พรรคการเมืองทางเลือก ขึ้นมาพรรคหนึ่งคือ พรรคถิ่นไทย แต่กฎเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ได้ ทำลาย ไปเรียบร้อย

•• โลกปัจจุบันและโลกอนาคตไม่อาจปฏิเสธ Green Movement หรือ Green Politic ที่เป็นทั้งรากฐานของ การเคลื่อนไหวของชุมชนภายในประเทศ และ กฎเกณฑ์การค้าโลก เพราะถึงที่สุดแล้ว ที่มา ของขบวนความคิดนี้ไม่ใช่เพียงแค่ แนวทางการเมือง, อุดมการณ์การเมือง หากแต่เป็น กติกาหรือกฎเกณฑ์ชุดใหม่ในการดำรงชีวิต ที่ตั้งอยู่บน 4 เสาหลัก คือ ระบบนิเวศ, ความเป็นธรรมทางสังคม, ประชาธิปไตยระดับรากฐาน และ สันติวิธี นอกจากจะมีการเคลื่อนไหวในระดับ องค์กรประชาชน แล้วยังยกระดับขึ้นเป็น พรรคการเมือง ขึ้นใน กว่า 70 ประเทศทั่วโลก โลกของ Green Politics จะมีศัพท์ใหม่ ๆ ที่มีความหมายเฉพาะเกิดขึ้นทั้ง ยูโธเปียสีเขียว, การเมืองสีเขียว, พรรคการเมืองสีเขียว, การเคลื่อนไหวสีเขียว และ ฯลฯ นักวิชาการที่นำมาประยุกต์ใช้ให้ เข้าใจง่าย คนหนึ่งคือ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ที่อรรถาธิบายไว้เมื่อปีเศษ ๆ ที่ผ่านมาว่า สีเขียว = สีเหลือง + สีน้ำเงิน ขยายความไว้น่าสนใจว่า “...สีเหลืองแทนแนวคิดในเชิงตะวันออก เชิงอารยธรรม เชิงภูมิปัญญา สีน้ำเงินแทนแนวคิดในเชิงอนุรักษ์ ซึ่งหมายความในทางกว้างคืออนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์ความเป็นมนุษย์ อนุรักษ์สิ่งที่ดีงามในสังคมไว้ สีเหลืองกับสีน้ำเงินรวมกันออกมาเป็นสีเขียว.” และต้นตำรับ การเคลื่อนไหวสีเขียว, การเมืองสีเขียว หรือ Green Politics ในบ้านเรา ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ (และ พิจิตต รัตตกุล) ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ แต่ติดขัดที่ กฎ 5 เปอร์เซ็นต์ ขวางกั้นไม่ให้มีโอกาส

•• คงจำกันได้ว่า พรรคถิ่นไทย ที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Thai Motherland Party ไม่ใช่แค่ สีเขียวอ่อน หากแต่ระดับ สีเขียวแก่ คือมุ่งสร้าง วิถีการดำรงชีวิตใหม่ ให้ตั้งอยู่บน 4 เสาหลัก คือ ระบบนิเวศ, ความเป็นธรรมทางสังคม, ประชาธิปไตยระดับรากฐาน และ สันติวิธี นี่ถือเป็น มิติใหม่ทางการเมือง ที่แม้จะ เล็ก, แคบ และ ยากจะประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มี สีสัน อย่างยิ่ง

•• ถึงที่สุดแล้ว Green Politics เป็นเรื่องของการ เผยแพร่แนวความคิดและกระบวนทัศน์ ใน ภาคประชาชน มากกว่ามุ่ง จัดตั้งรัฐบาล ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

•• แต่ กฎ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่เอื้อให้ พรรคถิ่นไทย มีที่นั่งแม้เพียง 1 ที่นั่ง ในส่วนของ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ไปได้มา 1 ที่นั่ง จาก ส.ส.เขตเลือกตั้ง ก็จากคนที่ส่งลงสมัครเพื่อให้ ครบตามข้อบังคับรัฐธรรมนูญ และบังเอิญชนะเข้ามาเพราะ สถานการณ์พิเศษ ในที่สุดก็ ไหลไปอยู่พรรคใหญ่ ในเวลาต่อมา
•• ลักษณะทั่วไปของ Green Politics นั้นไม่ใช่เพียงแค่ แนวทางการเมือง, อุดมการณ์การเมือง หากแต่เป็นคล้ายดั่งคำของ เจอร์เกน ฮาเบอมาส ที่เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่าคือ “...กติกาหรือกฎเกณฑ์ชุดใหม่ในการดำรงชีวิต.” ที่ตั้งอยู่บน 4 เสาหลัก เป็นดังนี้ ระบบนิเวศ, ความเป็นธรรมทางสังคม, ประชาธิปไตยระดับรากฐาน และ สันติวิธี นอกจากจะเคลื่อนไหวในระดับ องค์กรประชาชน แล้วยังยกระดับขึ้นเป็น พรรคการเมือง ขึ้นใน กว่า 70 ประเทศทั่วโลก หากจะดูตัวอย่างใน เยอรมัน จะพบว่า Green Party ที่นั่นใช้เวลาถึง 36 ปีเต็ม จึงจะได้มีส่วน ร่วมจัดตั้งรัฐบาล เมื่อ ปี 1998 แสดงให้เห็นว่า พรรคการเมืองทางเลือก เป็นเรื่องของการ เผยแพร่แนวความคิดและกระบวนทัศน์ ใน ภาคประชาชน มากกว่ามุ่ง จัดตั้งรัฐบาล ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
•• ก็ได้แต่หวังว่า พรรคใหม่ จะไม่เป็นเพียงสายพันธ์ เดมาก็อก หรือ Demagogue เหมือนที่เป็นมาเท่านั้น

•• คำว่า เดมาก็อก หรือ Demagogue
นี้ เกษม ศิริสัมพันธ์ ท่านนำมาใช้กับ นักการเมือง ในความหมาย "…นักปลุกระดมที่หาเสียงหาความนิยมโดยการปลุกเร้าหลอกลวงประชาชนให้เห็นผิดเป็นชอบ." โดยผู้ที่นำมาใช้บ่อยที่สุดก่อนหน้านี้คือ ยอดธง ทับทิวไม้ ท่านเขียนความหมายไว้ว่า บิดเบือนจริงเป็นเท็จ, กะล่อน และ พูดจามะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก แล้วก็ขนานนามรวม ๆ ไว้ว่าคือ พวกสัมภเวสีและสุนัขจรจัดทางการเมือง ให้ความรู้สึกไทย ๆ ดีเหลือเกิน
กำลังโหลดความคิดเห็น