เป๋นตี้ฮือฮาขนานใหญ่นะเจ้า ว่าเสนาบดีหลากกระทรวงที่ไป ครม.สัญจรที่เจียงใหม่นะเจ้า เปิ้นสิมีความคิดจะให้คนไทยอู้คำเมืองเป็นภาษาราชการแทนภาษากลางที่ใช้กันอยู่นะเจ้า เหตุผลจะอั้นจะอี้ก็อีกรงที่พออู้กำเมืองปุ๊บ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ของหมู่เฮา อู้คล่องเป้นน้ำไหไฟดับ ปิดกับยามอู้คำภาษากลางที่น้องปูของหมู่เฮา อู้ได้แค่ประโยคสองประโยคน่ะเจ้า อาทิ เอาอยู่ กับหนูไม่รู้ น่ะ ความคิดนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่งยวดจากหมู่อาจารย์มหาลัยเที่ยงคืน อาทิ สมีนิธิ เอ๊ย อาจารย์นิธิ นะเจ้า
หลังจากเหล่ารัฐมนตรีได้จัดประชุม ครม.สัญจรที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นโอกาสดีที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ของหมู่เฮาจะได้ปิ๊กบ้านคืนเฮือน เหล่าหมู่ ครม.และนักวิชาการก็บังเกิดไอเดียกระฉูดปู๊ดๆ ราวหลู้และลาบเลือดอาหารเหนือชวนกินในยามแลง ว่าอันนี้หมู่เฮาชาวไทยจะเปลี่ยนภาษาจากภาษากลางราชการที่อู้ๆ กันอยู่มาเป็นคำเมืองให้อู้กันแทน เป็นเพราะเหล่า ครม. ชาว นปช. ต่างเห็นพ้องต้องกันนะเจ้า ว่าน้องปูของหมู่เฮาสะดวกที่จะอู้คำเมืองกว่าอู้ภาษากลาง เพราะตั้งแต่แม่งามปิ๊กบ้านพร้อม ครม.สัญจรครั้งนี้ แม่งามก็อู้...อู้...กันแบบน่ำไหไฟดับ ผิดกับยามแม่อู้คำกลางที่พูดแต่ละคำมันจั้งยาก...ยาก...และง่าวจนชวนฮากอิหลักอิเหลื่อแต๊น่ะเจ้า
หลังทราบข่าวดังกล่าว ป๋าบัญซึ่งประจำอยู่ศูนย์ข่าวอุตรดิตถ์ ก็บึ่ง SUV คันงามจากถิ่นลับแลตรงแน่วไปเมืองเชียงใหม่โดยทันที โดยไม่สนว่าถนนหนทางจะจับเต็มไปด้วยเหมยขาบและแม่คะนิ้งที่สร้างความยากลำบากและอันตรายในการสัญจรครั้งนี้ เพราะถือว่าเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเลยทีเดียวในการที่ประเทศหนึ่งประเทศใดจะเปลี่ยนภาษาราชการมาใช้ภาษาท้องถิ่นเช่นนี้
“ข้าเจ้า เป็นสาวเจียง ยังบ่เท่าใดก็จะเป็นสาวแล้ว คืนวัน มีบ่าวมาแอ่ว” นายกฯ อู้คำเมืองคล่องคล่องปรี๊ดทันทีเมื่อป๋าบัญเอาไมค์ไปจ่อปาก จนป๋าบัญต้องรีบห้ามเพราะยังไม่ทันถามอะไรท่านนายกฯ ก็ชิงอู้ซะแล้ว โดยติดสังเกตว่าทุกครั้งเวลาถูกสัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯ เธอมักจะทำท่าหลุกหลิก ไม่มั่นใจ และพูดได้ไม่กี่ประโยค เช่น เอาอยู่ หรือ หนูไม่รู้ ต่างกับยามอู้คำเมืองเห็นๆ
“ครม.เปิ้นเห็นว่า ยามข้าเจ้าอู้คำเมืองแล้วคล่อง ยามให้สัมภาษณ์ข่าวต่างๆ บ่ติดบ่ขัด แบบตอนอยู่กรุงเทพฯ ยิ่งได้บรรยากาศยามปิ๊กบ้านเยี่ยงนี้ ข้าเจ้าอู้ได้ทั้งวันทั้งคืนเจ้า ก็เลยตัดสินใจจะเปลี่ยนภาษาราชการที่ใช้กันอยู่มาให้ชาวประชาหันมาอู้คำเมืองเป็นภาษาราชการแทนน่ะเจ้า” ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ให้ข่าว
คาดว่าที่มาของไอเดียนี้มาจากรัฐมนตรีศึกษาธิการ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ซึ่งเป็นชาวเหนือด้วยกันน่ะเจ้า อีกทั้งการสนับสนุนจากเหล่าอาจารย์มหา’ลัยเที่ยงคืนที่ทำตัวเป็นหัวก้าวหน้าเพราะร่ำสุรากับจนโงกเงกต้องเดินเอาหัวไปข้างหน้าก่อน แล้วไปหลับตอนเที่ยงคืนโดยไม่ตื่นขึ้นมาดูโลกความเป็นจริง อาทิ สมีนิธิ เอี่ยว ซึ่งมักโชว์ออฟว่ามหา’ลัยเที่ยงคืนเริ่มด้วยวิชาความสุข 101 โดยมิพักจะตระหนักว่าความสุขที่ตนหาได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการโยนความทุกข์มาให้ผู้อื่นและสังคม (ฮา)
“ภาษากลางเป็นภาษาของเจ้าขุนมูลนายอำมาตย์ มีรากเหง้ามาจากที่หนตนใด แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแสดงแต่ความเอารัดเอาเปรียบกดขี่ขูดรีด หาได้เป็นภาษาบริสุทธิ์ดุจการอู้คำเมืองของหมู่เฮาจาวเหนือ ที่เป็นภาษาที่หยั่งรากลึก และมีปฏิสัมพันธ์ของความเป็นคนชั้นสูงและคนรากหญ้า ที่ใช้ร่วมกันดุจเหมือนหม้อหมูจุ่มที่เอาไอ้โน่นนี่จุ่มในหม้อเดียวกันโดยไม่แบ่งแยก คือที่มาแห่งมหา’ลัยเที่ยงคืนของหมู่เฮานะเจ้า” สมีนิธิ กล่าวเหตุผลชวนงงกับป่าบัญ
เปิ้นคาดว่ารัฐบาลจะประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติและออกเป็น พ.ร.ก.ในเร็วๆ นี้น่ะเจ้า แต่ที่คาดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่กับใครหลายคน อาทิ เต้น ณัฐวุฒิ และท่านสามสี ไตรรงค์ อย่างมากมายอ๋าวหลาวนะเจ้า ป๋าบัญทิ้งท้ายก่อนกลับศูนย์ข่าว
