เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2568 ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา เปิดข้อสงสัยของประชาชน กรณีการที่หน่วยงานของรัฐไทยยื่นหนังสือประท้วงในประเด็นระหว่างประเทศ อาทิ กองทัพบกประท้วงต่อท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือกระทรวงการต่างประเทศยื่นประท้วงกรณีที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาออตตาวา ท่ามกลางคำถามสำคัญว่า การดำเนินการดังกล่าว “ได้ผลจริงหรือไม่” ในเมื่อฝ่ายกัมพูชาดูเหมือนไม่ให้ความสนใจ
คำชี้แจงระบุว่า การยื่นหนังสือประท้วงถือเป็นแนวปฏิบัติสากล และเป็นก้าวแรกของการแสดงท่าทีอย่างเป็นทางการของรัฐ ซึ่งมีนัยสำคัญทั้งในเชิงกฎหมายและการทูต การประท้วงอย่างเป็นทางการคือการบันทึกว่าประเทศไทยไม่ยอมรับการกระทำที่ถูกมองว่าละเมิดข้อตกลงหรือกติกาสากล พร้อมทั้งสงวนสิทธิของประเทศไว้อย่างครบถ้วน หลักฐานดังกล่าวสามารถนำไปใช้อ้างอิงในระบบกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการสื่อสารจุดยืนของไทยต่อประชาคมโลก ผ่านกรอบองค์การระหว่างประเทศ คณะกรรมการตามสนธิสัญญา (Treaty Body) รวมถึงประเทศที่สามและองค์กรระดับภูมิภาค เช่น อาเซียน
สำหรับข้อกังวลว่า หากอีกฝ่ายไม่หยุดหรือไม่ตอบสนอง การประท้วงยังจำเป็นหรือไม่นั้น อธิบายว่า “จำเป็นอย่างยิ่ง” เนื่องจากการไม่ประท้วงอาจถูกตีความว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย การยื่นประท้วงจึงเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องสิทธิและอธิปไตยของประเทศในระยะยาว แม้อีกฝ่ายจะไม่ตอบสนอง แต่บันทึกทางการทูตยังคงมีผล และสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในเวทีระหว่างประเทศได้ในอนาคต
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าทำไมกัมพูชาจึงดูเหมือนเพิกเฉยต่อกติกาสากล คำชี้แจงระบุว่า ระบบระหว่างประเทศไม่มีการบังคับใช้แบบฉับพลันเหมือนกฎหมายภายในประเทศ บางรัฐอาจเลือกฝ่าฝืนกติกาเพราะประเมินว่าสามารถรับต้นทุนได้ อย่างไรก็ตาม การไม่ปฏิบัติตามกติกาสากลจะสะสมต้นทุนด้านความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว ซึ่งส่งผลต่อการเจรจาและภาพลักษณ์ของรัฐนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะเดียวกัน การที่ไทยยึดมั่นในกติกาสากล ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียเปรียบในเชิงยุทธศาสตร์ ตรงกันข้าม การดำเนินการบนหลักกฎหมายระหว่างประเทศช่วยรักษาความชอบธรรม (legitimacy) และสร้างการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินการด้านการทูต กฎหมาย และความมั่นคงในระยะยาว
คำชี้แจงยังอธิบายความแตกต่างระหว่าง “การประท้วงทางการทูต” กับ “การตอบโต้ทางทหาร” ว่า การประท้วงเป็นเครื่องมือทางการทูตและกฎหมาย ใช้เพื่อบันทึกจุดยืนและปกป้องสิทธิของประเทศ ส่วนการใช้กำลังทางทหารถือเป็นมาตรการสุดท้าย ที่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายระหว่างประเทศ โดยไทยยึดหลักการใช้การทูตควบคู่กับการป้องกันประเทศอย่างมีความรับผิดชอบ
ในมุมของประชาชน การประท้วงทางการทูตถูกมองว่าเป็นการคุ้มครองผลประโยชน์ของสังคมในระยะยาว เพราะช่วยให้การดำเนินการของรัฐตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและมาตรฐานสากล ลดความเสี่ยงในการถูกบิดเบือนข้อเท็จจริง และสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบ ตรวจสอบได้
ทั้งนี้ หากยังพบการละเมิดข้อตกลงหรือกติกาสากล ไทยจะดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสม โดยใช้หลักฐาน ข้อเท็จจริง และกลไกทางการทูตควบคู่กับการรักษาความพร้อมด้านความมั่นคง เพื่อคุ้มครองอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้กรอบกฎหมายและมาตรฐานสากล
“การประท้วงทางการทูตคือการรักษาสิทธิ ความชอบธรรม และพื้นที่ของประเทศในเวทีโลก ไทยเลือกยืนบนกติกาสากล เพื่อให้ทุกการดำเนินการได้รับการยอมรับและตรวจสอบได้ในระยะยาว”


