รายงานพิเศษ
25 มกราคม 2565 ท่อส่งน้ำมันดิบใต้ทะเลของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เกิดรอยรั่วขึ้นที่จุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ทำให้น้ำมันดิบปริมาณมากรั่วไหลอออกมาในทะเล ท่ามกลางข้อมูลปริมาณน้ำมันที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นข้อเท็จจริงเพียงใด เพราะมีรายงานข้อมูลปริมาณน้ำมันตั้งแต่ 4 แสนลิตร, 1.6 แสนลิตร แต่บริษัทฯ ยืนยันตัวเลขพียงประมาณ 5 หมื่นลิตร
แต่ไม่ว่าจะมีปริมาณน้ำมันมากแค่ไหน วิธีการที่ถูกนำมาใช้ในการจัดการให้ “คราบน้ำมัน” ให้หายไปจากพื้นผิวของทะเลที่อ่าวระยอง ก็ยังเป็นคงเป็นวิธีเดิมที่เคยใช้มาแล้วจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วเมื่อปี 2556 นั่นคือ การใช้สารเคมี Dispersant โปรยลงไปบนคราบน้ำมันที่ลอยอยู่เพื่อให้น้ำมันแตกตัวกลายเป็นหยดเล็ก ๆ และจมลงไปที่ใครพื้นทะเลจนหายไปจากการมองเห็นด้วยสายตา ... ทั้งที่เป็นวิธีถูกคัดค้านอย่างหนักจากทั้งนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและกลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน เพราะหลังจากที่เคยใช้วิธีนี้ไปแล้วเมื่อปี 2556 ก็ทำให้สัตว์น้ำในบริเวณริมชายฝั่งอ่าวระยอง “หายไป” มาเกือบ 10 ปีแล้ว และยังเป็นวิธีที่มีข้อยืนยันทางวิชาการในหลักสากลว่า “ไม่ควรใช้” สารเคมี Dispersant ในการกำจัดคราบน้ำมัน หากอยู่ในพื้นที่ไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากชายฝั่ง เพราะชายหาดยังตื้นเกินไป อาจทำให้คราบน้ำมันยังไปติดอยู่บนพื้นดินใต้ท้องทะเล
นั่นเป็นที่มาของการฟ้องร้องของ “สมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่นระยอง” เพื่อให้ “ผู้ก่อมลพิษ” ต้องเป็นผู้ชดใช้ทั้งในการฟื้นฟูระบบนิเวศน์ของอ่าวระยองให้กลับคืนมา จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูทะเลระยอง และต้องชดเชยเป็นค่าขาดประโยชน์จากการประกอบอาชีพของชาวประมงพื้นบ้าน
แต่เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ศาลชั้นต้น พิพากษา “ยกฟ้อง” ทุกข้อกล่าวหา
ทีมข่าวได้พูดคุย วราภรณ์ อุทัยรังษี หนึ่งในทีมทนายความของสมาคมประมงพื้นบ้านฯ ไปดูกันว่า ... เรื่องนี้มีที่มาที่ไปทางคดีอย่างไร ... นี่เป็น “ข้อเท็จจริง” หรือเป็นเพียง “เทคนิคทางกฎหมาย” ... ไล่ไปทีละประเด็น
ทั้งที่รัฐไม่เคยสำรวจความเสียหายต่อทะเล แต่ประมงพื้นบ้านต้องรับหน้าที่หาหลักฐานเปรียบเทียบความเสียหาย ก่อน-หลัง น้ำมันรั่ว
“ถ้าเราพิจารณาจากหลักการของคดีสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้มาแล้วในคดีน้ำมันรั่วเมื่อปี 2556 (ครั้งหลังปี 2565) เราต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า คราบน้ำมันที่รั่วออกมา มันเป็นมลพิษที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือ ระบบนิเวศน์ของอ่าวระยองใช่หรือไม่
... ถ้าใช่ เราก็ต้องทำให้ “ผู้ก่อมลพิษ” ซึ่งก็คือ เจ้าของน้ำมันหรือท่องส่งน้ำมัน คือคนที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย จึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบใช่หรือไม่ ... แต่ถ้าเขาจะปฏิเสธ เพราะมองว่า น้ำมันที่จมลงไปไม่ได้ทำเกิดความเสียหาย เขาก็ต้องเป็นฝ่ายไปหาหลักฐานมาพิสูจน์ ... แต่ในคดีนี้ ฝ่ายที่ต้องทำหน้าที่ในการพิสูจน์ กลับกลายเป็นฝ่ายผู้เสียหาย นั่นก็คือ ชาวประมง”
“ภาระในการพิสูจน์” ... เป็นประเด็นสำคัญที่ “ทนายแป๋ม” วราภรณ์ อุทัยรังษี อธิบายว่า ใช้หลักการต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิงในระหว่างการพิจารณาคดีน้ำมันรั่วในปี พ.ศ. 2556 กับปี 2565 เพราะใน ขั้นตอนการกำหนดประเด็นข้อพิพาท ในเหตุน้ำมันรั่ว ปี 2556 ศาลมีคำสั่งให้ “ภาะในการพิสูจน์” เป็นหน้าที่ของ “จำเลย” (บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ที่ต้องไปพิสูจน์มาให้ได้เพื่อโต้แย้งให้ได้ว่า น้ำมันไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเล .... แต่ในคดีล่าสุดจากเหตุเมื่อ ปี 2565 ศาลมีคำสั่งให้ “ภาระในการพิสูจน์ ตกเป็นหน้าที่ของ “โจทก์” (สมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่นระยอง) ที่ต้องไปพิสูจน์เองว่า น้ำมันทำให้เกิดความเสียหายต่อทะเลจริง ๆ ตามข้อกล่าวหา
ทนายวราภรณ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ขั้นตอนการกำหนดข้อพิพาทที่ศาลจะมีคำสั่งให้ภาระในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตกเป็นของฝ่ายไหน พิจารณาจากคำฟ้อง ในประเด็นที่กลุ่มชาวประมง 832 คน ฟ้องเพื่อขอให้ฟื้นฟูทะเล ขอให้ตั้งกองทุนฟื้นฟู รวมถึงเรียกร้องชดเชยค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์จากการประกอบอาชีพรวมเป็นเป็นเงินประมาณ 246 ล้านบาท และคำให้การปฏิเสธของฝ่ายจำเลย ซึ่งฝ่ายโจทก์เองก็ได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวไว้ แต่ศาลก็ไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ตามที่โจทก์คัดค้าน และเนื่องจากเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาไม่สามารถอุทธรณ์คำสั่งศาลได้ จะอุทธรณ์คำสั่งได้ก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาแล้วเท่านั้น ซึ่งฝ่ายโจทก์จะได้ยื่นอุทธรณ์ในประเด็นนี้ไปพร้อมไปกับการอุทธรณ์คำพิพากษาด้วย แม้ชาวประมงจะมีคำถามว่า ประชาชนมือเปล่าอย่างพวกเขาจะเป็นฝ่ายไปพิสูจน์ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทะเลระยองได้อย่างไร แต่เมื่อศาลได้กำหนดให้พวกเขาต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ และเพื่อปกป้องทรัพยากรของชุมชน ชาวประมงกลุ่มนี้ก็ได้ลงไปสำรวจความเสียหายใต้ทะเลจริง ๆ และยังร่วมมือกับนักวิชาการกลุ่มหนึ่งเพื่อส่งตัวอย่างดินจากหลายจุดใต้อ่าวระยองไปวิเคราะห์ในห้องแลปของสถาบันวิชาการด้วย เป็นส่วนหนึ่งของพยานหลักฐานที่ส่งไปในศาล แต่ศาลเห็นว่าไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟัง
“นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าดีใจในการเดินหน้าต่อสู้คดีนี้ เพราะเราเห็นได้ชัดเจนว่า ชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดามีความกาวหน้าขึ้นมากในการทำหน้าที่เพื่อปกป้องทั้งสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรสาธารณะ และชุมชนของพวกเขาเอง แม้ในท้ายที่สุด หลักฐานของชาวประมงจะยังไม่เพียงพอที่จะได้รับความน่าเชื่อถือจากกระบวนการยุติธรรมก็ตาม ถึงจะผิดหวังกับผลคำพิพากษา แต่ชาวประมงยังเดินหน้าในการสำรวจผลกระทบและหาทางฟื้นฟูที่ทะเลระยองต่อไป ในคดีนี้ชาวประมงได้ส่งรายงานการศึกษาที่จัดทำโดยชุมชนเองร่วมกับนักวิชาการเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากน้ำมันรั่วเกิดขึ้นต่อทรัพยากรอย่างไร และยืนยันต่อศาลว่าจะยังคงทำการศึกษาอย่างต่อเนื่องทุกปีเพื่อติดตามดูว่าต้องใช้ระยะเวลากี่ปีกว่าทะเลระยองจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ไม่ว่าหน่วยงานรัฐจะให้ความสนใจในการศึกษาหรือไม่ก็ตาม”
“การพิจารณาคดีนี้แทนที่จะนำหลักการคดีสิ่งแวดล้อมมาใช้พิจารณาและวินิจฉัย กลับใช้หลักการพิจารณาคดีละเมิดทั่วไปที่ให้ภาระการพิสูจน์ตกเป็นของฝ่ายโจทก์ทั้งหมด ซึ่งเป็นคนละแนวกับคดีสิ่งแวดล้อม กรณีน้ำมันรั่ว ทุกคนก็เห็นแล้วว่า น้ำมันรั่ว มีเจ้าของน้ำมันชัดเจน มีผู้ก่อมลพิษที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน สิ่งที่เรากล่าวหา คือ น้ำมันที่จมลงไปมันไปส่งผลให้ทะเลเสียหาย สัตว์น้ำลดลงเพราะมันสกปรกจนอยู่ไม่ได้ แต่หน้าที่พิสูจน์ความเสียหายกลับเป็นของชาวประมง”
“และที่กลายเป็นชาวประมงต้องมาพิสูจน์ความเสียหายเอง นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐไม่เคยทำทั้งในเหตุการณ์เมื่อปี 2556 หรือปี 2565 ก็ตาม .. ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานที่ควรจะต้องห่วงใยทะเล หรือจะเป็นหน่วยงานที่ควรจะต้องเฝ้าระวังการเกิดมลพิษก็ตาม”
ทนายวราภรณ์ ยังตั้งข้อสังเกตสำคัญต่อสิ่งที่เรียกว่า “ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม” ไว้อีก 2 ประเด็น ... ประเด็นแรก เมื่อหน่วยงานรัฐไม่เคยสำรวจความเสียหายเลย แต่ศาลให้ฝ่ายชาวประมงนำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบความเสียหาย ก็ต้องตั้งคำถามว่า จะใช้ข้อมูลก่อนเกิดเหตุเมื่อ 25 มกราคม 2565 ได้จากที่ไหน ... และประเด็นที่ 2 เมื่อศาลกำหนดภาระการพิสูจน์มาให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นชาวประมง กลุ่มชาวประมงก็ได้ไปจับมือกับสถาบันทางวิชาการในการสำรวจแล้ว แต่ได้คำตอบว่าไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้น กลุ่มชาวประมงจะต้องทำอย่างไร จึงจะได้รับความเชื่อถือ
ประมงพื้นบ้านไม่มีสิทธิฟ้องให้ “ผู้ก่อมลพิษ” ฟื้นฟูทะเลระยอง ... หน่วยงานรัฐมีสิทธิฟ้อง แต่กลับได้โครงการฟื้นฟูตามคำแนะนำของเอกชน
ส่วนอีก 2 ประเด็นที่สมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่น ฟ้องให้ บริษัท SPRC และ PTT GC ต้องฟื้นฟูเยียวยาทะเลระยอง และให้ตั้งกองทุนฟื้นฟูทะเลระยองขึ้นด้วยแต่มีคำพิพากษาว่า กลุ่มชาวประมงไม่มีสิทธิฟ้องใน 2 ประเด็นนี้ เพราะเป็นหน้าที่ที่หน่วยงานรัฐทำอยู่แล้ว ทนายวราภรณ์ ยืนยันว่านี่เป็นประเด็นที่ต้องโต้แย้งไปในชั้นอุทธรณ์อย่างแน่นอน เพราะหากมองจากเลนส์ของกลุ่มประมง จะเห็นแง่มุมที่มองว่า หน่วยงานของรัฐ ยังไม่เคยทำหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายให้ผู้ก่อมลพิษมาฟื้นฟูระบบนิเวศน์เลย ไม่ว่าจะเป็นเหตุน้ำมันรั่วในปี 2556 หรือ 2565
“การเอาสัตว์น้ำวัยอ่อนมาปล่อยในอ่าวระยอง หรือการทำปะการังเทียม คือ สิ่งที่รัฐไปเอาเงินจากบริษัทเอกชนมาทำในฐานะที่เป็น “ผู้ก่อมลพิษ” ... แต่ในสายตาของชาวประมง วิธีการแบบนี้ ยังไม่ใช่การฟื้นฟูทะเลระยองแม้แต่น้อย เพราะรัฐยังไม่เคยสำรวจความเสียหายที่แท้จริงเลย ถ้ารัฐยังไม่รู้เลยว่า สัตว์น้ำที่เคยอยู่ที่นี่มันหายไปเพราะอะไร รัฐจะเอาสัตว์น้ำอีกกี่ล้านตัวมาปล่อย หรือจะทำปะการังเทียมเพิ่มอีกกี่จุด สัตว์ที่ลงไปใหม่มันก็อยู่ไม่ได้อยู่ดี”
“ดังนั้น เราคงต้องยืนยันไปในชั้นอุทธรณ์ว่า สิ่งที่รัฐเอาเงินจากเอกชนมาทำไปแล้ว มันไม่ใช่การฟื้นฟูทะเลระยอง”
สาเหตุที่นำมาซึ่งการอนุมัติให้นำงบประมาณมาเอกชนมาใช้ในรูปแบบการปล่อยปลา หรือทำปะการังเทียม จากการผ่านความเห็นชอบจากคณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาเป็นการเฉพาะ และคณะทำงานชุดนี้ก็มีนักวิชาการจาก 3 มหาวิทยาลัยที่อยู่ในฐานะที่ปรึกษาของบริษัทเอกชนรวมอยู่ด้วย นี่เป็นสิ่งที่ทนายวราภรณ์ ตั้งคำถามต่อไปด้วยว่า เป็นวิธีการฟื้นฟูทะเลจริงหรือ
“โครงการต่าง ๆ ที่หน่วยงานรัฐทำไป เกิดขึ้นตามคำแนะนำของคณะนักวิชาการ 3 มหาวิทยาลัยที่อยู่ในคณะทำงานชุดนี้ ซึ่งในข้อเท็จจริงที่ปรากฎในขั้นการสืบพยานก็ชัดเจนว่า นักวิชาการเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่อยู่ในฐานะที่ปรึกษาของเอกชนที่ทำให้เกิดน้ำมันรั่ว ... กลายเป็นว่า 33 โครงการที่หน่วยงานรัฐอ้างว่า ได้ใช้เงินที่บริษัทซึ่งเป็นผู้ก่อมลพิษเป็นคนจ่ายมาฟื้นฟูอ่าวระยองแล้ว กลับเป็นโครงการที่ต้องผ่านคณะกรรมการที่มีคนกลุ่มนี้นั่งอยู่ด้วย ในขณะที่กลุ่มชาวประมงพื้นบ้านแทบไม่เคยถูกเชิญไปประชุมเลย”
“บริษัทต้องจ่ายอยู่แล้วในฐานะผู้ก่อมลพิษใช่มั้ย แต่ถ้าหน่วยงานจะเสนอโครงการฟื้นฟูแบบไหน ก็ต้องไปอิงกับผลการศึกษาของที่ปรึกษาที่บริษัทจ้างมาก่อน คล้ายกับว่าคนที่พิจารณาอนุมัติโครงการก็คือคณะนักวิชาการชุดนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่ากังวลนะ มันเป็นเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์หรือไม่ ... นี่จึงเป็นเหตุผลที่กลุ่มประมงพื้นบ้านต้องขอฟ้องร้องในประเด็นการฟื้นฟูด้วยตัวเอง”
วราภรณ์ ทิ้งท้ายว่า แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่า ชุมชนไม่มีสิทธิ์ฟ้องให้เอกชนทำการฟื้นฟู เพราะเป็นหน้าที่หน่วยงานรัฐที่ฟ้องไปแล้ว แต่ก็อยากให้สังคมช่วยกันตรวจสอบสิ่งที่หน่วยงานรัฐฟ้องไปด้วยว่า เป็นการฟ้องเพื่อคิดมูลค่าความเสียหายของทะเลระยอง หรือเป็นการฟ้องที่จะนำไปสู่การไกล่เกลี่ย
“เขาก็ฟ้องเป็นหลัก 100 ล้านนั่นแหละ แต่ข้อเท็จจริงที่หน่วยงานรัฐฟ้องไปมันไม่ใช่มูลค่าความเสียหายของทรัพยากรที่สูญเสียจากน้ำมันรั่ว แต่มันคือ ค่าใช้จ่าย ค่าดำเนินการใน 33 โครงการต่าง ๆ ที่หน่วยงานรัฐเสนอไป เช่น ปล่อยสัตว์น้ำ ทำปะการังเทียม ... เป็นโครงการที่ต้องไปเข้าคณะกรรมการที่มีนักวิชาการของบริษัทผู้ก่อมลพิษอยู่ด้วย”
นี่เป็นอีกหนึ่งคดีที่สังคมไทยต้องช่วยกันจับตามองในชั้นอุทธรณ์ โดยเฉพาะเมื่อทั้งหน่วยงานรัฐ ทั้งภาคเอกชนในประเทศไทย ต่างก็เปิดเวทีพูดคุยผ่านคำว่า “ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม” กันอย่างแพร่หลายตลอดปี 2568 ที่ผ่านไป


