มีคำถามดังขึ้นเรื่อยๆ ต่อ “ไทยพีบีเอส” สื่อสาธารณะ ทั้งเรื่องประสิทธิภาพการบริหารงาน และความโปร่งใส ล่าสุดเกิดกรณีพนักงานยื่นร้อง ป.ป.ช.กล่าวหาผู้บริหารใช้รถหลวงไปงานส่วนตัว-ดื้อแพ่งต่ออายุ “ผู้เชี่ยวชาญ” เงินเดือนเกือบ 3 แสนบาท ทั้งที่ไม่ได้รับผิดชอบงานมากมาย “ไทยพีบีเอส” ถูกออกแบบให้เป็นสื่ออิสระ แต่กลับถูกผูกขาดอำนาจโดยคน “ตระกูล ส.” และบุคลากรสื่อที่มาจากเครือเนชั่น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะมีการทบทวนว่า เงินภาษีปีละ 2,000 ล้านบาทที่ให้กับไทยพีบีเอสคุ้มค่าแค่ไหน เรตติ้งของสถานีเป็นอย่างไร และยังจำเป็นต้องมีไทยพีบีเอสอยู่หรือไม่
ในรายการ“คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการดำเนินงานขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ThaiPBS ซึ่งมีสถานะเป็น “หน่วยงานของรัฐ” เพราะมีรายได้หลัก มาจากเงินจากภาษีตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ปีละมากกว่า 2 พันล้านบาท
ทั้งนี้ จากข้อมูล แผนบริหารกิจการประจำปี 2568 ระบุชัดเจนว่า งบประมาณในปีล่าสุดปี 2568 ThaiPBS มีรายได้สูงถึง 2,716 ล้านบาท (โดยแบ่งเป็น เงินบำรุงองค์กรจากภาษีบาป 2 พันล้านบาท และเงินอื่น ๆ เช่น ค่าบำรุงโครงข่าวโทรทัศน์, ดอกเบี้ย, บริการ และรายได้อื่น ๆ อีก 716 ล้านบาท)
จึงเป็นที่ชัดเจนว่าThaiPBS ก็คือ “หน่วยงานของรัฐ” ที่ต้องปฏิบัติตามหลักการ กฎเกณฑ์ และกฎหมายของภาครัฐ ไม่แตกต่างจากหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวง ทบวง กรม เทศบาล อบจ. อบต. หรือ โรงเรียนของรัฐต่างๆ ฯลฯ
ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีกรณีที่ พนักงานไทยพีบีเอสได้ไปยื่นจดหมายร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. กรณีที่ ผู้บริหารใช้รถหลวงไปงานส่วนตัวใช้ทั้งที่มีค่ารถประจําตําแหน่ง 27,000 บาทต่อเดือนอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีการต่ออายุ “ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ” ทั้ง ๆ ที่เสียงคัดค้านในบอร์ดและงดออกเสียง 5 จาก 9 แต่ดื้อแพ่งต่อสัญญาโดยได้รับเงินเดือนอู้ฟู่สูงถึง 270,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเงินเดือนดังกล่าว มากกว่าพนักงานระดับ “รองผู้อำนวยการ” ทั้ง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเพียงแค่หน่วยงานเดียว
จากข้อมูล มีพนักงานภายในไทยพีบีเอส ได้ทําหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ คณะกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (กนย.) กรณีผู้บริหารระดับสูงกระทำการอาจเข้าข่ายทุจริตประพฤติมิชอบโดยการเบิกรถยานพาหนะขององค์กร (รถหลวง) ไปใช้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ดํารงตําแหน่งอยู่
คนแรก คือ นายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ตําแหน่ง ผู้อํานวยการสํานักข่าว (ซึ่งมีวาระจะเกษียณอายุในช่วงสิ้นปีนี้ แต่ถึงปัจจุบันก็ยังสรรหาคนมาแทนไม่ได้) โดยหนังสือร้องเรียนระบุว่า ได้ใช้รถยนต์ของทางราชการ หรือรถหลวงและน้ำมันรถหลวง ไปในงานภารกิจส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ โดยการใช้ ตําแหน่งหน้าที่ของตนเองในการอนุมัติใช้รถหลวง
รวมถึงยังมีการใช้อํานาจในทางมิชอบเอื้อประโยชน์ในการ อนุมัติรถหลวงให้บุคคลอื่นใช้ ทั้งในภารกิจส่วนตัวและภารกิจที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับงานข่าวจํานวนหลายต่อหลายครั้ง หรือแม้กระทั่งระบุว่าไปงานศพแหล่งข่าว โดยไม่มีผลการปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรมว่าเกิดประโยชน์อย่างไรต่อองค์กร เช่น ช่วงเย็น วันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 ไปงานศพแหล่งข่าวที่วัดตรีทศเทพ
หรือ การใช้รถหลวงไปในภารกิจส่วนตัววันที่หมายงาน วันที่ 2 ตุลาคม 2568 เวลา 11:52 น. โดยเดินทางไป วันที่ 3 ตุลาคม 2568 เพื่อไปรับส่งสนามบิน บน.6 ในการไปงานอบรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่
นอกจากนี้ยังมีการอ้างไปพบแหล่งข่าวหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะการไปพบพร้อมกับนายเทพชัย หย่อง ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ โดยไม่มีผลการปฏิบัติงานหรือรายงานกลับมาเป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใดว่า เกิดประโยชน์ใดต่อสาธารณะ เอกสารร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. ระบุ
ทั้งนี้ทั้งนั้น จากข้อมูลดังกล่าวยังระบุด้วยว่า นายก่อเขต ซึ่งมีตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักข่าวที่มีค่าตอบแทน “Car Allowance” หรือ “เงินช่วยเหลือค่ารถยนต์” อยู่แล้วจํานวน 27,000 บาทต่อเดือน เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่แต่กลับยังใช้รถหลวงไปในภารกิจส่วนตัว
คนที่สอง คือ นายเทพชัย หย่อง ที่ปรึกษาฝ่ายข่าว และ ยังพบพฤติกรรมว่า มีการนํารถหลวงไปรับส่งแขกในรายการของตัวเองทั้ง ๆ ที่มี “ค่าตอบแทน” ให้กับแขกของรายการอยู่แล้วด้วยใน วันที่หมายงาน 28/02/2567 เวลา 17:00 น. เลขที่หมายงาน N-67-02-0962 “ขอรถรับส่งแขกคุณเทพชัยแขกรายการฯ”
นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารระดับสูงอีกคน คือ นางสาวจิตติมา บ้านสร้าง ผู้ช่วยผู้อํานวยการสํานักข่าว (ซึ่งก็เป็นอดีตพนักงานเนชั่น) ที่ได้รับตําแหน่งดังกล่าว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบพฤติกรรมยังเบิกใช้รถหลวงไปใช้ในงานส่วนตัว รับส่งสนามบินอยู่บ่อยครั้งเช่นเดียวกันทั้ง ๆ ที่มีค่ารถประจําตําแหน่ง หรือ Car Allowance จำนวน 15,000 บาทต่อเดือนอยู่แล้ว
เจ้าหน้าที่ ร้อง กนย.แต่ไม่ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ทําแค่ให้ชี้แจงกลับ
ยังมีรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ใน เดือนตุลาคม 2568 พนักงานไทยพีบีเอสได้ร้องเรียนต่อ คณะกรรมการนโยบาย หรือ กนย. ที่กำกับดูแล ThaiPBS ด้วย แต่ปรากฏว่า กนย. มีมติให้ นายวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ผอ.ไทยพีบีเอส ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งในปีนี้เมื่อ วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ดําเนินการสอบข้อเท็จจริง
แต่ต่อมานายวันชัยได้รายงาน ในที่ประชุม กนย. เมื่อ เดือนพฤศจิกายน 2568 โดยระบุว่าได้ให้บุคคลทั้งสองคือ นายก่อเขต และนางสาวจิตติมา ทํารายงานชี้แจ้งกลับมา ซึ่งนายวันชัยแจ้งต่อ กนย. ว่า ถือว่าได้ชี้แจ้งแล้วแต่ กนย.หลายท่านได้ทักท้วงว่าควรมี การตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาอย่างเป็นทางการ แต่ปรากฏว่า นายวันชัยกลับตอบ กนย.ท่านหนึ่งว่า “พี่ ต้องการอะไร ?”
จึงทำให้กรรมการนโยบายส่วนหนึ่ง ยืนยันว่าควรดําเนินการตามระเบียบ แต่หากนายวันชัย ผอ.ไทยพีบีเอส ยืนยันว่าตรวจสอบแล้วไม่ผิดระเบียบก็ขอให้ทําหนังสือรายงานกลับมาอย่างเป็นทางการ ที่สำคัญยังมีรายงานด้วยว่า กรณีของนางสาวจิตติมา ในหนังสือรายงานชี้แจงมีการระบุว่า “ใครๆ ก็ทํากัน” ซึ่ง กนย.บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงให้เหตุผลเช่นนี้ ? ... เพราะเป็นเรื่องที่ผิดระเบียบราชการอย่างชัดเจน
ผิดอย่างไร ?
ประเด็น :ถ้าเป็นสื่อเอกชน การใช้รถขององค์กรไปงานศพ ไปส่งสนามบิน ไปรับ-ส่ง ไปอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ไปพบ ไปพูดคุย ไปสัมภาษณ์แหล่งข่าวเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ เขาถือว่าไม่ได้มีความผิดอะไรเพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
แต่ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย คือ สื่อไทยพีบีเอสซึ่งมีสถานะเป็น “หน่วยงานของรัฐ” รถที่ใช้ย่อมมีสถานะเป็น “รถหลวง” ที่ไม่สามารถใช้ได้ตามอำเภอใจ
ตัวอย่างในเรื่องนี้ก็มีมากมายก่ายกอง ดังคำชี้แจงของ ป.ป.ช.ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเตือนแล้วเตือนอีกว่า ‘รถหลวง คือของหลวง มิใช่ทรัพย์สินส่วนบุคคล’ เจ้าหน้าที่รัฐพึงตระหนักไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ความผิดร้ายแรง สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมที่ส่อแววทุจริต โดย ป.ป.ช.มีคำวินิจฉัย ชี้มูล และกรณีที่ศาลตัดสินกรณีเช่นนี้มาแล้วมากมาย ยกตัวอย่างเช่น
- เดือนตุลาคม ปี 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ได้มีคำสั่งพิพากษา นายรุ่งรัก ลูกบัว ผู้อำนวยการกองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธรกับพวก ในข้อหานำรถยนต์ของทางราชการไปใช้ในการเดินทางไป
- กลับระหว่างบ้านพักและที่ทำงาน และยังนำรถยนต์ของทางราชการใช้เดินทางไปตีกอล์ฟ กระทำเช่นนี้เป็นระยะเวลานานเกือบ 2 ปี
ศาลตัดสินว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ร้ายแรงก่อให้เกิดผลเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้ได้รับโทษจำคุก 105 ปี แต่ด้วยจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่รูปคดี จึงคงเหลือโทษจำคุก 52 ปี 6 เดือน
อีกกรณี เป็นข่าวใหญ่ในวงการข้าราชการในปีนี้
วันที่ 30 เมษายน 2568 - ป.ป.ช. ภาค 8-9 ชี้มูลความผิด นายประจักษ์ ช่างเรือ อดีต ผอ.สพป เขต 2 ใช้รถหลวงเสมือนรถประจำตำแหน่ง พบตลอด 3 ปี ไม่ขอใบอนุญาตใช้รถ หนำซ้ำยังเบิกค่าน้ำมันกว่า 210,000 บาท โดยจากการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายประจักษ์ ได้นำรถยนต์ส่วนกลาง ยี่ห้อ Isuzu รุ่น MU-7 หมายเลขทะเบียนจังหวัดตรัง เดินทางไป-กลับ ระหว่างบ้านพักซึ่งอยู่ในพื้นที่ ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง จ.ตรัง กับสํานักงานเขตฯ ซึ่งอยู่ใน อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ระยะทางไป-กลับ คาดการณ์ครั้งละประมาณ 60 กิโลเมตร เสมือนว่าเป็นรถประจำตำแหน่ง ตลอดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งอนุญาตให้นำรถคันดังกล่าวไปเก็บรักษารถที่อื่น ทั้งที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 มีสถานที่เก็บรักษารถปลอดภัยเพียงพออยู่แล้ว
อีกทั้งการใช้รถภายในเขตพื้นที่จังหวัดตรัง ไม่มีการขอใบอนุญาตใช้รถตามระเบียบฯแต่อย่างใด โดยในการใช้รถคันดังกล่าว ยังได้เบิกจ่ายเงินค่าน้ำมันเชื้อเพลิงจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรังเขต 2 ทุกครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 217,817.80 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาและมีมติว่าการกระทำดังกล่าว “มีมูลความผิดทางอาญา” โดยสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง ได้ดำเนินการส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีและส่งสำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ
เพื่อความเป็นธรรม ในประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องนี้ นายก่อเขต ได้ออกมาชี้แจงเรื่องการร้องเรียนดังกล่าว ผ่านสำนักข่าวอิศรา เมื่อวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมาว่า “นายก่อเขตรับทราบข่าวดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างการหารือกับนายวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ผอ.ไทยพีบีเอส ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไรต่อไป ส่วนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเบิกรถยานพาหนะขององค์กร นั้นยืนยันว่าก็เป็นการใช้งานตามภารกิจ ในการไปพบแหล่งข่าว ไม่ได้มีการเบิกไปใช้งานส่วนตัว ตามที่มีเรื่องร้องเรียนกล่าวหา
“หลังจากทราบเรื่องนายก่อเขต มีความประหลาดใจมากว่าทำไมมาเกิดข่าวเรื่องนี้ขึ้นในช่วงนี้ และมีการพาดพิงบุคคลหลายคน ขณะที่ ไทยพีบีเอส ก็มีการตรวจสอบภายในกันอยู่ และผู้เกี่ยวข้องได้มีการชี้แจงข้อเท็จจริงไปหมดแล้ว
“เมื่อถามว่า มีการกล่าวอ้างว่า การเบิกใช้รถส่วนกลาง ระบุว่าไปพบแหล่งข่าว แต่กลับไม่มีผลการปฏิบัติงานหรือรายงานกลับมาเป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด แหล่งข่าวใกล้ชิดนายก่อเขต ระบุว่า“การเบิกใช้รถส่วนกลาง มีการลงบันทึกเป็นหลักฐานอยู่แล้วว่า ใช้ไปในเรื่องอะไรบ้าง ส่วนที่ไปพบกับแหล่งข่าว คนที่ทำข่าวมาก็รู้กันอยู่แล้วว่าบางที่มันก็อาจจะไม่เป็นข่าว และที่สำคัญเบิกใช้ไม่กี่ครั้งเอง”
เมื่อถามต่อว่า มีการกล่าวอ้างว่า เรื่องนี้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของ กนย. และได้มีการทักท้วงว่าควรมีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาอย่างเป็นทางการ แต่นายวันชัยกลับตอบ กนย. ท่านหนึ่งว่า “พี่ ต้องการอะไร ?”
“แหล่งข่าวใกล้ชิดนายก่อเขต ระบุว่า นายก่อเขต ไม่ทราบข้อมูลเรื่องนี้ เพราะไม่ได้เข้าประชุมด้วย แต่ข้อมูลที่ออกมาค่อนข้างละเอียดมาก ทั้งที่เป็นการประชุมลับ
“เมื่อถามว่า มีการไปร้องเรียนเรื่องนี้ ต่อ ป.ป.ช.ด้วย แหล่งข่าวใกล้ชิดนายก่อเขต ยืนยันว่า นายก่อเขต พร้อมชี้แจงอยู่แล้ว เพราะไม่ได้ทำเรื่องทุจริตอะไร”
เพื่อความเป็นธรรม และให้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้กระจ่างที่สุด เมื่อมีการยื่นไปยัง กนย. หรือ คณะกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอส และ คณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามที่แต่ละฝ่ายมีหลักฐาน
“อย่างไรก็ตาม ผมขอเตือน ผู้บริหารไทยพีบีเอสในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น คุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ผอ.ไทยพีบีเอส ในปัจจุบัน รวมไปถึง คุณอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ รอง ผอ. ด้านเทคโนโลยี ซึ่งเคยทำงานอยู่เนชั่น และเป็นอดีตลูกน้องคุณเทพชัย และเพื่อนร่วมงานของคุณก่อเขตมาก่อน ซึ่งผมและคนในแวดวงสื่อนั้นรู้ดีว่า ทั้งคุณวันชัย และคุณอดิศักดิ์ มีจุดยืนเอียงข้างทางการเมืองในการเชียร์พรรคส้มคือพรรคประชาชนในปัจจุบัน กับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจมาตลอด รวมไปถึง รอง ผอ. อีก 3 คนด้วยคือ คุณพิเศษ จียาศักดิ์, คุณสมชัย พุทธจันทรา และ คุณวราวุธ ศรีสุธา อย่างนี้ครับว่า
“เรื่องนี้ ถ้าคุณไม่โปร่งใส ยังหมกเม็ด ไม่ทำความจริงให้ปรากฎ พวกคุณก็อาจจะโดนมาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา คือ“ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต" มีโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับ 2,000-20,000 บาท (หรือทั้งจำทั้งปรับ)” ด้วยก็ได้
“เพราะไทยพีบีเอส ไม่ใช่สื่อของใครคนใดคนหนึ่ง หรือ พรรคพวกใดพรรคพวกหนึ่ง แต่เป็น “หน่วยงานภาครัฐ” ที่รับงบประมาณถึงปีละ 2,000 ล้านบาท จากภาษี ซึ่งหากนับตั้งแต่ก่อตั้งมาในปี 2551 จนถึงวันนี้ก็ 17 ปีแล้ว ใช้เงินภาษีประชาชนไปหลายหมื่นล้านบาท อย่างน้อย ๆ ก็ 3-4 หมื่นล้านบาท แต่ก็ยังมีข่าวอื้อฉาวอยู่เนือง ๆ ว่า เป็นหน่วยงานที่ใช้เงินภาษีได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย และไม่คุ้มค่าแต่อย่างใด ซึ่งในการร้องเรียนของพนักงานไทยพีบีเอสครั้งนี้ยังมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยนั่นคือ กรณีการต่อสัญญานายเทพชัย เป็นผู้เชี่ยวชาญด้วยเงินเดือนที่สูงลิบ” นายสนธิ กล่าว
ต่อสัญญา “เทพชัย” เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษทั้งที่มีเสียง เสียงไม่เห็นด้วยและงดออกเสียงมากกว่า แถมเงินเดือนสูงเฉียด 3 แสนแต่ดูแลหน่วยเดียว
นายสนธิ ยังกล่าวถึงกรณี นายเทพชัย หย่อง ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานข่าว ไทยพีบีเอส แต่ได้ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบกรณีไทยพีบีเอสเสนอข่าวคฃาดเคลื่อนเรื่องปลากุเลาเค็มตากใบที่นำมาใช้ปรุงอาหารงานเลี้ยงผู้นำเอเปกเมื่อปลายปี 2565 โดยการลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566
แต่หลังจากกระแสเรื่องดังกล่าวซาลง นายเทพชัย ได้กลับมาทำงานใหม่ โดยเปลี่ยนตำแหน่งจากผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานข่าวเป็น ที่ปรึกษาฝ่ายข่าว
มีรายงานว่า ในการประชุม กนย.ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีการเสนอต่อสัญญา นายเทพชัย หย่องให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ทั้งๆ ที่ถูกระบุในหนังสือร้องเรียนว่ามีส่วนในการทุจริตใช้รถหลวง และเคยประกาศลาออกมาแล้วในช่วงปลายปี 2565 เนื่องจากรายงานข่าวผิดพลาดอย่างร้ายแรง แต่ นายวันชัย ผอ.ไทยพีบีเอส ก็ยังยืนยันจะขอต่อสัญญา ทําให้กนย.จํานวน 9 คน ต้องลงมติในเรื่องนี้
โดย กนย. 3 คนไม่เห็นด้วย,อีก 2 คน งดออกเสียง ขณะที่ 3 คนเห็น ควรต่อสัญญา จนสุดท้ายประธาน กนย. นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ (ซึ่งเป็นแพทย์ในเครือข่ายของตระกูล ส. ส่งเข้ามานั่งประธานคณะกรรมการนโยบายของสื่ออย่างไทยพีบีเอส ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ความถนัดของแพทย์แต่อย่างใด) โดย นพ.โกมาตร ขอใช้สิทธิ์และเห็นด้วยกับการต่อสัญญา ทําให้นายเทพชัยได้รับการต่อสัญญา
การตัดสินใจดังกล่าวของ นพ.โกมาตร และ กนย.ดังกล่าว ทําให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของพนักงานว่า หากรวมเสียงที่ไม่เห็นด้วยและงดออกเสียงก็ 5 เสียงจึงไม่ควรต่อสัญญา ยิ่งไปกว่านั้นเงินเดือนที่สูงถึง 270,000 บาทต่อเดือน แต่กลับมอบหมายให้บริหารหน่วยงานเพียงสํานักเดียว และเงินเดือนสูงกว่าตำแหน่ง รอง ผอ.ไทยพีบีเอส เสียอีก
ร่ำลือกันว่า นายเทพชัย เข้ามารับตำแหน่ง “ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ” ของไทยพีบีเอส ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นมารองรับคน ๆ เดียว กินเงินเดือน 270,000 บาท ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเดือนที่สูงกว่าตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานีไทยพีบีเอส ทั้ง ๆ ที่ รอง ผอ. มีความรับผิดชอบสูงกว่ามากมาย แต่นายเทพชัย แทบไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย นอกจากนี้ยังเอาพี่ชายคือ นายสุทธิชัย หยุ่น เข้ามาจัดรายการในสถานีอีก
ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ อดีต กนย. เองก็ยังเคยเคยถูกร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช.กรณีใช้รถหลวง-เรื่องทุจริตภายในไทยพีเพียบแต่ถูกซุกเงียบ ยกตัวอย่างเช่น
- เคยมีบอร์ดบริหารของไทยพีบีเอส ถูกร้องเรียนในกรณีการเบิกรถไปใช้ด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันเรื่องดังกล่าวอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
- นอกจากนี้ที่ผ่านมายังมีพนักงานไทยพีบีเอสพบการทุจริตร้องเรียนในหลายกรณีในองค์กรกระจายในสํานักต่าง ๆ เช่น ศูนย์ข่าวภูมิภาคที่มีพนักงานเบิกค่าล่วงเวลาของพนักงานมากถึง 300 ชั่วโมงต่อเดือน
-การสอบสวนพนักงานจํานวนหนึ่งในสํานักวิศวกรรมที่ทุจริตที่ค้างมาตั้งแต่ในสมัยผู้อํานวยการคนก่อนที่เคยมีผลการสอบสวนให้ไล่ออกมาแล้ว แต่ปัจจุบันยังคงไม่มีการดําเนินการและมีการรื้อผลการสอบสวนใหม่เมื่อ ผอ.คนใหม่เข้ามา
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสาธารณะยังมีการตั้งคําถามอย่างมากต่อการใช้เงินภาษีประชาชน 2,000 ล้านบาทต่อปีว่าคุ้มค่าหรือไม่โดยเฉพาะการยกระดับสื่อสาธารณะให้เป็นที่ยอมรับเทียบเท่ากับสากลเช่น บีบีซี ได้ ทั้งที่ดําเนินการมาแล้วถึง 14 ปี
ย้อนอดีตที่มาที่ไป และโครงสร้างการบริหารงานของไทยพีบีเอส
ไทยพีบีเอส หรือ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานของรัฐ มีสถานะเป็น นิติบุคคลมหาชน จัดตั้งขึ้นในปี 2551 ภายหลัง การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จากการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ยึดสัมปทานคืนจากไอทีวี และรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นำช่องสัญญาณมาจัดตั้งเป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะ
เพราะฉะนั้น อย่ามาโลกสวยว่าไทยพีบีเอสเป็นสื่ออิสระ สื่อสาธารณะที่ดีเลิศประเสริฐศรีกว่าคนอื่น เพราะแท้จริงแล้ว ถ้าไม่มีรัฐประหาร 2549 นายทักษิณก็คงยังครองไอทีวีอยู่
ไอเดียบรรเจิดตอนนี้ ก็จินตนาการไปว่าต้องการให้ ไทยพีบีเอส มีสถานะเป็นเหมือนกับ BBC ของอังกฤษ, PBS ของสหรัฐอเมริกาหรือ NHK ของญี่ปุ่นคือเป็นสื่อสาธารณะที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงาน ไม่ต้องเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลเหมือนกับกรมประชาสัมพันธ์ หรือ ช่อง NBT
แต่ความแตกต่างก็คือ BBC และ NHK มีรายได้จากการบังคับเก็บค่ารับสัญญาณจากประชาชนที่มีโทรทัศน์ หรือ PBS ก็มีค่าสมาชิก, เงินบริจาค รวมถึงเงินจากภาครัฐ แต่ว่าไทยพีบีเอสมีรายได้หลัก มาจาก เงินจากภาษีตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ในอัตรา 1.5% สูงสุดปีงบประมาณละไม่เกิน 2,000 ล้านบาท โดยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังมีอำนาจปรับเพดานสูงสุดของเงินได้ทุก ๆ 3 ปี
นอกจากนี้ รายได้หรือการหาประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การ รวมทั้งดอกผลที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินขององค์การ ยังไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ อีกด้วย ทำให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาไทยพีบีเอสจึงมีรายได้สูงถึง 2,700-2,800 ล้านบาทต่อไป
ไทยพีบีเอสจึงเป็นเหมือน “เสือนอนกิน” เพราะมีการันตีรายได้แน่นอน อย่างน้อยปีละ 2,000 ล้านบาท และยังไม่รวมดอกผลจากทรัพย์สินที่สั่งสมมานานถึง 15 ปี
ในด้านการบริหารงาน ไทยพีบีเอส มี คณะกรรมการนโยบาย และคณะกรรมการบริหาร นอกจากนี้ยังมี คณะอนุกรรมการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนฯ และสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ ด้วย
ถึงแม้ไทยพีบีเอสจะมีโครงสร้างที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับประกันความเป็นอิสระในการทำงาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่ผ่านมา ผู้บริหารของไทยพีบีเอส ล้วนมาจากคนใน “ตระกูล ส” โดยเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จนถูกเรียกว่าเป็น “สื่อกระบอกเสียงของ NGO” ผู้บริหารขององค์กรตระกูล ส. รวมทั้งไทยพีบีเอส ถูกวิจารณ์ว่าผูกขาดอำนาจ เป็นคนกลุ่มเดียวเวียนไปมาระหว่างองค์กร ผู้อำนวยการ และประธานคณะกรรมการบริหารไทยบีพีเอส
โดยคนกลุ่มนี้เนื่องจากเป็นบุคลากรในแวดวงสาธารณสุข หรือการศึกษามาก่อน ไม่เชี่ยวชาญ-ช่ำชองเรื่องสื่อจึงต้องพึ่งพาบุคลากรจากองค์การสื่ออื่นๆ ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก เนื่องจากอุตสาหกรรมสื่อที่ถูกคุกคามจากสื่อในรูปแบบใหม่ และแพลตฟอร์มต่างประเทศ โดยตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา บุคลากรสื่อที่ไทยพีบีเอสพึ่งพาจำนวนนั้นก็มาจากเครือเนชั่น ซึ่งนายเทพชัย หย่อง, นายก่อเขต, นายอดิศักดิ์ เคยเป็นผู้บริหารมาก่อนนั่นเอง
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะมีการทบทวนว่า เงิน 2,000 ล้านบาทที่ให้กับไทยพีบีเอสเป็นประจำทุกปีมีความคุ้มค่าแค่ไหน ? เรตติ้งของสถานีเป็นอย่างไร ? และยังจำเป็นต้องมีไทยพีบีเอสอยู่หรือไม่ ? เพราะในช่วงวิกฤตไทยพีบีเอสก็ไม่ได้มีบทบาท หรือ สามารถชี้นำสังคมเพื่อเสนอทางออกแก้ปัญหาใด ๆ ได้ หนำซ้ำตัวเองยังเป็นตัวสร้างปัญหาเพิ่มเติมด้วยอีกต่างหาก


