เปิดผลวิจัยผลกระทบ 'คนละครึ่ง' ตลอด 3 ปี พบร้านค้าที่เข้าร่วมยอดขายพุ่งเฉลี่ย 50% พร้อมเปิดสถิติยอดขายยังดีต่อเนื่องแม้จบโครงการ แต่เตือนจุดเปราะบางเรื่อง 'เงินกระจุกตัว' ในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ ชง 2 ข้อเสนอปรับปรุงเกณฑ์เพื่อความยั่งยืนและเป็นธรรมต่อผู้เสียภาษี
วันนี้ (25 ธ.ค.) “ศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำ ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) ออกมาโพสต์ข้อความวิเคราะห์ผลกระทบโครงการ "คนละครึ่ง" โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า
““คนละครึ่ง” เป็นหนึ่งในนโยบายที่ได้รับความนิยมสูง ช่วยลดภาระค่าครองชีพ และทำให้ตลาด ร้านอาหาร กลับมาคึกคักในช่วงวิกฤต
ด้วยความสำเร็จในเชิงการเมือง เรามีโอกาสที่จะได้เห็นนโยบายลักษณะนี้กลับมาอีก ไม่ว่าพรรคใดจะเป็นรัฐบาล
แต่คำถามเชิงนโยบายที่สำคัญกว่าคือ
คนละครึ่ง ‘ช่วยร้านเล็ก’ จริงแค่ไหน เงินกระจุกอยู่ที่ใคร และควรออกแบบอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม
จากงานวิจัยที่ใช้ข้อมูลธุรกรรม e-payment ควบคู่กับข้อมูลจาก LINE MAN Wongnai เพื่อประเมินผลกระทบของโครงการคนละครึ่ง (ปี 2563–2565) ต่อ ‘ฝั่งร้านค้า’
เราพบภาพทั้งด้านที่ควรสนับสนุน และจุดที่ต้องระวังอย่างจริงจัง
บทความวิจัยนี้จัดทำโดย คุณณัฐพล เลิศเมธาพัฒน์, ดร.นฎา วะสี, ดร.พิทวัส พูนผลกุล และผู้เขียน
ขอสรุปเป็น 3 ข้อสังเกต + 1 ข้อเสนอ ดังนี้
.
.
1) เข้าคนละครึ่งแล้ว “ช่วยร้านค้า” ได้จริง
ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมี ยอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 50%
ที่น่าสนใจคือ ยอดขายนอกโครงการ (ธุรกรรมที่ไม่ใช้สิทธิคนละครึ่ง) ก็เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 13% ในช่วงเดียวกัน
ผลลัพธ์นี้พบทั้งในร้านค้าทั่วไปและร้านบนแพลตฟอร์ม
เมื่อดูกลไกในเชิงลึก กลไลหลักไม่ใช่การใช้จ่ายต่อครั้งที่สูงขึ้น แต่คือการขยายฐานลูกค้า
บนแพลตฟอร์ม ร้านที่เข้าร่วมมีจำนวนลูกค้าไม่ซ้ำเพิ่มขึ้น 176% และจำนวนคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 167%
สะท้อนว่า คนละครึ่งมีบทบาทสำคัญในการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงร้านค้าขนาดเล็กที่ไม่เคยใช้บริการมาก่อน มากกว่าการกระตุ้นให้ใช้จ่ายต่อครั้งในปริมาณที่สูงขึ้น
และที่สำคัญ ผลไม่ได้หายไปพร้อมจบโครงการ
หลังสิ้นสุดโครงการแล้ว ร้านที่เคยเข้าร่วม โดยเฉพาะร้านเล็ก ยังมียอดขายสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการ
.
.
2) แต่เงินสนับสนุนจากรัฐ “กระจุกตัว” สูงมาก
แม้ร้านเล็กจำนวนมากได้ประโยชน์ แต่เมื่อมองการกระจายงบประมาณ ภาพกลับไม่สวยนัก
ผู้ประกอบการกลุ่ม Top 5% (ประมาณ 65,000 ราย) ได้รับเงินจากโครงการรวมกันถึง 41% ของงบทั้งหมด
ร้านกลุ่มนี้โดยทั่วไปมีขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่แล้ว มีลูกค้าที่คุ้นเคยกับระบบ e-payment และและเข้าร่วมโครงการแทบทุกระยะ
โดยเฉลี่ยร้านที่ได้ประโยชน์สูงสุดเหล่านี้ ได้รับเงินจากรัฐนานถึง 351 วัน จากระยะโครงการทั้งหมด 494 วัน
พูดง่าย ๆ คือ
เม็ดเงินเกือบครึ่งของมาตรการที่ตั้งใจ “ช่วยรายย่อย”
กลับไปกระจุกตัวเป็นอย่างมากในร้านขนาดใหญ่ Top 5%
.
.
3) ร้านออกจากโครงการเพราะกลัวโดนตรวจภาษี จริงไหม
มีความกังวลอยู่มากว่า ร้านค้าออกจากโครงการเพราะกลัวถูกดึงเข้าสู่ระบบภาษี
ข้อมูลธุรกรรม e-payment ชี้ว่า มีร้านออกจริง แต่คิดเป็นเพียงราว 6% เทียบกับร้านที่ยังอยู่ในโครงการ
แปลว่า “ความกลัวภาษี” มีอยู่ แต่ไม่ได้ทำให้โครงการสะดุดในเชิงจำนวนผู้เข้าร่วม
และถึงเวลาแล้วที่รัฐต้องทบทวนความกังวลว่าร้านค้าจะไม่กล้าเข้าร่วมโครงการ จนกลายเป็นข้อจำกัดในการใช้ข้อมูลจากโครงการเพื่อพาร้านค้าเข้าสู่ระบบ
.
.
4) ข้อเสนอนโยบาย: ถ้าคนละครึ่งกลับมา ควรปรับตรงไหน
ถ้ารัฐจะใช้มาตรการแบบคนละครึ่งอีกครั้ง มี 2 ประเด็นสำคัญที่ควรปรับ
หนึ่ง ลดการกระจุกตัวของเงินสนับสนุน
กำหนด เพดานเงินสูงสุด ที่ร้านค้าแต่ละรายจะได้รับ
เช่น ใช้ระดับ 90th percentile ของเงินสนับสนุนในอดีตเป็นจุดตัด
เพดานควรสูงพอที่จะไม่สร้างภาระในการตรวจสอบสิทธิ แต่ช่วยให้เงินไม่ไหลไปกระจุกที่ร้านไม่กี่ราย
สอง กำหนด “ปลายทาง” ให้ชัดว่าการเข้าร่วม = ต้องเข้าระบบ
หากรัฐให้สิทธิประโยชน์แก่ร้านค้า ควรกำหนดชัดเจนว่า
• ร้านต้องเสียภาษีอย่างถูกต้อง
• และข้อมูลจากโครงการสามารถใช้ตรวจสอบรายได้ได้
การให้สิทธิประโยชน์กับร้านนอกระบบมากกว่าร้านในระบบที่มีศักยภาพใกล้กัน ไม่เพียง ไม่เป็นธรรม
แต่ยัง บั่นทอนแรงจูงใจ ของผู้ประกอบการที่พยายามทำถูกกติกา
.
.
สรุปภาพใหญ่
คนละครึ่ง “ช่วยร้านค้า” จริง โดยเฉพาะในแง่การเปิดตลาดและสร้างลูกค้าใหม่
แต่ในเวลาเดียวกัน เงินช่วยเหลือกระจุกตัวสูง และยังไม่พาร้านเข้าสู่ระบบอย่างยั่งยืน
โจทย์ในอนาคตไม่ใช่แค่ว่า จะมีคนละครึ่งหรือไม่
แต่คือ จะออกแบบอย่างไรให้เงินรัฐไปถึงร้านเล็กจริง ลดการกระจุกตัว และบั่นทอนแรงจูงใจในการเข้าระบบ
และนี่คือคำถามที่เราควรถามพรรคการเมืองทุกพรรคในฤดูกาลเลือกตั้งนี้ว่า
นโยบายที่เสนอกำลังสร้างแรงจูงใจแบบไหนให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว และใครคือผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริงจากนโยบายนั้น
ศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ
คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ


