ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ เผยพบทหารกัมพูชานำลูกเมียเข้าอยู่ในบังเกอร์ นำผู้บริสุทธิ์มาเสี่ยงอันตรายหวังผลป้องกันเป้าหมายทางทหาร เข้าข่ายละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ส่อเป็นอาชญากรรมสงคราม เรียกร้องกองทัพกัมพูชายุติการนำพลเรือนเข้าสู่พื้นที่ทางทหารโดยทันที ย้ำพลเรือนไม่ใช่อาวุธ เด็กไม่ควรถูกนำมาอยู่ในสนามรบ
วันที่ 21 ธ.ค.ศูนย์แถลงข่าวร่วมเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา เปิดเผยข้อมูลกรณีปรากฏหลักฐานว่ากองทัพกัมพูชาบางส่วนได้นำพลเรือนเข้าไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ทางทหารและบังเกอร์แนวหน้า ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน ซึ่งอาจเข้าข่ายการละเมิดหลักการคุ้มครองพลเรือนตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ระบุว่า ฝ่ายไทยได้รับข้อมูลและหลักฐานจากแหล่งข่าวเปิด (OSINT) ประกอบกับการตรวจสอบภาคสนาม พบว่ากำลังทหารกัมพูชาบางหน่วยได้นำภรรยาและบุตรซึ่งเป็นพลเรือน เข้าไปพำนักอยู่ภายในบังเกอร์และพื้นที่ทางทหารในเขตปฏิบัติการขณะมีการสู้รบในแนวหน้า
แม้ฝ่ายไทยจะไม่ใช้ถ้อยคำกล่าวหาในเชิงอารมณ์ แต่ย้ำว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงในสนามรบ ซึ่งสะท้อนถึงการนำพลเรือน โดยเฉพาะสตรีและเด็ก ไปอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร อันเป็นการนำผู้บริสุทธิ์มาเสี่ยงอันตรายเพื่อหวังผลในการป้องกันเป้าหมายทางทหาร และเข้าข่ายการละเมิดหลักการคุ้มครองพลเรือนตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การมีพลเรือนอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารไม่ถือว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยตัวของมันเอง อย่างไรก็ดี หากเป็นการจงใจใช้พลเรือนเพื่อประโยชน์ทางทหาร จะถือเป็นการขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ปี ค.ศ.1949 มาตรา 28 ซึ่งห้ามมิให้ใช้การปรากฏตัวของพลเรือนเพื่อให้พื้นที่หรือเป้าหมายทางทหารรอดพ้นจากการปฏิบัติการทางทหาร รวมถึงพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 1 ปี ค.ศ.1977 มาตรา 51 วรรค 7 ที่ห้ามใช้พลเรือนเพื่อบดบังหรือคุ้มกันเป้าหมายทางทหาร
นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมสงครามภายใต้ธรรมนูญกรุงโรมของศาลอาญาระหว่างประเทศ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการจงใจใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์เพื่อคุ้มกันเป้าหมายหรือปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งอาจอยู่ภายใต้มาตรา 8(2)(b)(xxii) หรือ 8(2)(e)(xiii)
ฝ่ายไทยยืนยันว่า ยึดมั่นในหลักการคุ้มครองพลเรือนตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด และไม่มีนโยบายหรือการกระทำใดที่มุ่งทำร้ายพลเรือน โดยการนำพลเรือนเข้าสู่พื้นที่สู้รบถือเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายที่กระทำ และเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกไม่อาจยอมรับได้
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเรียกร้องให้กองทัพกัมพูชายุติการนำพลเรือนเข้าสู่พื้นที่ทางทหารโดยทันที ปฏิบัติตามพันธกรณีด้านกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด และคุ้มครองสตรี เด็ก และพลเรือนให้พ้นจากอันตรายของการสู้รบ
ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ เน้นย้ำว่า “พลเรือนไม่ใช่อาวุธ และเด็กไม่ควรถูกนำมาอยู่ในสนามรบ การนำพลเรือนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารเพื่อทำให้พื้นที่หรือเป้าหมายทางทหารรอดพ้นจากการปฏิบัติการทางทหาร เป็นสิ่งที่ขัดต่อมนุษยธรรมและกฎหมายสากลอย่างสิ้นเชิง”
Q&A : กรณีปรากฏข้อมูลการนำพลเรือนเข้าอยู่ในบังเกอร์ทางทหารของกัมพูชา
Q1: ฝ่ายไทยพบข้อเท็จจริงใดเกี่ยวกับการปฏิบัติของกองทัพกัมพูชาในแนวหน้า
A: ฝ่ายไทยได้รับข้อมูลและหลักฐานจากแหล่งข่าวเปิด (OSINT) และการตรวจสอบภาคสนามว่ามีกำลังทหาร กัมพูชาบางส่วนได้นำภรรยาและบุตรซึ่งเป็นพลเรือน เข้าไปอาศัยอยู่ภายในบังเกอร์และพื้นที่ทางทหารขณะมี การสู้รบในแนวหน้า
Q2: การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการใช้ “โล่มนุษย์ (Human Shields)” หรือไม่
A: ประเทศไทยไม่ต้องการใช้ถ้อยคำกล่าวหาเชิงอารมณ์ แต่ขอชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงในสนามรบว่าพฤติการณ์ ในการนำพลเรือน โดยเฉพาะสตรีและเด็ก เข้าไปอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารเช่นนี้ ถือเป็นการนำผู้บริสุทธิ์ มาเสี่ยงอันตรายเพื่อหวังผลในการป้องกันเป้าหมายทางทหาร และเข้าข่ายการละเมิดหลักการคุ้มครองพลเรือน ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
Q3: การนำพลเรือนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารนั้น ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไร
A: การมีพลเรือนอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร ไม่ถือว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยตัวของมันเอง อย่างไรก็ดี การกระทำจะขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) อย่างชัดเจน หากเป็นการจงใจใช้พลเรือน เพื่อประโยชน์ทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 (1949) มาตรา 28 ซึ่งห้ามมิให้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งใช้การปรากฏตัวของพลเรือนเพื่อทำให้พื้นที่หรือเป้าหมายทางทหารรอดพ้นจากการปฏิบัติการทางทหาร และพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 1 (1977) มาตรา 51 วรรค 7 ซึ่งห้ามใช้พลเรือนเพื่อบดบังหรือคุ้มกันเป้าหมายทางทหาร และห้ามบังคับให้มีการเคลื่อนย้ายหรือจัดวางพลเรือนเพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางการทหาร
Q4: การกระทำดังกล่าวถือเป็นอาชญากรรมสงครามหรือไม่
A: การกระทำดังกล่าว อาจเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมสงคราม ภายใต้ธรรมนูญกรุงโรมของศาลอาญาระหว่าง ประเทศ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการจงใจใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ (human shields) เพื่อคุ้มกันเป้าหมายหรือปฏิบัติการทางทหาร ทั้งนี้ ความผิดดังกล่าวอยู่ภายใต้มาตรา 8(2)(b)(xxii) หรือ 8(2)(e)(xiii) ของธรรมนูญกรุงโรม Q5: ฝ่ายไทยมีท่าทีอย่างไรต่อกรณีนี้
A: ฝ่ายไทยขอยืนยันว่าไทยยึดมั่นในหลักการคุ้มครองพลเรือน ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศไทย ไม่มีนโยบายหรือการกระทำใดที่มุ่งทำร้ายพลเรือน การนำพลเรือนเข้าสู่พื้นที่สู้รบเป็นความรับผิดชอบของ ฝ่ายที่กระทำ และเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกไม่อาจยอมรับได้
Q6: ข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยต่อกองทัพกัมพูชาคืออะไร
A: ฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้กองทัพกัมพูชายุติการนำพลเรือนเข้าสู่พื้นที่ทางทหารโดยทันที ปฏิบัติตามพันธกรณีด้านกฎหมาย มนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด และคุ้มครองสตรี เด็ก และพลเรือน ให้พ้นจากอันตรายของการสู้รบ
“พลเรือนไม่ใช่อาวุธ และเด็กไม่ควรถูกนำมาอยู่ในสนามรบ การนำพลเรือนเข้าไปอยู่ใน พื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร เพื่อทำให้พื้นที่หรือเป้าหมายทางทหารรอดพ้นจากการปฏิบัติการทางทหาร ถือเป็น สิ่งที่ขัดต่อมนุษยธรรมและกฎหมายสากลอย่างสิ้นเชิง”
ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
21 ธันวาคม 2568 เวลา 14.00 น.


