xs
xsm
sm
md
lg

แจกโจทย์พรรคการเมือง 4 ข้อเสนอปฏิรูประบบจัดการภัยพิบัติ : เมื่อเห็นแล้วว่าระบบราชการล้มเหลว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


น้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา ปี 2568
รายงานพิเศษ

เหตุการณ์น้ำท่วมหลายจุดในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยเฉพาะพื้นที่วิกฤตอย่าง อ.หาดใหญ่ ที่มีประชาชนหลายแสนคนติดอยู่กลางเมืองที่มีระดับน้ำท่วมสูงนานเกือบสัปดาห์ น้ำไหลแรง เชี่ยว ขาดอาหาร และระบบการติดต่อสื่อสารถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ภาครัฐให้การเตือนภัยไม่ทันต่อสถานการณ์ ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดและให้ข้อมูลผิดพลาดกับประชาชนอย่างร้ายแรงจนมีความเสียหายเพิ่มขึ้นมาก ข้อมูลที่ผิดพลาดยังทำให้ไม่มีศูนย์ประสานงานส่วนหน้า การสถาปนาระบบและศูนย์สั่งการในการให้ความช่วยเหลือเกิดขึ้นอย่างล่าช้า ไม่มีระบบสั่งการ การช่วยเหลือเป็นไปอย่างสะเปะสะปะจนลุกลามกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ประสบภัย

ทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่า ภาครัฐ ล้มเหลวตั้งแต่การเตรียมการ “ป้องกันภัย” และเมื่อเกิดภัยขึ้นแล้วก็ยังไม่สามารถ “บรรเทา” ความเดือดร้อนได้เลย ... ผู้ประสบภัย ทำได้เพียงการรอรับเงินชดเชยเยียวยาเท่านั้น


“รัฐบาลชุดต่อไป ต้องถือว่า ภัยพิบัติ เป็นวาระที่สำคัญของชาติ พรรคการเมืองที่หวังจะเข้ามาเป็นรัฐบาล จะต้องนำเสนอนโยบายการจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะเรื่อง “น้ำท่วม” ซึ่งเราเห็นกันแล้ว ลักษณะของฝนที่ตกในบ้านเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นลักษณะฝนตกแช่ มีปริมาณน้ำฝนวะสมสูงกว่าเดิมมาก ถ้ารัฐยังคงหวังพึ่งกลไกของราชการที่เทอะทะ และยังคงใช้กฎหมายเดิมที่ล้าสมัย ประชาชนก็คงจะต้องแบกรับการสูญเสียต่อไป”

ไมตรี จงไกรจักร์ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท และอดีตประธานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ ซึ่งทำงานต่อสู้กับภัยพิบัติต่าง ๆด้วยการขยายแนวคิด “ชุมชนจัดการภัยพิบัติ” มาต่อเนื่องเกือบ 20 ปี แสดงความคาดหวังว่า “พรรคการเมือง” ที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งในอีกไม่ถึง 2 เดือนข้างหน้า จะให้ความสำคัญกับนโยบายการจัดการภัยพิบัติ และเขายังเสนอแนวทางการปฏิรูปกฎหมายและปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการจัดการภัยพิบัติ เพื่อให้พรรคการเมืองนำไปใช้จัดทำเป็นนโยบายด้วย


ข้อเสนอ 1 ปรับปรุง พ.ร.บ.น้ำ - พ.ร.บ.ปภ. ให้เน้น “ป้องกัน” มากกว่า “บรรเทา”

“การจัดการภัยพิบัติ ต้องมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบ ลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น ลำดับความสำคัญแรก คือ เราต้องออกแบบแบบกฎหมายให้เอื้อต่อการเตรียมการป้องกันภัย ซึ่งในปัจจุบันนี้ เราอาศัยกฎหมายอยู่ 2 ฉบับคือ 1. พรบ.น้ำ ต้องทำให้เป็นกฎหมายที่สามารถใช้เพื่อบริหารจัดการน้ำก่อนเกิดภัย โดยจะต้องมีแผนการจัดการ มีระบบ และเมื่อคาดว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้น ก็ต้องทำให้ กฎหมายจัดการน้ำสามารถใช้เพื่อประกาศสำหรับการเตรียมการป้องกันในส่วนของการจัดการน้ำได้เลย”

“ส่วนกฎหมายอีกฉบับ คือ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ก็ควรให้ใช้อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในการเตรียมการประกันการป้องกันได้เต็มที่ ตั้งแต่การเตรียมเรือ เตรียมจัดตั้งศูนย์พักพิงรอไว้ เตรียมโรงครัว เตรียมหาช่องทางการสื่อสารไว้ให้พร้อม”

ข้อเสนอแรกของอดีตผู้ประสบภัยสึนามิรายนี้ คือ การปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ.น้ำ ให้มีไว้เพื่อใช้ในขั้นตอนการป้องกันภัยจาก “น้ำท่วม” ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพราะเป็นภัยที่เกิดบ่อย เสียหายเป็นวงกว้าง และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่วน พ.ร.บ.ปภ. ก็ต้องปรับปรุงให้เน้นไปที่การป้องกันภัยเช่นกัน เพราะในปัจจุบันแทบจะไม่มีกฎหมายฉบับไหนให้อำนาจหน่วยงานเพื่อทำการป้องกันภัย แม้แต่กฎหมาย ปภ.ก็มักจะถูกนำมาใช้เมื่อเกิดภัยขึ้นแล้ว หรือแม้แต่งบป้องกันภัยจังหวัดละ 10 ล้านบาท ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจใช้ได้ก่อน ก็แทบไม่เคยถูกนำมาใช้เลย หลังจากมีบางจังหวัดใช้ไปแล้วแต่ไม่เกิดภัยจนถูก สตง.ตรวจสอบและกล่าวหาว่าทุจริต

ดังนั้น นอกจากการเสนอแก้กฎหมายน้ำ และกฎหมาย ปภ.ให้เน้นไปที่การป้องกันภัยมากว่าการบรรเทาภัยแล้ว ไมตรี ยังนำเสนอให้รัฐต้องกระจายงบประมาณลงไปยังชุมชนเสี่ยงภัย เพื่อให้ชุมชนมีความรู้และมีสิทธิตัดสินใจออกแบบการจัดการภัยพิบัติให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของชุมชนได้ด้วยตัวเอง

น้ำท่วมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปี 2568
ข้อเสนอ 2 ... กระจายงบประมาณ ทรัพยากร องค์ความรู้ ให้ชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิเตรียมการป้องกันภัยพิบัติด้วยตัวเอง

“เราเห็นกันแล้วว่า การจัดการภัยพิบัติที่บริหารโดยหน่วยงานรัฐเท่านั้นมันไม่มีประสิทธิภาพ เราก็ต้องทำให้อำนาจการจัดการภัยพิบัติกระจายลงไปที่ท้องถิ่นได้ด้วย ดังนั้น คำว่า “ป้องกันภัย” ตาม พ.ร.บ.ปภ. ก็ควรเริ่มใช้กฎหมายได้เลย แม้ในเวลาที่ยังไม่มีภัย ด้วยการเน้นการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณลงไปที่ชุมชนท้องถิ่นให้มีความสามารถเตรียมพร้อมรับมือภัยด้วยตัวเองได้ ตั้งแต่การฝึกอบรมให้ชุมชนเสี่ยงภัย เตรียมคนในชุมชนให้มีศักยภาพช่วยเหลือกันเองอย่างถูกต้อง เตรียมข้อมูลประชากรกลุ่มเปราะบางที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง เตรียมสถานที่หลบภัย เตรียมเครื่องมือช่วยเหลือ เครื่องมือสื่อสาร เมื่อชุมชนช่วยเหลือดูแลดูแลกันเองตั้งแต่ก่อนเกิดภัยได้ ก็จะลดความสูญเสียและการร้องขอความช่วยเหลือไปได้มาก”

“แต่ในระหว่างที่ยังเรายังใช้ พ.ร.บ.ปภ. แบบเดิม งบประมาณส่วนที่จะใช้เพื่อการเตรียมพร้อมให้ชุมชนเสี่ยงภัยนี้ ภาคประชาชนได้เสนอให้จัดตั้งเป็น “กองทุนเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ” และผ่านเป็นมติคณะรัฐมนตรีไปแล้ว แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เราก็หวังให้ต้องไปเขียนไว้กฎหมาย”

ไมตรี อธิบายหลักการของ กองทุนเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติไว้ด้วยว่า จะเป็นงบประมาณที่กำหนดให้ ท้องถิ่น ตั้งแต่ระดับ อบต.หรือ เทศบาล ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นงบจัดการภัยพิบัติ และให้กระทรวงมหาดไทยสมทบเพิ่มลงไปเท่ากับงบที่ท้องถิ่นตั้งขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่การนำไปทำเขื่อนหรือคันกั้นน้ำ แต่เป็นการเตรียมความพร้อมด้านทักษะ องค์ความรู้ จัดหาพื้นที่ปลอดภัยหรือศูนย์พักพิงในชุมชน เช่น อบต.A ตั้งงบส่วนนี้ไว้ 5 แสนบาท ก็จะได้รับงบสมทบจากกระทรวงมหาดไทยเพิ่มอีก 5 แสนบาท

“ถ้าเราเริ่มทำแบบนี้นี้ได้ ในที่สุดท้องถิ่นจัดการภัยพิบัติได้เองเลยนะ ถ้ากฎหมายเอื้อให้ท้องถิ่นมีอำนาจจัดการ ท้องถิ่นจะเป็นคนที่สามารถประกาศพื้นที่ภัยพิบัติได้เป็นคนแรก และกลไกการใช้งบประมาณเพื่อเตรียมการป้องกันจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่าเดิมมาก”

“ถ้ากังวลว่า ท้องถิ่นจะประกาศภัยพิบัติพร่ำเพรื่อ เพราะหวังนำงบประมาณไปใช้ในทางมิชอบ มันก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ของการเกิดภัย ที่ต้องเป็นไปตามเกณฑ์นี้ให้สามารถ checklist ได้ และหากใช้หลักการนี้ การประกาศภัยเกิดขึ้นก่อนโดยจังหวัด ก็ต้องหมุนงบลงมาให้ท้องถิ่นได้ ซึ่งในเวลานี้ทำไม่ได้ เพราะระเบียบไม่เอื้อ”


ข้อเสนอ 3 ชวนคิด ผู้ว่าฯ – นายก อบจ. ใครควรเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ภัยพิบัติ

“จากบทเรียนที่สงขลา เราจะเห็นว่า ท่านผู้ว่าฯ เพิ่งย้ายมาประจำการแค่ 10 กว่าวัน แล้วก็มาเกิดภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ ถ้าต้องเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ก็เป็นผู้บัญชาการที่ยังไม่รู้จักพื้นที่เลย และอาจจะยากที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ นี่เป็นช่องโหว่ที่เรามองเห็น และอาจะเป็นสาเหตุที่เราไม่เห็นบทบาทการตั้งศูนย์สั่งการที่มีประสิทธิภาพจากเหตุการณ์นี้”

ถัดมาจากขั้นตอนการเตรียมความพร้อมรับมือและการเตรียมการป้องกันภัย อดีตผู้ประสบภัยสึนามิ ยังมองว่า การที่กฎหมายระบุให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์เมื่อเกิดภัยแล้ว ก็อาจเป็นอีกประเด็นที่ต้องแก้ไข เพราะถ้ามองตามความจริงแล้ว เราก็จะพบว่า คนที่รู้จักพื้นที่ของตัวเองดีที่สุด และควรมีอำนาจสั่งการ ก็คือ นายก อบจ.

“เราอาจจะยังคงให้อำนาจผู้ว่าฯ เป็นผู้ประกาศก็ได้ภัยพิบัติได้ แต่เมื่อประกาศแล้ว คนที่ควรจะมีอำนาจเต็มในการสั่งการในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด ควรจะเป็นนายก อบจ. และกฎหมายก็ต้องให้อำนาจผู้บัญชาการเหตุการณ์ให้สามารถสั่งงานหน่วยราชการในพื้นที่ได้ด้วย ... เราต้องไม่ลืมว่า ภัยพิบัติมันมาได้แบบไม่เลือกเวลา เราไม่มีทางรู้ว่า วันที่เกิดภัยขึ้น ผู้ว่าฯย้ายมาทำงานได้แล้วกี่วัน รู้จักพื้นที่ดีหรือยัง และจะโยกย้ายกันอีกเมื่อไหร่ อย่างพื้นที่ภาคใต้ มักจะมีฝนตกหนักในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นฤดูกาลโยกย้ายพอดีและมันก็มีปัญหาตลอด เราควรยอมรับความจริงนะว่า ควรให้ นายก อบจ.มาเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์มากกว่า”


ข้อเสนอ 4 ... แยกหน่วยงานจัดการภัยพิบัติ ออกจากระบบราชการที่เทอะทะ มาขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี

“เรื่องภัยพิบัติ เป็นเรื่องที่มูลค่าสูงมากนะ ... ถ้าจัดการภัยพิบัติไม่ดี ก็จะทำให้เกิดปัญหาหนี้สินของประชาชนที่เป็นผู้ประสบภัย สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงในระยะยาว ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศด้วยซ้ำ ....

ดังนั้น ถ้าจะเสนอให้สุดทางกันไปเลย ก็ขอเสนอว่า หน่วยงานราชการต่างๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติ ต้องถูกแยกออกมาจากระบบราชการที่เทอะทะ มาตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ที่ Smart และรวดเร็ว โดยเฉพาะกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติ รวมทั้งหน่วยงานที่ทำงานด้านข้อมูลน้ำและอากาศต่าง ๆ"

“ถ้าพูดถึงคำว่า “ทันท่วงที” เราอาจตั้งโจทย์ใหม่ได้ว่า เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ทำยังไงให้เรือของ ปภ. ลงไปและผิวน้ำได้เร็วกว่าเรือของอาสาสมัครภาคเอกชน” ไมตรียกตัวอย่าง เพื่อตั้งโจทย์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่ข้อเสนอต่อไปของเขาที่อาจรวมไปถึงการรวมเอาพลังของอาสาสมัครกู้ภัยต่างๆ มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพได้มากขึ้นด้วย เพราะเขามองว่า สาเหตุของความล่าช้า ก็คือ การใช้ระบบสายงานบังคับบัญชาเหมือนระบบราชการทั่วไป ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการนำมาใช้ทำงานที่ต้องการความเร็วอย่างภัยพิบัติ

“ผมคิดว่ามีหลายคนเสนอให้ตั้งเป็นกระทรวงภัยพิบัติพิบัติด้วยซ้ำนะ แต่ว่าไม่ต้องถึงขั้นนั้นก็ได้ แต่เราอยากลองเสนอให้ย้ายกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมาเป็นองค์กรที่ขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี คล้าย ๆ สทนช. แล้วก็รับผิดชอบโดยสามารถดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติเข้ามาช่วยงานได้เลย อาจจะมีรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแลโดยตรงก็ได้”

ไมตรี ยื่นข้อเสนอนี้ต่อพรรคการเมือง เพราะเห็นว่า การจัดการภัยพิบัติเป็นงานที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบสูง การประกาศเตือนภัยหรือประกาศอพบพแต่ละครั้ง หรือการประเมินผิดพลาดจนเกิดความเสียหายแต่ละครั้งล้วนมีผลต่อกระทบที่รัฐต้องจ่ายในราคาแพงทั้งสิ้น ดังนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องภัยพิบัติ ควรมีอิสระพอสมควร และต้องกำกับดูแลโดยผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริง
กำลังโหลดความคิดเห็น