รายงานพิเศษ
“ในฐานะแพทย์นิติเวช เราต้องพบเจอเคสที่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันกับเหตุที่เกิดขึ้นในกรณีการเสียชีวิตของน้องนักข่าวชื่อดังมาเป็นจำนวนมาก และหากมองเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน เราก็เห็นความแตกต่างกันอย่างมาก เพราะเกิดปรากฏการณ์ที่ทำให้มีหลายภาคส่วนในสังคมที่เข้ามามีบทบาทส่งผลต่อการหาเสียพฤติการณ์การเสียชีวิตในปัจจุบัน”
“อย่างในกรณีของน้องนักข่าว ที่ถูกตั้งข้อสงสัยถึงพฤติการณ์การตายไปต่าง ๆ นา ๆ มีหลายคนถูกสังคมมองเป็นผู้ต้องสงสัย ชีวิตส่วนตัวของพวกเขาถูกเปิดเผยตีแผ่ออกมากลายเป็นเรื่องสาธารณะ แต่สุดท้าย ความจริงก็ได้ปรากฏแบบหมดสิ้นข้อสงสัยด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาหลักร้อยหลักพัน ที่เรียกว่า “กล้องวงจรปิด” นี่จึงเป็นเคสที่เราควรนำมาเป็นตัวอย่างเพื่อกระตุกต่อมคิดของสังคมไทย ว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากเคสนี้บ้าง”
นพ.ภาณุวัฒน์ ชุติวงศ์ รึประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ยกตัวอย่างกรณีที่สื่อมวลชนหลายสำนักและกลุ่มคนที่แสดงความเห็นในโลกออนไลน์ พยายามตั้งสมมติฐานต่าง ๆ ถึงสาเหตุการเสียชีวิตของนักข่าวชื่อดัง โดยใช้ความเชื่อว่าน่าจะเป็น “การฆาตกรรม” หลังมีผลการตรวจพิสูจน์พบสารไซยาไนด์ในกระเพาะอาหารและเลือดของผู้เสียชีวิต จนทำให้มีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคนถูกสังคมออนไลน์วิจารณ์ในฐานะผู้ต้องสงสัย แม้ว่าข้อสันนิษฐานเหล่านั้นจะไม่สอดคล้องกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ จึงจำเป็นต้องออกมาแสดงความเห็นในฐานะแพทย์นิติเวช เพราะกังวลว่า หากสังคมไทยยังมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคำว่า “ความยุติธรรม” และอาจทำให้คนจำนวนหนึ่งไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างที่ควรจะเป็นไปตามข้อเท็จจริง
ประการที่ 1 ... การเสียชีวิตของคนมีชื่อเสียงมักจะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเหตุฆาตกรรม นำไปสู่ “การตั้งข้อสงสัยร่วม”
“เมื่อต้องตรวจชันสูตรการเสียชีวิตของคนมีชื่อเสียงเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ดารา นักร้อง นางแบบ ไฮโซ นักการเมือง ไปจนถึงอาชีพบางประเภทที่คนให้ความสนใจเป็นพิเศษ เช่น หมอ พยาบาล หรือ นักข่าว แพทย์นิติเวชมักจะถูกตั้งคำถามเสมอ โดยขอให้ระบุถึง สาเหตุการตาย (cause of death) และพฤติการณ์การตาย (manner of death) เพราะสังคมมักจะข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเหตุฆาตกรรม”
นพ.ภาณูวัฒน์ อธิบายเพิ่มเติมตามหลักวิชาการ โดยระบุว่า สาเหตุการตาย ในทางนิติเวช จะแยกออกเป็น “การตายตามธรรมชาติ” คือ การเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บโดยทั่วไป และ “การตายผิดธรรมชาติ” คือ การเสียชีวิตที่ไม่เป็นไปตามกลไกของโรคทั้งหลาย เช่น ถูกยิง ถูกแทง ไฟดูด จมน้ำ รถชน ตกจากที่สูง แขวนคอตาย หรือการได้รับสารพิษ ซึ่งแพทย์จะบอกได้เพียงว่า อะไรเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนผู้นั้นเสียชีวิต เช่น ถูกกระแทกด้วยของแข็ง ขาดอากาศหายใจ หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หรือได้รับสารพิษ แต่ยังบอกไม่ได้ว่า ใครทำ ทำเอง อุบัติเหตุ หรือถูกกระทำ
ดังนั้น สิ่งที่คนทั่วไปสนใจมากกว่าสาเหตุการตาย ก็คือ “พฤติการณ์การตาย” หรือพูดง่าย ๆ ได้ว่า คนอยากรู้ว่า ฆ่าตัวตาย ฆาตกรรม หรือเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งจะนำไปสู่การขับเคลื่อนต่อเพื่อค้นหาความจริงในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจุดนี้ เป็นจุดที่แพทย์นิติเวช มักจะต้องประสบพบเจอกับคำตัดสินจากความเชื่อของสังคม ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนจะพิสูจน์ด้วยซ้ำ
.
“คนมีชื่อเสียง มักจะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่า “ถูกฆาตกรรม” สูงกว่าพฤติการณ์อื่น และมากกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีชื่อเสียง แม้ว่าจะเป็นลักษณะการตายที่เหมือนกันทุกประการ ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ ก็เป็นรูปแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นมาตลอดจากอดีตถึงปัจจุบัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือการที่สื่อสังคมออนไลน์มีอิทธิพลทางความคิดและชี้นำความคิดของสังคมได้มาก และแต่ละคนสามารถแสดงความเห็นได้อย่างอิสระจนเกิดเป็น ความรู้สึกสงสัยร่วม ของสังคม”
.
ในการบรรยายในหลักสูตรเกี่ยวกับงานนิติเวช นพ.ภาณุวัฒน์ เล่าว่า หากนำภาพกรณีศึกษาต่าง ๆ ไปเปิดให้นิสิต นักศึกษาดู เพื่อวิเคราะห์หา “พฤติการณ์การตาย” ของเคสนั้นที่ผู้เรียนคิดว่าเป็นไปได้มากที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาเหมือนกันทุกครั้ง คือ “ความรู้สึก” หรือ “จิตใต้สำนึก” มักจะเลือกคำตอบดูมีเงื่อนงำก่อน และได้พฤติการณ์การตายที่แย่ที่สุด เหมือนกระบวนการของสมองมนุษย์ที่มักถูกฝึกให้หา “ผู้ร้าย” ก่อนเสมอ ดังนั้นคำว่า “ฆาตกรรม” มักจะถูกตีตราไว้ในหัวก่อนแทบทุกครั้ง
.
ประการที่ 2 ... เมื่อวิทยาศาสตร์สวนทางกับความเห็นของมวลชน ความยุติธรรมอาจถูกบิดเบือน
.
“ถ้าแพทย์นิติเวชเปิดเผยผลตรวจพิสูจน์ออกมาแล้วได้ผลตรงใจกับความเชื่อของมวลชน ก็อาจจะมีเสียงสรรเสริญว่า หมอเก่ง หมอคืออัจฉริยะ แต่ถ้าได้ผลตรวจชันสูตรออกมาในทางที่ไม่ตรงใจคนหมู่มาก แม้จะมีหลักฐานหรือเหตุผลทางวิชาการที่น่าเชื่อถือมาอธิบายประกอบมากเพียงใดก็ตาม แพทย์คนเดียวกัน อาจจะได้รับคำสรรเสริญต่างออกไปเป็น หมอกระจอก หมอไม่ฉลาด หมอไม่ช่างสังเกต เลยเถิดไปจนถึงข้อกล่าวหาว่า แพทย์ผู้ตรวจชันสูตรรับเงินสินบนไปเลยด้วยซ้ำ”
.
ผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม คือ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่รองนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย เห็นว่า การค้นพบความจริงที่สิ้นสงสัยจากเคสการเสียชีวิตของนักข่าวน่าจะเป็นกรณีศึกษาที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม เพราะมีหลายคดีที่ผ่านมาซึ่งการให้ความเห็นของคนในสังคมทั้งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและไม่เชี่ยวชาญ การแสดงความเห็นทั้งผ่านสื่อมวลชนและช่องทางส่วนบุคคล ไปส่งผลให้บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมทำงานลำบากขึ้นมากหากผลของคดีไม่ตรงกับความรู้สึกของมวลชน ไม่ใช่เพียงเฉพาะแพทย์นิติเวช แต่รวมไปถึงบุคลากรในหน่วยงานอื่น ๆ ตั้งแต่ ตำรวจ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน อัยการ ไปจนถึงศาลยุติธรรม
.
“ถ้าแพทย์นิติเวชอธิบายและแปลผลไปตามหลักฐานด้วยความสัตย์จริง มีการอ้างตำราวิชาการหรืองานวิจัยต่างๆ แต่กลับไม่ตรงจริตในความคิดของคนหมู่มาก แพทย์คนนั้นก็อาจตกเป็นจำเลยของสังคมได้เลย และโดนต่อว่าในลักษณะไม่เก่งจริง ไปจนถึงกล่าวหาว่ารับเงินเขามาให้มาพูดแบบนี้ จากนั้น .. สื่อต่าง ๆ ก็จะไปควานหาตัวผู้เชี่ยวชาญ (ที่อาจไม่เคยลงหน้างานจริงมาก่อน) นักวิเคราะห์ หรือ นักสืบโซเชียล ที่สามารถตั้งประเด็นให้ตรงใจกับพฤติการณ์การตายที่คนอยากให้เป็น จากนั้นเราก็จะเห็นการทัวร์ออกรายการช่องโน้นช่องนี้อยู่เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ขนานไปกับการทำงานของคนในกระบวนการยุติธรรม จนกว่าจะมีข้อยุติ”
.
“ผลกระทบจากวงจรนี้ คือ “ความกดดัน” ของคนทำงาน อาจนำไปสู่การสั่งการให้ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ หลายครั้งเกิดกระบวนการตรวจสอบซ้ำโดยไม่จำเป็น เช่น ต้องผ่าศพซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่ไม่ได้เกิดประโยชน์ใด ๆ นอกจากเป็นการผลาญงบประมาณและทรัพยากรของประเทศไปเปล่า ๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะได้ผลลัพธ์ไม่ต่างไปจากเดิม เพียงแต่ต้องทำเพื่อให้คนติดตามได้เห็นว่าคนในกระบวนการได้ “action” แล้ว กับสิ่งที่ “สังคม” ให้ความสงสัยเท่านั้น”
.
นพ.ภาณุวัฒน์ บอกอีกว่า มีหลายครั้งที่เขาต้องไปเป็นพยานในชั้นศาลด้วยความรู้สึก “ปวดใจ” เพราะต้องนำผลการตรวจชันสูตรทางวิทยาศาสตร์ ไปสู้ในชั้นศาลกับ วิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) ที่ไม่ได้รับการยอมรับตามหลักสากล แต่กลับมีความเป็นไปได้ในประเทศไทยที่สิ่งนั้นอาจมีผลกับการพิจารณาคดี
.
ประการที่ 3 ... อันตรายจากการนำเสนอคดีแบบเจาะลึก ราวกับสอนให้ “ว่าที่ฆาตกร” ได้เรียนวิธีการลงมือ
.
“เมื่อมีเคสที่ผู้คนให้ความสนใจ จะเกิดการแข่งขันกันนำเสนอข่าวแบบรายวัน ถึงขนาดต้องไปทำภาพจำลองเหตุการณ์ทั้งที่ยังเป็นเพียงคำบอกเล่าหรือสมมติฐาน และทุกครั้งจะต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญทุกศาสตร์ มาเพื่อวิเคราะห์ในทุกอณูที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ อดีตพนักงานสอบสวน พิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช นักพิษวิทยา นักอาชญวิทยา ไปถึงหมอผี ไสยศาสตร์ อะไรที่พอจะให้คำตอบได้จะเชิญมาทั้งหมด บางอย่างอาจมีประโยชน์หากสามารถตั้งประเด็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ แต่ส่วนมากมันส่ง “ผลลบ” มากกว่า เนื่องจากเชิญผู้ไม่รู้จริงมาวิเคราะห์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดๆ ของผู้รับฟัง”
.
แม้วิธีการนำเสนอที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดจะส่งผลลบมากกว่าผลดี แต่ยังมีอีกประเด็นที่ นพ.ภาณุวัฒน์ ระบุว่า เราจะไม่เห็นการหยิบเอาประเด็นของคดีที่ยังไม่ปิดมาวิเคราะห์เป็นฉาก ๆ แบบนี้ในสื่อต่างประเทศ เพราะเขายกให้เป็นหน้าที่ของคนในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด และสิ่งที่ต้องคิดควบคู่ไปด้วยให้มาก คือ การนำเสนอแบบเจาะลึกในเชิงวิธีการมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสังคมด้วยซ้ำ เช่น การตั้งคำถามลงลึกถึงรายละเอียดต่าง ๆ เช่น การตายแบบนี้จะพบอะไร การตายลักษณะนี้ควรจะเจอแบบนี้ สารพิษนี้ออกฤทธิ์อย่างไร ใช้เวลากี่นาทีกว่าจะตาย มีอยู่ที่ไหน หาซื้อได้อย่างไร มันอาจจะเป็นการ “ชี้นำ” หรือ “ชี้ช่องทาง” การให้ความรู้กับผู้ที่จะกระทำความผิดในอนาคตหรือไม่
.
“มีหลักฐานสนับสนุนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับอุบัติการณ์ที่ไม่เคยมีในอดีต และเพิ่มสูงขึ้นภายหลังมีการนำเสนอข่าวออกสื่อ เช่น เริ่มมีกรณีการรมควันเพื่อฆ่าตัวตาย เป็นวิธีที่สูงขึ้นชัดเจนใน 5 ปีที่ผ่านมา หรือ หลังจากคดี แอม ไซยาไนด์ ถูกนำเสนอข่าวอย่างละเอียด ทางนิติเวชก็พบอุบัติการณ์ของการตายจากการใช้สารไซยาไนด์มากขึ้นเป็นเท่าตัว เราจึงต้องมาขบคิดกันแล้วว่า สิ่งที่เราทำกันอยู่เป็นปกตินั้น เป็นการส่ง “อาวุธก่อเหตุ” ออกไปสู่คนทั่วไปโดยทางออ้อม ใช่หรือไม่” รองนายกสมาคมแพทย์นิติเวช ตั้งคำถาม
.
แพทย์นิติเวชที่ผ่านการชันสูตรศพมาอย่างยาวนาน อย่าง นพ.ภาณุวัฒน์ ยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจาก 3 ปัญหาที่กล่าวมาแล้ว การชี้นำสังคมด้วยข้อมูลหรือการวิเคราะห์ที่ไม่ได้อ้างอิงมาจากหลักฐานโดยตรง ยังอาจส่งผลกระทบอย่างมากกับ “ชีวิต” ของบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือเป็นบุคคลแวดล้อมในเหตุการณ์ที่ถูกนำมาขยี้ จะเห็นได้ว่า ชีวิตส่วนตัวที่ควรจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของหลายคนต้องถูกนำมาเปิดเผยทั้งที่ไม่เกี่ยวกับการตาย หลายคนต้องถูกสังคมรุมโจมตีเพราะตกเป็นผู้ต้องสงสัย และเมื่อได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ไม่มีใครนำเสนอให้ความเป็นธรรม
.
“ผู้เชี่ยวชาญนักวิเคราะห์บางคน อ้างทฤษฎีสมคบคิด จนทำให้มีบางคนต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยแบบเลี่ยงไม่ได้ โดนด่าแบบหมดทางสู้ แม้แต่ชีวิตส่วนตัวผู้ตายเองก็มีการถูกนำมาเผยแพร่ ตีแผ่โดยเจ้าตัวไม่มีสิทธิจะรับรู้หรืออนุญาตมาก่อน จนไปถึงกระทั่งนำไปวิเคราะห์ ถึงเหตุของการกระทำต่าง ๆ ที่มาจากความรู้สึกล้วน ๆ ว่า เขาต้องเป็นแบบนี้ คนนี้ทำให้เขาเป็นแบบนั้น สิ่งนั้นทำให้เขาเป็นแบบนี้ วิจารณ์กันสนุกสนาน สวนทางกับ “ความเห็นใจ” ที่หลาย ๆ สื่อพยายามแสดงออกมา ยังไม่นับจำเลยสังคมที่เกิดขึ้นมาก่อนในอีกหลายต่อหลายคดีที่ผ่านมา ซึ่งภายหลังจากความจริงปรากฎ ความรับผิดชอบต่อการกระทำ ที่เคยสร้าง “ตราบาป” ให้กับคนเหล่านี้ ก็หายกลายเป็นฝุ่น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ความรับผิดชอบต่อคนที่ได้ผลกระทบมันอยู่ตรงไหน”
.
รองนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ตั้งอีกหนึ่งคำถามทิ้งท้าย


