วิโรจน์ ส.ส.พรรคประชาชน วิเคราะห์เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างดุเดือด ชี้ชัดเขมรเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน หลังไทยยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์หมื่นล้าน ตั้งคำถาม "ทำไมพอจะปราบสแกมเมอร์ กัมพูชาต้องก่อหวอดทุกที"? แนะรัฐตั้ง War Room 3 แนวรบพร้อมกัน ไม่ใช่แค่สู้ที่ชายแดนและการต่างประเทศ แต่ต้อง "ลุยปราบสแกมเมอร์" ลากคอ "คนไทยหนักแผ่นดิน" ที่สมคบคิดกับเครือข่ายอาชญากรรม ยึดทรัพย์ ฮุน เซน และพวกพ้องให้สิ้นซาก
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. เฟซบุ๊ก Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคประชาชน ได้ออกมาโพสต์วิเคราะห์สถานการณ์เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งนี้ที่เขมรเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ระบุว่า "ทำไมพอจะปราบสแกมเมอร์ กัมพูชาต้องก่อหวอดทุกที ได้เวลาลุยทั้ง 3 แนวรบ ชายแดน การต่างประเทศ และปราบสแกมเมอร์ ]
ผมคิดว่าประชาชนทุกท่านน่าจะรับทราบถึงเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2568 ที่บริเวณภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งทางฝ่ายไทยยืนยันได้ว่าฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทย และเป็นฝ่ายยิงก่อน โดยมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายดาวเทียมและภาพจากโดรน
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 68 เวลา 05.00 น. กัมพูชาใช้ปืนเล็กและอาวุธวิถีโค้งยิงใส่แนวไทยที่ช่องอานม้า และเวลา 07.00 น. กัมพูชาได้ยิงอาวุธหนักใส่ฐานที่มั่นของไทย จนทำให้ จ.ส.ต.ศตวรรษ สุจริต ต้องพลีชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และเพื่อนทหารอีก 3 นายได้รับบาดเจ็บ โดย 2 นายบาดเจ็บสาหัส ซึ่งผมขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการสูญเสียของทหารไทย และในฐานะกรรมาธิการการทหาร ผมจะติดตามกรณีนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ครอบครัวของนายทหารผู้สูญเสียได้รับการดูแลจากภาครัฐอย่างดีที่สุดต่อไป
ผมคิดว่าการจะจัดการกับกัมพูชานั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการใน 3 แนวรบด้วยกัน สำหรับแนวรบที่ 1 คือ “แนวรบทางด้านชายแดน” เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาการปฏิบัติการที่มีความแม่นยำโดยมีเป้าหมายที่ฐานที่มั่นทางการทหารของกัมพูชา เพื่อขจัดขีดความสามารถในการโจมตีของกัมพูชาเท่านั้น เพื่อไม่ให้กัมพูชามีศักยภาพที่จะใช้อาวุธสงครามทำร้ายประชาชนคนไทยได้อีกต่อไป และเป็นการกดดันให้กัมพูชายอมกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาภายใต้เงื่อนไขที่สมเหตุสมผลอีกครั้ง ซึ่งการปฏิบัติการทางอากาศ และการใช้อาวุธหนักใดๆ กองทัพจะต้องเตรียมหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศ และคำสั่งยืนยันเป้าหมายทางการทหารให้ครบถ้วน เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ในแนวรบที่ 2 คือ “แนวรบด้านการต่างประเทศ” ที่สามารถรายงานสถานการณ์ต่ออาเซียน และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ให้เข้าใจได้ว่าการใช้กำลังของไทยเป็นการตอบโต้ที่ได้สัดส่วน สอดคล้องกับหลักกฎหมายสากล ภายใต้การสังเกตการณ์ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน เพื่อยืนยันว่าไทยไม่มีเจตนาที่จะรุกรานกัมพูชา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้กัมพูชาใส่ร้ายประเทศไทยในเวทีโลก ซึ่งในประเด็นนี้ ผมเชื่อว่ากองทัพและกระทรวงการต่างประเทศน่าจะมีช่องทางประสานงานที่มีประสิทธิภาพในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
นอกเหนือจากอาเซียนและ UNSC แล้ว กระทรวงการต่างประเทศอาจต้องพิจารณาเดินทางไปหารือกับประเทศฟิลิปปินส์ ในฐานะที่ฟิลิปปินส์จะทำหน้าที่เป็นประธานอาเซียนถัดจากมาเลเซีย รวมถึงประเทศสิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเข้าพบ MAS (Monetary Authority of Singapore) เพื่อหารือถึงแนวทางที่นิติบุคคลของสิงคโปร์ต้องสงสัยว่าจะมีการเคลื่อนย้ายเงินที่ได้มาจากเครือข่ายสแกมเมอร์มาฟอกเงินผ่านตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย
สำหรับแนวรบที่ 3 ซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน คือ “แนวรบในการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์” ซึ่งปัจจุบันประชาชนคนไทยทราบดีอยู่แล้วว่ารายได้จากเครือข่ายสแกมเมอร์ และค่ายกักกันแรงงานสแกมเมอร์ที่กัมพูชา เป็นแหล่งรายได้หลักของฮุน เซน และพวก (พวกที่ว่ามีคนไทยรวมอยู่ด้วย) ผมอยากจะชวนให้ประชาชนคนไทยตั้งข้อสังเกตไปพร้อมๆ กัน ดังนี้ครับ
หากกัมพูชาจะฉวยโอกาสโจมตีประเทศไทย จังหวะที่ดีที่สุดน่าจะเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับมหาอุทกภัยใน 9 จังหวัดภาคใต้ ใช่ไหมครับ แต่เหตุการณ์โจมตีกลับเกิดขึ้นหลังวันที่ 2 ธ.ค. 68 ซึ่งเป็นวันที่มีการยึดอายัดทรัพย์เครือข่าย 3 เครือข่าย ได้แก่ 1) ยิม เลียก-เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ 2) เฉิน จื้อ แห่งปรินซ์กรุ๊ป 3) ก๊ก อาน รวมมูลค่า 10,165 ล้านบาท
ต่อมาในวันที่ 3 ธ.ค. 68 ก็มีภาพของนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ถูกปล่อยออกมา เป็นภาพถ่ายร่วมกับนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล และบุคคลสำคัญอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นรองนายกฯ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ (ซึ่งกรณีนี้เป็นภาพถ่ายในงานเลี้ยงซึ่งเป็นพื้นที่เปิด เมื่อครั้งที่ ดร.เอกนิติ ไปเป็นวิทยากรในหลักสูตรฝึกอบรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. พล.ต.อ.วิสณุ ปราสาททองโอสถ อดีตจเรตำรวจแห่งชาติ ส.ว.อุปกิต ปาจารียางกูร และคุณฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
และยังมีการปล่อยภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในงานแต่งงานระหว่างลูกสาวของลี ยง พัด กับลูกชายของก๊กอาน และภาพของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เมื่อครั้งไปร่วมงานแต่งงานของนายยิม เลียก ซึ่งสะท้อนว่าบรรดาเครือข่ายเหล่านี้ได้ใช้หลักสูตร Connections ต่างๆ ในการแทรกซึมไปหาคนใหญ่คนโต ไม่ว่าจะเป็นนายทุน นักธุรกิจ นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง ทหาร ตำรวจ มาตั้งนานแล้ว ล่าสุดก็มีการปล่อยคลิป และภาพของนายกฯ อนุทิน ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้ว่าฯ จ.ไพลิน ของกัมพูชา การปล่อยภาพลักษณะนี้จึงน่าจะมีเจตนาเพื่อดิสเครดิต และส่งสัญญาณเตือนไม่ให้รัฐบาลสืบสวนเส้นทางการเงินเพื่อขยายผลไปถึงตัวการใหญ่ และยึดอายัดทรัพย์ทั้งขบวนการ หากรัฐบาลยังดำเนินการต่อเนื่อง ก็อาจมีการแฉถึงการปนเปื้อนของเงินสกปรกที่ย้อนกลับมาถึงบุคคลในรัฐบาล หรือผู้มีอิทธิพลที่อยู่เหนือรัฐบาล
ผมเชื่อว่าตัวการที่ปล่อยภาพเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นคนกัมพูชา แต่เป็น “คนไทย” นี่แหละครับ เพราะกลัวว่าการสืบสวนเส้นทางการเงินจะสาวมาถึงตนเอง เราไม่สังเกตกันหรือครับว่า ในการยึดอายัดทรัพย์ 10,165 ล้านบาทนั้น ไม่ปรากฏชื่อคนไทยที่เป็นคนใหญ่คนโตเลย ชื่อที่เป็นคนไทยก็มีเพียงนอมินีหรือนกต่อตัวเล็กๆ เท่านั้น
วันที่ 5 ธ.ค. 68 คุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงในการประชุมอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 ที่นครเจนีวา ต่อกรณีที่กัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยการเปิดคลิปทหารกัมพูชากำลังฝึกวางทุ่นระเบิด PMN-2 พร้อมนำส่งคลิปหลักฐานให้กับเลขาธิการสหประชาชาติทั้งหมด ทำให้กัมพูชาไม่สามารถเล่นบทเหยื่อในเวทีโลกได้อีกต่อไป สถานการณ์ที่ชายแดนจึงไม่เป็นความได้เปรียบของกัมพูชาเหมือนแต่เดิม
ดังนั้น หากสถานการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่ในระดับควบคุมได้ โมเมนตัมของสถานการณ์ทั้งหมดก็จะไปอยู่ที่ “การปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์” ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อฮุน เซน และพวกอย่างแน่นอน และต้องย้ำอีกครั้งว่า “พวกของฮุน เซน” ไม่จำเป็นต้องเป็นคนกัมพูชาเท่านั้น และมีความเป็นไปได้สูงว่า พวกของฮุน เซน จำนวนไม่น้อยอาจเป็น “คนไทย” ที่ได้ประโยชน์จากกาสิโน การพนันออนไลน์ ธุรกิจผิดกฎหมาย และเครือข่ายสแกมเมอร์ที่กัมพูชา
พอกระแสที่เกี่ยวกับการปราบเครือข่ายสแกมเมอร์เริ่มมีโมเมนตัม พอมีความพยายามที่จะสืบสวนเส้นทางการเงินเพื่อสาวไปถึงตัวการใหญ่ ก็จะเกิดเหตุปะทะชายแดนขึ้นมา เพื่อเบี่ยงกระแสความสนใจของสังคมในการล้างบางขบวนการสแกมเมอร์ให้กลับไปอยู่ที่ความขัดแย้งที่แนวชายแดนอยู่เสมอ
ผมคิดว่ารัฐบาลไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโฟกัสไปมาตามกระแสที่พวกมันเบี่ยงแล้วครับ ตั้ง War Room 3 ทีม แล้วลุยทั้ง 3 แนวรบพร้อมๆ กันไปเลย ทั้งแนวรบด้านชายแดน แนวรบด้านการต่างประเทศ และแนวรบด้านการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ ถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องสาวไส้ ลากคอเอาคนไทยที่ขายชาติ กล้าสมคบคิดกับเครือข่ายโจรสแกมเมอร์กัมพูชา หลอกเงินคนไทยเพื่อนร่วมชาติ แล้วยังกล้านำเอาเงินสกปรกกลับมาฟอกทำลายเศรษฐกิจของประเทศ มาลงโทษตามกฎหมายอย่างสาสม พร้อมกับยึดทรัพย์ของพวกมันทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน คนแบบนี้นี่แหละครับ ที่สมควรจะเรียกว่า #หนักแผ่นดิน
ผมย้ำตรงนี้ครับว่า เป้าหมายสำคัญ 4 ประการที่เราจำเป็นต้องจัดการให้ได้ ก็คือ
1) ต้องยึดอายัดทรัพย์ฮุน เซน และพวกพ้องของมันให้สิ้นเนื้อประดาตัวให้ได้
2) ต้องลากคอคนไทยหนักแผ่นดิน หนอนบ่อนไส้ที่คอยสมคบคิดกับเครือข่ายสแกมเมอร์ของฮุน เซน มาลงโทษตามกฎหมาย และยึดทรัพย์พวกมันให้หมด
3) ต้องพยายามทำลายขีดความสามารถทางการทหารของกัมพูชาให้สิ้นซาก และเข้ายึดพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ ที่กัมพูชาอาจใช้เป็นฐานที่มั่นในการโจมตีรุกรานไทย
4) ต้องพยายามชี้แจงต่อนานาอารยประเทศ เพื่อให้กัมพูชาขาดความชอบธรรมในเวทีโลก ยุติไม่ให้กัมพูชาเล่นบทเหยื่อต่อหน้านานาอารยประเทศอีกต่อไป"


