xs
xsm
sm
md
lg

สส.พรรคส้มออกโรง ป้องพนักงานไดกิ้น ร้องกระทรวงแรงงานคนกลางไกล่เกลี่ย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สส.พรรคประชาชนดาหน้าปกป้องสหภาพแรงงานโรงงานไดกิ้น ที่เรียกร้องโบนัสและเงินเพิ่มแล้วคุยกันไม่ลงตัว หลังโรงงานประกาศใช้สิทธิปิดงาน วอนกระทรวงแรงงานเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย คุยกันบนหลักการและเหตุผล ชี้แรงงานมีสิทธิ์ยื่นข้อเรียกร้องประจำปี

วันนี้ (5 ธ.ค.) นายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความหัวข้อ "นายจ้างไดกิ้น “ปิดงาน” กระทรวงแรงงานต้องประสานไกล่เกลี่ยหาข้อยุติโดยเร็ว"

ระบุว่า "ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยืดเยื้อหลายเดือนระหว่างบริษัทไดกิ้นอินดัสทรีส์(ประเทศไทย) จำกัด กับสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี ในประเด็นการเจรจาสวัสดิการและโบนัส ซึ่งสืบเนื่องมาจากการที่สหภาพฯ ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ขณะที่บริษัทยื่นข้อเรียกร้อง(สวนกลับ)เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อสหภาพแรงงานเช่นเดียวกัน

ที่ผ่านมามีข้อเรียกร้องที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ คือ จำนวนเงินโบนัส เงินบวกเพิ่ม และทองคำ โดยสหภาพแรงงานขอให้บริษัทกลับมาใช้สวัสดิการเดิม คือ “ทอง 3 บาท+เงิน 1 หมื่น”สำหรับพนักงานอายุงานครบ 10 ปี หลังจากที่ปีนี้ (2568) บริษัทตัดสวัสดิการทองออกและปรับเหลือเพียง “เงินสด 4 หมื่นบาท” และลดโบนัสลง ทั้งที่ผลกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบ “6 พันล้านบาท”

ล่าสุดวันนี้ (4 ธ.ค. 2568) ซึ่งถือเป็นการเจรจาครั้งที่ 11 ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ โดยครั้งนี้ทางบริษัทประกาศใช้สิทธิ “ปิดงาน” ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2568 เวลา 08.00 น.เป็นต้นไป ขณะที่สหภาพฯ เตรียมประชุมสมาชิกและแถลงความคืบหน้าในวันอาทิตย์นี้

ผม เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน สัดส่วนเครือข่ายผู้ใช้แรงงาน ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง ผมจึงเห็นว่าจำเป็นต้องเร่งหาทางออกร่วมกัน เพื่อไม่ให้สถานการณ์ยืดเยื้อบานปลายและกระทบต่อคนงานหนักไปกว่านี้ จึงขอเสนอ 2 ประเด็นสำคัญดังนี้

1. กระทรวงแรงงาน ต้องเป็นตัวกลาง ประสานงานเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทฯ ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาหาข้อยุติร่วมกันได้โดยเร็ว

2. ขอให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาเจรจากันบนพื้นฐานของ “เหตุและผล” อีกครั้ง เพื่อเปิดใจรับฟังและหาข้อยุติร่วมกันอย่างเป็นธรรม

ท้ายที่สุด ผมขอส่งกำลังใจให้พี่น้องแรงงานไดกิ้นทุกคนที่ยืนหยัดปกป้องสิทธิของตัวเอง และขอยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างแรงงานทุกคนในทุกสถานการณ์ ครับ “ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องเร่งหาทางออกร่วมกัน!”

ด้านเฟซบุ๊ก "ชวาล พลเมืองดี" ของนายชวาล พลเมืองดี สส.ชลบุรี เขต 3 พรรคประชาชน โพสต์ข้อความระบุว่า "กรณีพนักงานบริษัทไดกิ้นฯ จ.ชลบุรี รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องโบนัส

ผมขอยืนยันตรงนี้ว่า “การรวมตัวเรียกร้องโบนัส ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่ความวุ่นวาย” แต่คือการใช้สิทธิของทั้งสองฝ่ายในการเสนอข้อเรียกร้องของตัวเอง และนับเป็นเรื่องปกติที่หลายๆ โรงงานทำกันโดยใช้ “โต๊ะเจรจา” เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาหาข้อยุติ

แม้ว่าจะมีการเจรจามาหลายครั้ง เนื่องจากไม่สามารถหาข้อตกลงที่พอใจทั้ง 2 ฝ่ายได้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่นับว่าเป็นการใช้สิทธิที่ไม่เกิดผลกระทบต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

แต่เมื่อมีการใช้มาตรการปิดงาน (Lockout) แม้ว่าจะเป็นสิทธิตามกฎหมายที่โรงงานสามารถทำได้ “แต่การปิดงานไม่ได้แก้ปัญหาความขัดแย้ง”

กลับเป็นเพียงการ “หยุดโต๊ะเจรจา” แล้วใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อให้พนักงานรับข้อเสนอของนายจ้างฝ่ายเดียว จึงเป็นความไม่สมดุลเชิงอำนาจ ที่ฝ่ายได้รับผลกระทบคือฝ่ายลูกจ้าง และทำให้กระบวนการเจรจาเกิดความตึงเครียดมากกว่าเดิม

“ทั้งที่ควรจะใช้โต๊ะเจรจาแก้ปัญหาต่อไปเรื่อยๆ และคุยกันบนหลักการและเหตุผล”

หลังจากนี้ควรมีคนกลางนำโต๊ะเจรจามาใช้แก้ปัญหาทั้งสองฝ่าย “กระทรวงแรงงานต้องไม่นิ่งเฉย แต่ต้องทำหน้าที่คนกลางที่ยืนข้างความเป็นธรรม”

ขอเป็นกำลังใจให้ทั้ง 2 ฝ่ายกลับมาเจรจาและแก้ปัญหาฝ่าความขัดแย้งนี้ไปโดยเร็วครับ"

ส่วนเฟซบุ๊ก "สหัสวัต คุ้มคง" ของนายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี เขต 7 พรรคประชาชน โพสต์ข้อความระบุว่า "จากกระแสข่าวเรื่องการรวมตัวยื่นข้อเรียกร้องประจำปีของสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรีที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในตอนนี้นั้น ผมอยากขออธิบายเรื่องดังกล่าวดังนี้ครับ

การยื่นข้อเรียกร้องประจำปีของสหภาพแรงงานนั้น เป็นเรื่องปกติและเป็นสิทธิที่ทำได้ของแรงงานไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสหภาพแรงงาน

การยื่นข้อเรียกร้องของสหภาพนั้น ไม่ใช่การยื่นแต่เพียงลอยๆ แต่ก่อนที่จะยื่นข้อเรียกร้องใดๆ จะต้องมีการนัดประชุมสหภาพแรงงาน เพื่อจัดทำข้อมูลข้อเรียกร้อง โดยสหภาพแรงงานจะดูจากผลประกอบการของบริษัทว่าแต่ละปีมีกำไรเท่าไหร่ และจะผันเป็นข้อเรียกร้องเพื่อนำผลกำไรนั้นแปรเปลี่ยนมาเป็นสวัสดิการหรือผลประโยชน์ให้พนักงานในสัดส่วนที่สมเหตุสมผลจากผลกำไรเหล่านั้น และทุกการยื่นข้อเรียกร้องก็จะมีการเจรจาเพื่อให้พบจุดสมดุลของทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เป็นแบบนี้มาทุกปี

และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่กับสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรีเท่านั้น

วิธีคิดของเรื่องนี้มาจากสิ่งที่เรียกว่ามูลค่าส่วนเกินจากการผลิต ที่มูลค่าเหล่านี้กลายเป็นกำไรของนายจ้าง สิ่งที่ลูกจ้างพยายามทำคือการขอดึงมูลค่าการผลิตจากน้ำพักน้ำแรงของตนคืนมาบางส่วน เพื่อให้ทำงานร่วมกันต่อได้โดยไม่รู้สึกว่าโดนเอารัดเอาเปรียบมากเกินไปจากทั้ง 2 ฝ่าย

สิ่งที่เราต้องพึงเข้าใจคือ การรวมตัวกันเพื่อเจรจาต่อรองนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย และเป็นสิ่งปกติธรรมดาในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย การยื่นข้อเรียกร้องนี้จำเป็นต้องจบในโต๊ะเจรจาตามวิถีปฏิบัติทั่วไป แต่การใช้วิธีการปิดงานเฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงานนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ส่งผลดีกับการเจรจาให้ได้มาซึ่งข้อยุติ และอาจส่งผลต่อการบั่นทอนและทำลายสหภาพแรงงาน ซึ่งสิ่งนี้คือการเลือกปฏิบัติและเป็นการสร้างความแตกแยกให้กับพนักงานด้วยกัน รวมถึงการยื่นข้อเรียกร้องสวนของนายจ้างที่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงานสำหรับพนักงานบางคน เป็นการทำลายหลักการสำคัญในเรื่องเรื่องสิทธิในการเจรจาต่อรองของอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 98 ที่เราหวังว่าประเทศไทยจะรับและเป็นสิ่งที่ขบวนการแรงงานเรียกร้องมาหลายสิบปี

ผมเชื่อว่าการเจรจาต่อรองเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องจบที่โต๊ะเจรจา สิ่งที่ต้องทำโดยด่วนคือเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องเร่งนัดเจรจาประนอม และหาทางยับยั้งการกระทำที่อาจขัดกฎหมายแรงงาน รวมถึงการกระทำที่อาจบั่นทอนสหภาพแรงงาน รวมถึงขอเรียกร้องให้รัฐมนตรี ตรีนุช เทียนทอง กำกับดูแลและแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยครับ"
กำลังโหลดความคิดเห็น