xs
xsm
sm
md
lg

ถลุง 1 ล้านล้าน ยังต้องเจอน้ำท่วมขั้นวิกฤติ ประชาชนเลิกพึ่งพานักการเมืองได้แล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” ชี้ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่เพราะข้าราชการ–นักการเมืองมองข้ามธรรมชาติของน้ำ ไม่ยึดมั่นในแนวพระราชดำรัสในหลวง ร.9 ที่ต้องให้น้ำไหลผ่านโดยเร็ว แต่กลับสร้างทางเลี่ยงเมืองขวางทางน้ำ เพราะมีประโยชน์ทับซ้อน รัฐบาลตั้งแต่ยุคยิ่งลักษณ์จนปัจจุบันใช้งบกว่า 1 ล้านล้านแต่ทุกจุดยังมีปัญหา ขณะเดียวกันน้ำท่วมรอบนี้พิสูจน์ชัดว่า “นายกฯ อนุทิน” ขาดภาวะผู้นำที่จะแก้ปัญหาในภาวะวิกฤติ และสะท้อนว่าประชาชนพึ่งพานักการเมืองไม่ได้แล้ว



ในรายการ“คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยระบุว่าเป็นผลมาจากการบริหารจัดการน้ำที่ขาดประสิทธิภาพ แม้งบประมาณด้านน้ำจะถูกจัดสรรให้หลายหน่วยงานเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน


นายสนธิกล่าวว่า งบประมาณบริหารจัดการน้ำปี 2568 หลายจังหวัดได้รับจัดสรรเป็นจำนวนมาก โดยสงขลามีงบประมาณสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศกว่า 2,326 ล้านบาท แต่สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นกลับสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมระบุว่าไทยมีประวัติศาสตร์น้ำท่วมยาวนาน เนื่องจากภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มและได้รับอิทธิพลจากระดับน้ำทะเล ทำให้จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการอย่างเข้าใจธรรมชาติ


นายสนธิชี้ว่า พื้นที่หาดใหญ่เป็นตัวอย่างสำคัญของปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่กีดขวางทางน้ำ โดยเฉพาะถนนลพบุรีราเมศวร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทางเลี่ยงเมือง แต่กลับกลายเป็นแนวปิดกั้นมวลน้ำ ทำให้น้ำไหลออกไม่ได้ แม้กรมโยธาธิการและผังเมืองจะออกแบบอุโมงค์ระบายน้ำและช่องทางให้น้ำผ่าน แต่กลับไม่ถูกดูแล บางส่วนตื้นเขินและอุดตัน จนนำไปสู่สถานการณ์น้ำท่วมหนัก

นายสนธิระบุว่า การปล่อยให้มีการพัฒนาหมู่บ้านจัดสรรในพื้นที่ซึ่งควรปล่อยไว้สำหรับการระบายน้ำ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้มวลน้ำไม่สามารถไหลออกได้ พร้อมตั้งคำถามถึงบทบาทของผู้บริหารท้องถิ่น อบจ. อบต. และผู้ว่าราชการจังหวัดในการกำกับดูแล


นายสนธิได้กล่าวถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ทรงเน้นย้ำว่าปัญหาน้ำท่วมไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่ต้องเร่งให้มวลน้ำไหลออกไปโดยเร็ว ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับโครงการ “แก้มลิง” ที่เคยมีการดำเนินงานในหลายพื้นที่

นายสนธิยังย้อนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่มีมวลน้ำจำนวนมากไหลเข้ากรุงเทพฯ โดยชี้ว่าเกิดจากการเบี่ยงทางน้ำไม่ให้ไหลผ่านพื้นที่จัดสรรของกลุ่มทุนรายใหญ่ รวมทั้งการพัฒนาเมืองที่รุกพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ เช่น หนองงูเห่า ซึ่งควรทำหน้าที่เป็นพื้นที่ชะลอน้ำ แต่กลับถูกพัฒนาเป็นสนามบินสุวรรณภูมิและหมู่บ้านจัดสรรจำนวนมาก


นายสนธิย้ำว่า การสร้างทางเลี่ยงเมือง ถนน และโครงการขนาดใหญ่โดยไม่คำนึงถึงทางเดินของน้ำ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ประเทศเผชิญน้ำท่วมซ้ำซาก พร้อมเสนอว่าควรพิจารณาสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งแม้ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่จะเป็นทางแก้ปัญหาระยะยาวที่คุ้มค่ากว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทุกปี

ปัญหาน้ำท่วมไม่ใช่เรื่องซับซ้อน หากแต่เป็นเรื่องของสามัญสำนึกในการเปิดทางให้มวลน้ำไหลตามธรรมชาติ พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐและผู้นำประเทศให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และเลิกยอมจำนนต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ขัดขวางการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน


นายสนธิ ยังตั้งคำถามถึงการใช้งบประมาณด้านน้ำตั้งแต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน รวมแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่ยังไม่สามารถป้องกันหรือบรรเทาภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งบประมาณจำนวนมหาศาลดังกล่าวกลับสะท้อนผลลัพธ์ที่สวนทางเมื่อหาดใหญ่ต้องเผชิญอุทกภัยหนัก พร้อมระบุว่าแนวคิดการแก้ปัญหาเรื่องน้ำควรยึดหลักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 คือ “เร่งระบายน้ำออก และขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ” ซึ่งหากดำเนินการจริงจังปัญหาน้ำท่วมคงไม่รุนแรงเช่นปัจจุบัน


“พวกคุณใช้เงินกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่คุณยังให้หาดใหญ่ล่มสลายแบบนี้ และจะมีอีกหลายที่ด้วยที่จะล่มสลายแบบนี้ ที่แม่สายก็มีปัญหา ทุกจุดมีปัญหา 1 ล้านล้านบาท เอามาแก้ไขตามหลักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ว่าให้น้ำระบายออกโดยเร็วที่สุด อะไรที่กีดขวางอยู่ ขจัดมันให้หมด ท่านผู้ชมว่ามันทำเสร็จไหม อย่างนี้ เสร็จแล้ว เสร็จนานแล้ว ไม่ได้เลวร้ายเหมือนอย่างทุกวันนี้” นายสนธิ กล่าว


นายสนธิยกตัวอย่างแนวคิดสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลบริเวณปากน้ำแถบสมุทรปราการ เพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุนและผลักดันน้ำจืดออกเมื่อระดับน้ำลด โดยชี้ว่าแม้ต้องทำหลายจุด แต่ควรเร่งดำเนินการในพื้นที่เสี่ยงสูงเป็นอันดับแรก พร้อมย้ำว่าการบริหารจัดการน้ำไม่ใช่เรื่องซับซ้อน หากผู้บริหารมีความเข้าใจจริงและตั้งใจทำงาน

โครงสร้างพื้นฐานบางแห่ง เช่น หมู่บ้านจัดสรรและพื้นที่พัฒนาขนาดใหญ่ รวมถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ไปตั้งอยู่ในพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มวลน้ำระบายได้ยาก ส่งผลให้หลายจังหวัดประสบปัญหาเช่นเดียวกับภาคตะวันออกและพื้นที่ราบลุ่มอื่นๆ


ในส่วนของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นายสนธิกล่าวว่ารัฐบาลควรใช้งบกลาง หรืองบฉุกเฉิน สำหรับสถานการณ์เร่งด่วน แทนการโยนภาระให้แต่ละหน่วยงานที่มีงบประมาณจำกัด พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงความล่าช้าในการสั่งการและการตัดสินใจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

นายสนธิกล่าวถึงบทบาทของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าการสื่อสารของผู้นำทำให้ประชาชนสับสน หลังออกมาประกาศว่าน้ำท่วมหาดใหญ่จะลดลงและควบคุมได้ แต่กลับเกิดมวลน้ำระลอกใหม่ไหลเข้าท่วมหนักยิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากติดค้างอยู่ในพื้นที่


ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็ขาดภาวะผู้นำ โยนความผิดให้การพยากรณ์อากาศที่ไม่แม่นยำ และหน่วยงานท้องถิ่น ทั้งที่ตัวเองไม่ได้แสดงความรับผิดชอบหรือกล่าวขอโทษต่อประชาชน การกล่าวว่า “หน่วยงานอยู่หน้างานดูแลอยู่แล้ว” แต่ข้อเท็จจริงกลับมีผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมจำนวนมาก

นายสนธิยังกล่าวถึงข้อเสนอของผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาที่ระบุว่าอาจต้องอพยพประชาชนออกจากหาดใหญ่ทั้งหมด โดยตั้งคำถามว่าเป็นแนวคิดที่เป็นไปไม่ได้ และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ระดับน้ำลดลงแล้ว


เขายังระบุว่า สิ่งที่ควรชื่นชมที่สุดในวิกฤตครั้งนี้คือคนไทยช่วยคนไทย ภาคประชาชนทั้งศิลปิน ดารา กลุ่มอาสาสมัคร และภาคเอกชน ที่ลงพื้นที่ช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว แตกต่างจากฝ่ายรัฐที่ตอบสนองล่าช้าและยังต้องมีขั้นตอนมากมาย เช่น กรณีประชาชนต้องว่ายน้ำออกมาขออาหารแต่ถูกเจ้าหน้าที่สอบถามเรื่องการลงทะเบียนก่อนรับสิ่งของ ซึ่งเขามองว่าเป็นความล้มเหลวของระบบราชการ

นายสนธิยังเห็นว่าพรรคภูมิใจไทย ตั้งเป้าจะได้ ส.ส. 30 ที่นั่งในภาคใต้ แต่ต้องถามชาวใต้ว่า ยังสามารถยอมรับผู้นำที่ไร้วิสัยทัศน์และไร้ความสามารถ อย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้หรือไม่ พร้อมชี้ว่าผลงานของรัฐบาลชุดนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า นักการเมืองช่วยแก้ปัญหาไม่ได้จริง


นายสนธิยังกล่าวถึงความไม่ชัดเจนของนายกรัฐมนตรี หลังประกาศว่าจะปักหลักอยู่หาดใหญ่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย แต่ต่อมากลับระบุว่าอาจต้องเดินทางไป–มาเพื่อทำงานที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินในกรุงเทพฯ ซึ่งนายสนธิมองว่าเป็นการสื่อสารที่ กลับกลอก และทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น

ท้ายที่สุด นายสนธิเตือนว่า หากไม่มีการปฏิรูประบบราชการและบทบาทผู้นำทางการเมือง วิกฤตที่เกิดขึ้นในยุคนี้อาจเป็นคำเตือนสำคัญว่า “ตัวใครตัวมัน” หากประเทศเผชิญภัยร้ายแรงกว่านี้ พร้อมฝากคำถามชาวใต้ว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ยังจะไว้วางใจพรรคภูมิใจไทยและผู้นำการเมืองชุดนี้อีกหรือไม่.


กำลังโหลดความคิดเห็น