รายงานพิเศษ
“ตั้งแต่เมื่อวาน (27 พ.ย.68) มีการคุยกันในกลุ่มนิติเวชใหญ่และสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย จากข่าวกรณีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากเหตุน้ำท่วม ทำให้ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายให้มาจัดการเรื่องการศพผู้เสียชีวิต ซึ่งการสั่งการของกระทรวงสาธารณสุขกลับไปส่งผลกระทบมากมายให้กับระบบ “หมอนิติเวช” ในภาพใหญ่ของประเทศ”
นพ.ภาณุวัฒน์ ชุติวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ส่งข้อความแสดงความไม่เห็นด้วยกับการสั่งการของกระทรวงสาธารณสุข ที่มีคำสั่งด่วนให้ทุกเขตสุขภาพ ส่งแพทย์นิติเวชลงไปปฏิบัติภารกิจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลของผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะเห็นว่า เป็นคำสั่งที่นอกจากจะทำให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้นที่หน้างานแล้ว ยังจะทำให้เกิดผลกระทบกับงานนิติเวชในพื้นที่อื่น ๆ ที่จะขาดแคลนแพทย์นิติเวชไปด้วย
นพ.ภาณุวัฒน์ ระบุว่า ตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่ายได้มีคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจให้ตั้งศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ซึ่งทำให้ทางตำรวจถือเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการจัดการเกี่ยวกับศพแล้ว และสถาบันนิติเวช ตำรวจ ก็ได้ส่งทั้งชุดแพทย์และผู้ปฏิบัติงานลงไปดำเนินการตามคำสั่งเหมือนภัยพิบัติทุกครั้งที่ผ่านมาแล้ว เมื่อไปรวมกับแพทย์นิติเวชในพื้นที่ คือ ทีมจากโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ ก็สามารถจัดตั้งชุดทำงานพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลและเก็บ DNA ขึ้นมาได้แล้ว 6 ทีม เพื่อดำเนินการกับร่างผู้เสียชีวิตจำนวน 104 ราย ซึ่งถือว่า เป็นจำนวนที่ทีมแพทย์ 6 ทีม สามารถรับมือได้อยู่แล้ว
แต่ในเวลาต่อมามีประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล และมีคำสั่งด่วนให้ทุกเขตสุขภาพต้องส่งแพทย์นิติเวชลงไปช่วยพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลหาดใหญ่ โดยคำสั่งมีเนื้อหาในเชิงกดดันว่า “ใครไม่ส่ง ถือว่าไม่ให้ความร่วมมือ” ทำให้รายชื่อที่ถูกส่งมาล่าสุด (28 พ.ย.2568) มีจำนวนแพทย์นิติเวชที่จะถูกส่งลงไปที่หาดใหญ่มากกว่า 70 คนไปแล้ว ทั้งๆที่ในโรงพยาบาล มอ.หาดใหญ่ มีเตียงสำหรับผ่าศพเพียง 5 เตียง และร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมจำนวน 100-200 ร่าง มีขั้นตอนการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เพราะร่างไม่ได้รับความเสียหายจนยากจะระบุตัวได้เหมือนเหตุสึนามิ และยังสามารถนำเข้าสู่ขั้นตอนรักษาสภาพในห้องเย็นไว้ได้ แต่ในทางกลับกันการสั่งให้แพทย์นิติเวชในบางจังหวัดมีเพียงคนเดียว ก็จะต้องหยุดงานนิติเวชที่จังหวัดนั้นไปเลย
“นี่เป็นคำสั่งที่สินเปลืองทรัพยากรครับ กลายเป็นว่า โรงพยาบาล มอ.หาดใหญ่ กับนิติเวชตำรวจ ต้องจัดพื้นที่เพิ่มให้แพทย์ที่ลงมาตามคำสั่งของกระทรวงสาธารณสุขได้ทำงานด้วย ทั้งที่โรงพยาบาล มอ.มีพื้นที่จำกัด มีเตียงผ่าศพ 5 เตียง จะให้ไปเปิดการพิสูจน์หลายที่หลายจุดก็ยิ่งไม่ควรทำเลยทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ เพราะจะทำให้เกิดเหตุการณ์มั่ว แบบกรณีสึนามิได้ครับ”
“แทนที่โรงพยาบาล มอ.จะได้เริ่มทำงานพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลไปตามขั้นตอน กลับต้องมาจัดทีมแพทย์นิติเวชมาทำหน้าที่รับหน้าผู้ใหญ่ ต้องมาคอยประสานรอรับแพทย์นิติเวชที่จะลงมาในพื้นที่อีกจำนวนมาก ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะต้องมาทำ ควรปล่อยให้เค้าใช้เวลาทำงานอย่างเต็มที่มากกว่า” รองนายกสมาคมแพทย์นิติเวช อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นตามมา
ในฐานะแพทย์นิติเวชที่มีประสบการณ์ นพ.ภาณุวัฒน์ ยืนยันว่า กระบวนการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องยาก หากมีการวางระบบที่ดีตั้งแต่ต้น เช่น การลำดับเลขศพ ซึ่งควรทำโดยหน่วยงานเดียวเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน) ... การตรวจเบื้องต้น ... การเก็บ DNA ... การถ่ายภาพและบันทึกลงฟอร์ม ... การเก็บศพเข้าห้องเย็น ส่วนอีกด้านก็รอญาติมาติดต่อตรวจสอบและเก็บ DNA เพิ่มในเฉพาะกรณีจำเป็นต้องรอการ matching DNA ให้ตรงกันเท่านั้น ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้หากได้ข้อมูลมาครบ จะใช้เวลาเพียง 3-5 วัน แต่หากมีการสั่งการมาจากหลายทาง กลับจะไปเพิ่มความสับสนและทำให้ “มั่ว” ได้
“มันควรจะหมดยุคสำหรับความคิดประมาณว่า “มีคนช่วยเยอะ ๆ ดีกว่าคนน้อย ๆ” ไปนานแล้วครับ การทำงานของนิติเวชในลักษณะนี้ Chain of Commander สำคัญที่สุดครับ ความช่วยเหลือควรจะเกิดขึ้นเมื่อหน้างานร้องขอ ไม่ใช่การส่งคนอาสาสมัครเข้าไปช่วยแบบนี้ การออกคำสั่งเพื่อต้องการแสดงว่าตนเองมีส่วนร่วมด้วย เพื่อให้หน่วยงานได้ภาพ แล้วไม่คำนึงถึงความถูกต้องและความเหมาะสม เป็นภาพที่เราเห็นมาตั้งแต่สึนามิเคยเป็นอย่างไร ก็ยังวนเวียนกลับมาซ้ำซาก ทั้งที่เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ความโกลาหลมีที่ผู้เสียชีวิตจำนวนมากแบบสึนามิจนหน่วยงานในพื้นที่รับมือกันไม่ไหว”
“ถึงครั้งนี้ผู้เสียชีวิตมีเป็นจำนวนมาก แต่ตัวเลขขนาดนี้ 100 -200 ร่าง มันคนละสเกลกับสึนามิที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5000 คน และยากจะพิสูจน์อัตลักษณ์เลย เชื่อว่าทีม 6 ทีม สามารถจัดการกระบวนการนี้ได้ภายใน 2 วัน ถ้าไม่ต้องแบ่งเวลามาทำงานที่ไม่จำเป็น”
อีกประเด็นสำคัญที่รองนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ตั้งคำถามคือ เริ่มมีความพยายามที่จะขอให้แพทย์นิติเวช “ผ่าพิสูจน์” เพื่อ “หาสาเหตุการเสียชีวิต” ซึ่งจะไปส่งผลกับขั้นตอนการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาในภายหลังอย่างแน่นอน เพราะการผ่าพิสูจน์ น่าจะเกิดจากความต้องการที่จะระบุว่า เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมหรือไม่ หลังรัฐบาลประกาศจะให้เงินชดเชยรายละ 2 ล้านบาท แต่ นพ.ภาณุวัฒน์ เห็นว่า นี่เป็นขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และเป็นการผลักภาระความรับผิดชอบในการเผชิญหน้ากับญาติผู้เสียชีวิตมาให้แพทย์นิติเวช
“ในทางปฏิบัติจากเหตุภัยพิบัติอื่นที่ผ่านมา การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล คือสิ่งสำคัญมากกว่าสาเหตุการตาย เนื่องจากเป็นเหตุน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตจากการจมน้ำ เสียชีวิตเพราะผู้ป่วยติดเตียงไปพบแพทย์ไม่ได้ หรือแม้เสียชีวิตจากการอุบัติเหตุลื่นจนศีรษะกระแทก ทั้งหมดมันก็มีสาเหตุหลักมาจากน้ำท่วมสูงทั้งสิ้น เราจึงไม่ควรต้องมาเสียงบประมาณและเสียเวลาในการผ่าพิสูจน์ในทุกรายโดยไม่จำเป็น”
“มีข่าวว่ารัฐจะจ่ายเงินหลักล้าน หากการเสียชีวิตเกิดจากการจมน้ำ ลองคิดดูครับ ว่าหากแพทย์นิติเวช ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่ารายนี้ รายนั้น ไม่ได้เกิดจากการจมน้ำ จะเกิดปัญหาขนาดไหนกับครอบครัวที่ไม่ได้รับการเยียวยาจากเหตุการณ์นี้ ทั้งที่แม้การเสียชีวิตอาจไม่ใช่จมน้ำ แต่เป็นเพราะนอนติดเตียงแล้วออกจากบ้านไม่ได้ ทั้งสองเรื่องนี้ก็มาจากสาเหตุเดียวกัน แทบไม่ต่างกันเลย” นพ.ภาณุวัฒน์ แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการผ่าพิสูจน์ทุกราย
รองนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ทิ้งท้ายว่า ขอเป็นสื่อกลางแทนพี่น้องแพทย์นิติเวชในประเทศไทยที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานเช่นนี้ของกระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมามีคนให้ข้อมูลแล้ว โต้แย้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ คำสั่งนี้จึงเป็นเหมือนคำสั่งที่ใช้งบประมาณ บุคลากร และทรัพยากรที่จำเป็นในส่วนอื่นจำนวนมากเพียงเพื่อส่งแพทย์นิติเวชลงไปดูงานมากกว่าไปทำงาน จึงขอฝากฝากให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาทบทวนอีกครั้ง


