xs
xsm
sm
md
lg

มาตรการอุดรูรั่วการคลัง: ทางเลือกใหม่หลัง VAT ขึ้นไม่ได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบางและการขยายตัวต่ำกว่าคาดหมาย กระทรวงการคลังต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ หลังจากไม่สามารถปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ขึ้นเป็น 8.5% ได้ในทันที แม้ว่าการขยับขึ้น VAT จะเป็นมาตรการสำคัญในการเพิ่มรายได้รัฐ แต่ก็อาจถูกชะลอออกไป เนื่องจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจ

ข้อมูลล่าสุดจากสภาพัฒน์ฯ (NESDC) ระบุว่า GDP ไตรมาส 3 ปี 2568 ขยายตัวเพียง 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และหดตัว 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำสุดในรอบ 10 ไตรมาส สะท้อนว่ากำลังซื้อของประชาชนและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจยังคงซบเซา การปรับขึ้น VAT ในช่วงนี้จึงอาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมและกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เห็นได้ชัดจากตัวเลข GDP ที่สะท้อนความเปราะบาง

สัดส่วนรายได้รัฐต่อ GDP ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 17% ในปี 2536 เหลือเพียง 14.9% ในปี 2568 โดยกรมจัดเก็บรายได้ภาษีทั้งสามกรมจัดเก็บได้น้อยกว่าประมาณการทั้งหมดรวมกว่า 1.12 แสนล้านบาท โดยแยกเป็นกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร จัดเก็บได้น้อยกว่าประมาณการ 3.7 หมื่นล้านบาท 7.2 หมื่นล้านบาท และ 3 พนัล้านบาท ขณะที่รายจ่ายภาครัฐปรับตัวสูงขึ้นตามภาระสวัสดิการและโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างนี้ทำให้รัฐบาลต้องหาแนวทางใหม่ในการเสริมรายได้ โดยไม่สร้างภาระเกินควรแก่ประชาชน


ในปี 2568-2569 สถานการณ์การคลังของไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศโดยสถาบันต่างประเทศ รวมถึงการเตือนจากหลายฝ่ายว่าระดับหนี้สาธารณะใกล้แตะเพดานตามกฎหมาย ขณะเดียวกัน งบประมาณปี 2569 ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ มีสัดส่วนขาดดุลสูงกว่าปีก่อนหน้า และมีการชะลอการอนุมัติโครงการลงทุนบางส่วน เนื่องจากข้อจำกัดด้านการจัดเก็บรายได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศต่างเห็นตรงกันว่าการปรับปรุงโครงสร้างรายได้รัฐอย่างต่อเนื่องและรอบด้านเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ไทยมีความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว เมื่อ VAT ยังไม่สามารถปรับขึ้นได้ตามเป้า แผนการคลังระยะสั้นถึงกลาง จึงต้องเน้นการเพิ่มรายได้จากภาษีสรรพสามิตและมาตรการอื่นๆ เช่น การปรับเพิ่มอัตราสรรพสามิตน้ำมัน 1 บาท/ลิตร ในปี 2570–2571 และการขยายฐานภาษีนำเข้าในกลุ่ม “Low-Value Goods” ที่เดิมไม่ถูกจัดเก็บภาษี โดยจะเริ่มเก็บ VAT และอากรขาเข้าตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังมีการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการใช้เทคโนโลยี Big Data เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ ลดการเลี่ยงภาษีทั้งในกลุ่มบุคคลและธุรกิจ รวมทั้งอุดรูรั่วทางการคลัง เช่น ภาษีสรรพสามิตยาสูบที่หายไปกว่า 70,000 ล้านบาทในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากการคิดภาษีแบบ 2 อัตราทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกตลาด กระทบต่อรายได้สรรพสามิต

สถาบันวิจัย TDRI สนับสนุนการปรับ VAT กลับขึ้นเป็น 8.5% ในปี 2568-2571 และ 10% ในปี 2573 โดยชี้ว่าการปรับ VAT เป็นทางเลือกที่สำคัญในการสร้างรายได้รัฐระยะยาวลดปัญหาขาดดุลงบประมาณ แต่ในระยะสั้นควรใช้มาตรการเยียวยาผู้มีรายได้น้อยควบคู่กันไป เพื่อลดผลกระทบทางสังคม

การอุดรูรั่วทางการคลังด้วยภาษีสรรพสามิตและการปฏิรูปภาษีอื่นๆ กลายเป็นทางเลือกสำคัญในระยะสั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพการคลังและลดขาดดุลให้อยู่ต่ำกว่า 3% ของ GDP ภายในปี 2572-2573 ขณะที่การปรับ VAT ยังต้องรอจังหวะเศรษฐกิจฟื้นตัว กลยุทธ์ที่รัฐบาลเลือกใช้จึงต้องเน้นความสมดุลระหว่างการเพิ่มรายได้รัฐกับการดูแลผลกระทบต่อประชาชนและธุรกิจ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงในระยะยาว


กำลังโหลดความคิดเห็น