xs
xsm
sm
md
lg

การสำรวจตัวตนครั้งใหม่ของ ‘มาลี นารี’ จากผลงาน ‘แม่หญิงล้านนา’ ‘ผู้หญิงหัวดอกไม้’ สู่ ‘In Layers’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


‘มาลี นารี’ หรือ ‘วัชรกรนันทน์ ปัญญา’







“…ดอกไม้ที่ปุ๋ยชอบมาก อาจไม่ใช่ดอกไม้สำคัญ แต่เป็นดอกหญ้าที่มีเมล็ดพันธุ์ฤดูหนาว เวลาเค้าปลิวแล้วก็ลอยไปตามลม ให้ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงกับเมล็ดพันธุ์”

“…ดอกไม้ผลิดอกออกผลเพื่อที่จะเบ่งบาน ร่วงโรย แล้วก่อเกิดเป็นเมล็ดพันธุ์…ผู้หญิงก็เหมือนกัน ผู้หญิงมีความเป็นเมล็ดพันธุ์ มีความเป็นแม่…สองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน เราก็เลยนำมาผนวกเข้าด้วยกัน เป็นที่มาของชื่อ ‘มาลี นารี’ และเป็นชื่อของงานนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก หลังเรียนจบจากศิลปากรด้วยค่ะ”



“นิทรรศการ In Layers คือการสำรวจชั้นของความรู้สึกแต่ละชั้น ภาพแรก ชื่อว่า ‘การเดินทางของเจ้าหญิงน้อย’ คือการเริ่มต้นออกเดินทางครั้งใหม่ เป็นการผจญภัยครั้งใหม่ ใช้สัญลักษณ์ของเจ้าหญิงน้อยขี่บนหลังม้า แล้วก็มีนกน้อยที่อยู่กลางอก เพื่อที่จะเดินทางออกไปสู่โลกกว้าง งานชิ้นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการขี่ม้าหมุน ม้าหมุนเป็นเหมือนการวนลูปที่หมุนไปเรื่อยๆ เป็นวงกลม แล้วเราอยากจะออกจากการวนลูปนี้ เราอยากจะค้นหาเส้นทางใหม่ๆ…นกน้อยที่อยู่ในใจเจ้าหญิง เปรียบเสมือนอิสรภาพที่ถูกผูกมัดเอาไว้ไม่ให้โบยบิน”

นิทรรศการ In Layers โดย มาลี นารี จัดแสดง ณ MATDOT Art Center

นิทรรศการ In Layers โดย มาลี นารี จัดแสดง ณ MATDOT Art Center
หลายภาพตรงหน้า มีรายละเอียดของริ้วผ้าที่ราวกับพลิ้วไหว เนื้อสีที่โดดเด่น ความงามอันไร้เดียงสา มีทั้งแลดูเศร้า ประหม่า กลัว
ย้อนแย้ง และทระนง หากล้วนแฝงไว้ด้วยการแสวงหาความหมายของชีวิตและจิตวิญญาณภายใน




นัยน์ตาของเด็กสาวส่องสะท้อนความรู้สึกมากกว่าถ้อยคำใดเอื้อนเอ่ย
กลางอกถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ อาทิ นกน้อยที่ถูกผูกมัด, ผีเสื้อที่โบยบิน,อีกาหรือนกดำ
ยังมีสัญญะอีกมากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าโซ่ตรวนบนแขนของศิลปิน, แกะที่ถูกวาดให้กลายเป็นเสือ…

‘มาลี นารี’ หรือ ‘วัชรกรนันทน์ ปัญญา’
ผลงานทั้ง 9 ภาพในนิทรรศการ In Layers เชื้อชวนให้ผู้ชมร่วมตีความได้อย่างสนุกและน่าค้นหา และเมื่อได้รับฟังคำบอกเล่าจากจิตรกรเจ้าของผลงาน ถึงความหมายแท้จริงอันซุกซ่อน ยิ่งชวนให้พินิจผลงานเหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้งและรอบด้านมากขึ้น

‘มาลี นารี’ หรือ ‘วัชรกรนันทน์ ปัญญา’
ผู้จัดการออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษจิตรกรสาว ‘มาลี นารี’ หรือ ‘ปุ๋ย-วัชรกรนันทน์ ปัญญา’ ถึงเส้นทางชีวิตของการเป็นศิลปิน, แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานหลากหลาย Collection ที่ผ่านมา,
ที่มาของนาม ‘มาลี นารี’ กับ Concept ผู้หญิงหัวดอกไม้ที่เป็นภาพจำ อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญในงานของเธอซึ่งให้คุณค่าและเคารพต่อความเป็น ‘Mother Earth’ ของสรรพสิ่ง รวมทั้งความเป็นมารดา เพศหญิง ดอกไม้และพืชพรรณต่างๆ ซึ่งมีจุดร่วมอันคล้ายคลึง 
ขณะที่ผลงานอื่นๆ ที่เธอสร้างขึ้นในสไตล์ Pop Surrealism ยังคงสะท้อนมุมมองต่อตัวตนและสังคมในหลายประเด็น

การพูดคุยครั้งนี้ ยังพาย้อนไปถึงผลงานชุดแรกของเธอ ในชื่อ ‘แม่หญิงล้านนา’ ที่นับจากวันนั้น กระทั่งวันนี้ การแสวงหาเส้นทางและตัวตนของเธอในโลกศิลปะยังคงดำเนินต่อไป ผ่านการเฝ้ามองชีวิต เรียนรู้ประสบการณ์ในโลกของความเป็นจริง เผชิญกับความท้าทายในฐานะศิลปินอาชีพ การตั้งคำถามถึงอิสรภาพที่แท้จริงของการสร้างงานศิลปะ รวมทั้งผลงานในอนาคตที่เธอตั้งใจสร้างขึ้นด้วยคำถามอันท้าทายและชวนขบคิดว่า ‘เราคือใคร มนุษย์เกิดมาได้อย่างไร’


ก่อนจะเป็น ‘มาลี นารี’

ถามว่า อะไรคือแรงบันดาลใจแรกเริ่มที่ทำให้คุณสนใจทำงานศิลปะ
ปุ๋ยตอบว่า ในช่วงวัยมัธยม เธอยังไม่ได้คิดอย่างจริงจังถึงอนาคตว่าจะต้องเรียนอะไร จบมาทำการงานแบบไหน ซึ่งครอบครัวของเธอก็ใจดีกับเธอมาก ให้อิสระในการตัดสินใจ ไม่เคยกดดันเธอ กระทั่งถึงช่วงรอยต่อของการเรียนจบมัธยมปลายและต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ต่างมีเป้าหมายว่าจะเรียนอะไร นั่นคือช่วงที่ทำให้ปุ๋ยเกิดคำถามกับตัวเองว่า ‘แล้วเราล่ะ เรียนจบแล้วเราจะทำงานอะไร’

“เรารู้ตัวว่าชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็กลับไปถามแม่ว่าจะต้องเลือกคณะที่จะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย จะเลือกเรียนอะไรดี แม่ก็บอกว่า ‘ตั้งแต่เด็ก แม่ก็เห็นหนูน่ะชอบวาดรูป’ เราก็คิดได้ว่า นั่นสิ แล้วทำไมไม่เลือกสิ่งที่เราถนัดล่ะ แม่ก็ใจดีมาก ท่านไม่กดดันเลยที่เราจะเลือกเรียนศิลปะ แม่ก็แค่บอกว่า ทำไมเราไม่ทำสิ่งที่เราชอบล่ะ เราโดดเด่นด้านอะไร เราโดดเด่นด้านศิลปะ เราก็กลับมาคิดว่า ทำไมเราไม่เรียนศิลปะล่ะ” 

เมื่อตัดสินใจแล้ว ปุ๋ยตั้งใจฝึก Drawing หุ่นนิ่งอย่างเต็มที่และทุ่มเทให้กับการสอบเรียนต่อ ในที่สุดปุ๋ยก็ได้เข้าศึกษาในคณะวิจิตรศิลป์ สาขาวิชาจิตรกรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

“เราเข้าไปเพื่อที่จะเรียนวาดรูป เข้าไปด้วยคำถามว่าศิลปะคืออะไร โดยที่เราก็ไม่รู้ เมื่อก่อนเราคิดว่าศิลปะคือการวาดรูปสวยๆ รูปที่เราชอบ แต่เมื่อเราเรียนลึกเข้าไปจริงๆ ศิลปะไม่ใช่แค่การวาดรูป แต่มันคือการวาดตัวตนของเราเอง ทำให้เราคิดว่า แล้วตัวตนของเราคืออะไร ตอนนั้นเราก็ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ทำให้เริ่มที่จะค้นหาว่าเราชอบอะไร เริ่มกลับมาตั้งคำถามง่ายๆ ว่าเราชอบอะไร คำตอบคือ เราชอบวาดคนตั้งแต่เด็กๆ วาดตุ๊กตา วาดเป็นผู้หญิงสาว เราชอบวาดอันนี้นะ เพราะตอนเป็นเด็กเราชอบตุ๊กตาบาร์บี้ เราก็เลยติดเป็นภาพจำและชอบวาดตุ๊กตาในจินตนาการของตัวเอง ก็วาดออกมาเป็นแบบนี้ เป็นสไตล์เรา”


สร้างผลงาน ‘แม่หญิงล้านนา’ 

หลังเรียนจบจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยดีกรีเกียรตินิยมอันดับสอง ปุ๋ยยังไม่ได้เรียนต่อปริญญาโทในทันที เธอยังคงเรียนรู้ สัมผัสกับวิถีชีวิตคนเชียงใหม่อยู่อีกพักใหญ่

อัตลักษณ์ ความรุ่มรวยของวัฒนธรรมเชียงใหม่และกลิ่นอายล้านนา เป็นแรงบันดาลใจให้เธอสร้างสรรค์งานขึ้นมาชุดหนึ่ง ก่อนที่จะมาเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นผลงานคอลเลคชั่นที่เธอบอกว่า มีน้อยคน ที่ได้เห็นงานชุดนี้




“ปุ๋ยทำงานชุดที่เรียกว่า ‘แม่หญิงล้านนา’ เป็นภาพไทยในอุดมคติ ไปวัด ทำบุญ เป็นบรรยากาศแบบนั้น เพราะเชียงใหม่มีกลิ่นอายวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาก เราก็อินกับบรรยากาศความเป็นล้านนา ช่วงนั้น เรารู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นใกล้ตัวเรา เราก็เขียนงานแบบภาพไทยขึ้นมา เรื่องราวก็เป็นไปตามบริบทที่เราอยู่อาศัยในช่วงนั้น เป็นภาพแม่หญิงล้านนา งานชุดนี้ทำขึ้นเพื่อนำมาสอบเข้าศิลปากร เป็นชุดที่ไม่ค่อยมีใครเห็นเท่าไหร่”


ภาพชุดแม่หญิงล้านนา คือการเขียนภาพผู้หญิงในอุดมคติ เนื่องจากช่วงนั้น ปุ๋ยจะสอบเข้าภาควิชาศิลปไทย จึงสร้างงานที่มีความเป็นภาพไทย กระทั่งเมื่อเข้ามาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เธอจึงได้เริ่มต้นค้นหาตัวเองใหม่อีกครั้ง


ค้นหาตัวตนอย่างลึกซึ้ง : กำเนิด ‘มาลี นารี’ ผู้หญิงหัวดอกไม้

ปุ๋ยเข้าศึกษาต่อและจบปริญญาโทจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ สาขาวิชาทัศนศิลป์ ภาควิชาศิลปไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร

“ตอนที่เรียนศิลปากร อาจารย์อยากให้เราเข้าไปค้นหาตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร มาจากไหน ชอบอะไร ปุ๋ยคิดว่า เราเกิดมาเป็นลูกหลานเกษตรกร ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ใกล้ชิดกับพืชพรรณ บ้านก็อยู่บนดอยที่อำเภอแม่วาง มีความเป็นชนบท แล้วความเป็นตัวเราก็คือเราชอบเขียนภาพผู้หญิง เราก็เลยนำสองสิ่งนี้มาผนวกเข้าด้วยกัน คือภาพผู้หญิงหัวดอกไม้ ที่เรานำมาใช้เล่าถึงความเชื่อมโยงระหว่าง ‘ผู้หญิง’ กับ ‘ดอกไม้’ ซึ่งมีบางสิ่งบางอย่างที่เชื่อมโยงกัน”




“ดอกไม้จะผลิดอกออกผล เพื่อที่จะเบ่งบาน ร่วงโรย แล้วก่อเกิดเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อที่จะสืบพันธุ์ต่อไป ผู้หญิงก็เหมือนกัน ผู้หญิงมีความเป็นเมล็ดพันธุ์ มีความเป็นแม่เพื่อที่จะมีลูก สองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน เราก็เลยนำมาผนวกเข้าด้วยกัน เป็นที่มาของชื่อ ‘มาลี นารี’ และเป็นชื่อของงานนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก หลังเรียนจบจากศิลปากรด้วยค่ะ”






ขอให้เล่าถึงรายละเอียดของ นิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกในชื่อ Malee : Naree (มาลี : นารี)

ปุ๋ยเล่าว่า เป็นผลงานที่ทำไว้ขณะเรียนที่ศิลปากร เป็นเหมือนงาน Thesis เป็นภาพผู้หญิงหัวดอกไม้ตามความหมายที่ปุ๋ยได้เล่าไว้

“คอนเซ็ปต์ของภาพชุดนี้เป็นคอนเซ็ปต์เดียวกัน แล้วเปลี่ยนหัวดอกไม้ไปเรื่อยๆ เปลี่ยนจากพืชพันธุ์นี้เป็นพืชพันธุ์นี้ เปลี่ยนจากดอกอันนี้ เป็นอันใหม่ แต่ยังคงความเป็นผู้หญิงกับดอกไม้ ที่มีความเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด แล้วก็สร้างสัญญะ สร้างความหมายขึ้น”

“ดอกไม้ที่ปุ๋ยชอบมาก อาจไม่ใช่ดอกไม้สำคัญ แต่เป็นดอกหญ้าที่มีเมล็ดพันธุ์ฤดูหนาว เวลาเค้าปลิวแล้วก็ลอยไปตามลม ให้ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงกับเมล็ดพันธุ์”

อีกแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างงานชุดนี้จึงมาจากธรรมชาติรอบตัวปุ๋ย อาทิ เมล็ดชวนชมที่ขึ้นอยู่หน้าบ้าน รวมทั้งยังมีดอกสน (หรือลูกสน) ที่พบเจอได้เยอะบนดอยสูง


สร้างงานแนว Pop Surrealism สะท้อนประเด็นหลากหลาย

อดสงสัยไม่ได้ว่า คุณให้นิยามตนเองว่าคือจิตรกรแนว Pop Surrealism นิยามของคำนี้คืออะไร

ปุ๋ยตอบว่า “จริงๆ แล้ว เราไม่ได้คิดว่างานเราเป็นแนวไหน แต่เมื่อเราทำงานมาได้สักพักหนึ่ง เช่น ภาพผู้หญิงหัวดอกไม้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง เป็นความ Surrealism รวมถึงงานชุดใหม่อย่าง In Layers ก็ด้วย ไม่ได้อิงความเป็นจริงมาก ก็เลยคิดว่า สไตล์ Pop Surrealism น่าจะเป็นสไตล์ที่พูดถึงงานปุ๋ยได้ชัดเจนที่สุด”




ถามว่างานของคุณมีมากมายหลายชิ้น หลายคอลเลกชั่น หนึ่งในนั้นที่เราสนใจและอยากให้เล่าถึงคือคอนเซ็ปต์งานชุด ‘หน้ากาก’ (The Mask)

ปุ๋ยตอบว่า “งานชุดนี้ นำไปร่วมจัดแสดงหลายที่เลยค่ะ เริ่มต้นเลยเราไม่ได้เจาะจงว่าจะนำงานไปแสดงที่ไหน แต่เริ่มจากปุ๋ยทำงานชุดนี้อยู่แล้ว เมื่อมีนิทรรศการไหนขอมา ปุ๋ยก็เอาไปจัดแสดง สำหรับคอนเซ็ปต์ชุดหน้ากาก มีที่มาจากว่า คนเรา บางทีเราก็ต้องใส่หน้ากากเพื่อที่จะเข้าหากัน เราไม่ได้เผยความจริงออกมา ในสังคมนึงเราก็ใช้ตัวตนนึง ในอีกสังคมนึง ก็ใช้อีกตัวตนนึง เพื่อจะเข้าหาสังคมนั้นๆ จึงพูดถึงความเป็นหน้ากาก โดยหน้ากากแต่ละอันก็บ่งบอกเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน งานชุดนี้ ทำช่วงปี 2022 ค่ะ”


ปุ๋ยยังเล่าถึงงานชุดที่หลุดกรอบออกไปจากคอนเซ็ปต์หัวดอกไม้ เป็นชุดตัวการ์ตูน ชื่อคอลเลกชั่น ‘Sticker Emotion’

“สิ่งที่คงเดิมคือยังเป็นภาพผู้หญิง แต่เราลองหลุดออกจากความเป็นหัวดอกไม้ดูบ้าง อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงถ้าเราลองหลุดออกจากเซฟโซนของตัวเอง การทำงานศิลปะ เราเข้าใจว่า คนจะรู้จักเราในชื่อผู้หญิงหัวดอกไม้ แต่ว่าพอทำไปสักพัก ผู้หญิงหัวดอกไม้ คือคอนเซ็ปต์เหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนองค์ประกอบ เปลี่ยนดอกไม้ไปเรื่อยๆ แต่พอเราโตขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น พบเจอเรื่องราวอะไรมากขึ้น เราก็อยากใช้ศิลปะมาเล่าอะไรใหม่ๆ ที่เราไปพบเจอ โดยที่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเล่าเรื่องเดิมซ้ำๆ จึงคิดว่าถ้าเราเปลี่ยนมาเล่าเรื่องอื่นล่ะ อย่างชุด ‘Sticker Emotion’ ปุ๋ยทำขึ้นในปี 2023"






“เราชอบตุ๊กตามาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว และช่วงนั้น ปุ๋ยสนใจในเรื่องของการศึกษาอารมณ์ความรู้สึก มีความเป็นธรรมะแฝงอยู่และเกิดคำถามว่าเราจะใช้พุทธศิลปกรรมหรือความเป็นพุทธะกับศิลปะ ให้มาผนวกกันอย่างไรโดยไม่ให้มีภาพของความเป็นพุทธศิลปกรรม ไม่มีภาพพระพุทธเจ้า ก็เลยคิดว่า ‘Sticker’ เป็นการสื่อสารผ่านตัวการ์ตูน ว่าเรามีความรู้สึกยังไง เราส่งการ์ตูนนี้ให้คนนี้ เรามี Emotion อย่างไรในตอนนี้ มันคือ การหยิบยื่นอารมณ์ความรู้สึกของเราให้กับคนอื่น แล้วอารมณ์ความรู้สึกของคน ก็มีมากมายหลากหลาย ปุ๋ยจึงทำเป็นชุด ‘Sticker Emotion’ ทำเก็บไว้ แล้วก็ได้มีโอกาสนำไปร่วมแสดง”


‘In Layers’ หลากหลายชั้นของความรู้สึก

จากเส้นทางและผลงานที่ผ่านมา สู่ผลงานล่าสุดในนิทรรศการ In Layers
ถามถึงแนวคิด ความเป็นมาและแรงบันดาลใจของการสร้างสรรค์งานชุดนี้ ปุ๋ยเล่าเรื่องราวตามลำดับให้เราฟังนับแต่ภาพแรก ถึงภาพสุดท้ายอย่างน่าสนใจ


“นิทรรศการ In Layers คือการสำรวจชั้นของความรู้สึกแต่ละชั้น
ภาพแรก ชื่อว่า ‘การเดินทางของเจ้าหญิงน้อย’ คือการเริ่มต้นการออกเดินทางครั้งใหม่ เป็นการผจญภัยครั้งใหม่ ใช้สัญลักษณ์ของเจ้าหญิงน้อยขี่บนหลังม้า มีนกน้อยที่อยู่กลางอก เพื่อที่จะเดินทางออกไปสู่โลกกว้าง ก็คือการตามหาอิสรภาพครั้งใหม่ นกน้อยที่อยู่ในใจเจ้าหญิง เปรียบเสมือนอิสรภาพที่ถูกผูกมัดเอาไว้ ถูกมัดไว้ไม่ให้บิน”

“งานชิ้นนี้จะมีองค์ประกอบทับซ้อนกัน ได้แรงบันดาลใจมาจากการขี่ม้าหมุน ม้าหมุนเป็นเหมือนการวนลูปที่หมุนไปเรื่อยๆ เป็นวงกลม แล้วเราอยากจะออกจากการวนลูปนี้ เราอยากจะค้นหาเส้นทางใหม่ๆ ว่าศิลปะน่าจะมีมากกว่าที่เราทำอยู่ ศิลปะควรใช้เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้มากกว่านี้ เราจึงอยากก้าวออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง แล้วก็ค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่เรายังไม่เคยเข้าไปพบเจอ เป็นที่มาของภาพนี้ค่ะ”

ปุ๋ยเล่าเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อก่อนเธอใช้สีอะคริลิคในการทำงาน แต่ภาพในนิทรรศการครั้งนี้ เธอเริ่มใช้สีน้ำมันในการเขียนภาพ

“ปุ๋ยคิดว่า เมื่อเราใช้เทคนิคเดิมไปซ้ำๆ สักพัก การออกจากเซฟโซน หาอะไรใหม่ๆ เทคนิคใหม่ๆ ทำให้สนุกกับมันในมิติต่างๆ มากขึ้น ภาพนี้เป็นภาพแรกที่วาด ใช้เวลานานที่สุด ใช้เวลา 2 เดือน เขียนทับไปสองรอบ รอบแรกเป็นสีอะคริลิก วาดเสร็จแล้วด้วย แต่เมื่อมานั่งดูแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ปุ๋ยก็เปลี่ยนมาเป็นสีน้ำมันก็กลายมาเป็นภาพนี้ค่ะ”


ภาพที่ 2 ‘เกิดมาเพื่อโบยบิน’

ภาพนี้ ปุ๋ยนึกย้อนไปถึงตอนที่เรียนศิลปะใหม่ๆ ว่าศิลปะที่แท้จริงคืออะไร ตอนนั้นการเรียนศิลปะครั้งใหม่เปรียบเหมือนการที่ได้ผจญภัย ได้ใช้จินตนาการ คือความสนุกสนานและอิสรภาพ

ปุ๋ยเล่าย้อนไปถึงตอนเรียนศิลปะว่า “ในการเรียนศิลปะ เราจะต้องเรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ก่อน ถ้าเห็นภาพนี้ ก็อาจรู้สึกว่าทำไมปุ๋ยถึงเขียนให้มีความย้อนยุคไปในสไตล์กรีก-โรมัน เพราะมันเป็นภาพจำสมัยเด็ก ว่าประวัติศาสตร์ศิลป์ที่เราเรียนตอนแรก ก็จะท้าวความมาตั้งแต่ยุคกรีก-โรมัน ทำให้สมัยเรียนศิลปะปุ๋ยจะมีภาพจำว่า ศิลปะคือการวาดภาพแบบกรีก-โรมันให้สวยงาม ก็เลยนำมาใส่ในภาพนี้ และสื่อความหมายว่าศิลปะคืออิสรภาพที่จะ Paint ลงไปบนผืนผ้าใบด้วยตัวเราเอง ภาพนี้ ปุ๋ยอยากย้อนเวลาไปเขียนงานแบบโบราณ ได้นึกย้อนความทรงจำเก่าๆ เป็นการเล่าชีวิตของตนเองผ่านงานศิลปะ ว่าเราไปพบเจออะไรมาบ้าง”


ภาพที่ 3 ‘ศิลปินผีเสื้อ’

“เมื่อเราเรียนศิลปะไปได้สักช่วงเวลาหนึ่ง เราค้นพบว่าศิลปะไม่ใช่แค่ความงาม ไม่ใช่แค่ภาพสวยๆ แต่ว่าศิลปะต้องย้อนกลับมาที่ใจของตนเอง มันคือการค้นหาตัวเอง ว่าตัวเองเป็นใคร ชอบอะไร มีลายมือธรรมชาติแบบไหน ศิลปินควรที่จะซื่อสัตย์ต่อธรรมชาติของตัวเองและสื่อสารออกมาผ่านภาพ”


ภาพที่ 4 ‘The Artist’

“ความหมายของภาพนี้คือ เมื่อเราเรียนจบศิลปะมา เราก็มีอาชีพเป็นศิลปิน ขณะที่ศิลปะนั้นมีความอิสระเสรีมาก เราทำมันด้วยความชอบจริงๆ แต่เมื่อได้มาเผชิญกับโลกแห่งความจริงก็ได้พบว่า ‘ศิลปะ มันจะขายได้ไหม’ ปุ๋ยคิดว่าน่าจะเป็นคำถามทั่วไปของศิลปินอาชีพ หรือผู้ที่ยึดอาชีพเป็นศิลปิน ใช้ศิลปะเป็นสิ่งเลี้ยงชีพ มันเกิดโซ่ตรวนบางอย่างในใจว่าศิลปะที่เราทำอยู่ มันเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อเงินตราหรือเปล่า ตอบสนองต่อมูลค่าหรือเปล่า แล้วคุณค่าในงานศิลปะคืออะไร เป็นการตั้งคำถามลึกๆ ว่า บางที ศิลปินอาชีพจริงๆ จะมีโซ่ตรวนบางอย่างผูกมัดอยู่ในใจ ไม่ได้มีอิสระจริงๆ ไม่เหมือนกับเราวาดรูปเป็นงานอดิเรก แบบนั้น เราจะวาดรูปอะไรก็ได้ เพราะเรามีเงิน Support จากทางอื่น จะวาดรูปอะไรก็ได้ ไม่ต้องสนว่าจะขายได้หรือเปล่า”

“แต่เมื่อเราเลี้ยงชีพด้วยงานศิลปะ นั่นหมายความว่า งานเราต้องขายได้ด้วยหรือเปล่า ต้องคิดว่าเราจะขายได้เท่าไหร่ ต้องตั้งราคายังไง ใครจะซื้องานของเรา แต่เราก็ไม่สามารถให้สิ่งเหล่านี้มาครอบงำเราได้ ดังนั้น มันจึงฟังดูย้อนแย้ง ในขณะที่เราจะเป็นอิสระแต่ความเป็นจริงเหล่านี้กลับมาผูกมัดเรา ภาพนี้แสดงออกถึงความย้อนแย้งกันของอิสรภาพกับโซ่ตรวน”


ภาพที่ 5 ‘จิตรกรแห่งเงา’

“ภาพนี้สื่อว่าในใจของทุกคน ต้องมีด้านมืดหรือบาดแผลอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้ อาจจะเป็นความกลัว ความเจ็บปวดตั้งแต่เด็ก หรือบางสิ่งบางอย่างที่เรายังปล่อยวางไม่ได้ ยังติดอยู่ในใจ ทำให้เราเดินไปข้างหน้าไม่ได้ ซึ่งการจะปล่อยวางอดีตได้ ไม่ใช่ว่าเราต้องหนีมัน แต่เราควรจะเผชิญหน้ากับมันมากกว่า เพื่อที่เราจะสามารถปล่อยวางมันได้จริงๆ”

“ภาพนี้ก็เหมือนกับการที่เด็กผู้หญิงคนนี้จะโบยบินได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเองก่อน ปลดปล่อยนกดำหรืออีกาที่อยู่ในใจของตัวเองออกมาก่อน ถึงจะบินได้”


ภาพที่ 6 ‘จากเหยื่อสู่ผู้ล่า’

“ชีวิตเรา บางครั้งอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่จำยอม ไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนเราอยู่ภายใต้โชคชะตา ภาพนี้ สื่อถึงว่า หากเราเกิดมาแบบนี้แล้วยังไง หากเราเกิดมาเป็นแกะ แต่เราจะไม่ยอมถูกโชคชะตาบังคับ ไม่ยอมจำนน เราจะกลายเป็นเสือได้ยังไง เราพยายามที่จะเปลี่ยนด้วยปลายพู่กันของตัวเอง ภาพนี้ก็เลยเป็นความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนนิดนึง เด็กผู้หญิงจะมีหน้าตากล้าๆ กลัวๆ มันไม่ใช่การที่เขามั่นใจว่า ‘ฉันจะเป็นผู้ล่านะ’ แต่อารมณ์เหมือนสงสัยไม่มั่นใจในตัวเองว่า ‘ฉันจะเป็นผู้ล่าได้หรือเปล่านะ?’ จะกล้าๆ กลัวๆ นิดนึง”




ภาพที่ 7-8 ‘Black Queen-Red Queen’

“ภาพคู่นี้ สื่อว่าสุดท้ายแล้ว เมื่อเราจะลุกขึ้นสู้กับโชคชะตาของตัวเอง สิ่งที่เราไม่ควรจะลืมคือ ผู้หญิงทุกคนมีความเป็นราชินีอยู่ในตัว หมายถึงความทระนงอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ ผีเสื้อที่โบยบินออกมาจากอก หมายความว่า เรายังไม่ลืมนะว่าเมื่อก่อน สมัยเด็กๆ เรายังมีความอิสระ เมื่อเราโตมาขนาดนี้แล้วก็ควรย้อนกลับไปมองในวัยเด็กบ้างว่ามีความสดใสแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรลืมความทระนงองอาจและเรื่องราวต่างๆ หรือความกดดันที่ผ่านเข้ามาในชีวิต”

“สีดำ หมายถึง แม้เราจะตกอยู่ในเงามืด แต่เราก็สามารถเป็น Queen ได้นะ
สีแดง หมายถึง เลือดเนื้อ กายของเรา หยาดเหงื่อของเรา เราก็เป็น Queen กับเลือดเนื้อและพลังชีวิตของเรา”


ภาพที่ 9 ‘ฉันคือหุนยนต์’ (I Am a Robot)

“ภาพทั้งหมดที่ผ่านมา เหมือนเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของปุ๋ยเองที่ได้พบเจอมา แต่พอมาถึงชิ้นนี้ ต่างออกไป เป็นการที่เรามองดูโลกในยุคปัจจุบัน เรากำลังเผชิญหน้ากับอะไร สิ่งที่เรากำลังเผชิญก็คือเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้น แล้วตอนนี้ การผลิตหุ่นยนต์ที่ไร้ความรู้สึกแต่เลียนแบบความเป็นมนุษย์ มันกำลังจะมาเร็วๆ นี้ แน่นอน”

“ปุ๋ยจึงคิดว่า เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง คนๆ นี้จะกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ใส่ความรู้สึกให้เหมือนมนุษย์ หรือเป็นมนุษย์ที่ถูกใส่อะไหล่ให้เป็น Robot กันแน่ มันคือการตั้งคำถามต่อไปในอนาคตข้างหน้าว่า สุดท้ายแล้วความเป็นตัวเรา ความเป็นจิตวิญญาณของเรา มันจะยังหลงเหลืออยู่หรือเปล่า ภาพชิ้นนี้จะมีส่วนที่เหมือนกับ คนตัวเล็กๆ หลายๆ คน เผชิญหน้ากับหุ่นยนต์ที่เป็นตัวใหญ่ๆ ก็เหมือนกับการที่เราไปยืนเผชิญหน้ากับ ChatGPT เหมือนเราไม่รู้อะไรเลย เหมือนเค้ารู้เยอะมาก ถามอะไรรู้ทุกอย่าง เหมือนเราตัวเล็กไปเลย”


“ภาพทั้งหมดใน In Layers ปุ๋ยพยายามร้อยเรื่องราวให้เป็นเหมือนหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง ที่มีประสบการณ์ของเราเอง ในการที่จะเล่าว่าแต่ละหน้าคืออะไร อยากให้คนดูรู้สึกเหมือนได้อ่านหนังสือนิทาน แล้วกลับมาคิดย้อนถึงตัวเอง ว่า แล้ว ‘Layers ของคุณ’ คืออะไร”

“คอลเลกชั่นนี้ปุ๋ยใช้เวลาทำประมาณ 1 ปีเต็ม ความยากคือ เหมือนเราได้ไปรู้จักเพื่อนใหม่ ต้องเรียนรู้สีที่ใช้ว่ามีธรรมชาติยังไง การที่จะทับซ้อนเข้าไปในแต่ละชั้นของเนื้อสี ต้องใช้จังหวะยังไง เหมือนการเรียนรู้ใหม่ แล้วก็สนุกไปกับมัน”


เราคือใคร

ก่อนบทสนทนาจบลง ปุ๋ยทิ้งท้ายว่า
“นิทรรศการถัดไป ปุ๋ยอยากพูดถึงการลงลึกถึงคำถามที่ว่า ‘มนุษย์เกิดมาได้ยังไง’ มันอาจจะเป็นคำถามที่ไกลตัว แต่เรามองว่าเป็นคำถามที่เราทุกคนควรจะตั้งคำถามตั้งแต่เด็กเลย ว่า ‘เราคือใคร เรามาจากไหน เราเกิดมาได้ยังไง มนุษย์เกิดมาได้ยังไง’ มันเป็นคำถามพื้นฐานที่ทุกคนอาจจะมองข้ามเพราะรีบเร่งอยู่กับการทำงานหรือสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันจนลืมคำถามเหล่านี้ไป นี่ก็อาจจะเป็นประตูอีกบานหนึ่ง หรืออีก Layer หนึ่ง เป็น Layer ใหม่ที่เปิดเข้าไป เป็นนิทรรศการที่กำลังคิดไว้ในอนาคตค่ะ”

หลังจากชมนิทรรศการครั้งล่าสุดนี้ เชื่อว่าหลายคนที่ชื่นชอบผลงานของเธอ คงพร้อมรอคอยการสำรวจ Layer ครั้งใหม่ที่น่าค้นหาไม่น้อยไปกว่ากัน
………..
Text By : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
Photo By : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล, วัชรกรนันทน์ ปัญญา, MATDOT Art Center, FB: Malee Naree
หมายเหตุ : นิทรรศการ In Layers จัดแสดงถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ที่ MATDOT Art Center