รายงานพิเศษ
สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่อยู่ในภาวะวิกฤตมา 4 วันแล้ว ประชาชนจำนวนมากติดอยู่ในบ้านเรือน อีกจำนวนมากติดอยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูง ขาดอาหารและน้ำ ประชาชนจำนวนมากต้องแจ้งร้องขอความช่วยเหลือไปยังช่องทางสื่อสารเอกชน และจำนวนมากขาดการติดต่อสื่อสารเพราะไม่สามารถชาร์ตแบตเตอรี่เครื่องมือสื่อสารได้ คำร้องขอที่ถูกส่งต่ออย่างต่อเนื่อง คือ ความต้องการออกไปยังพื้นที่ปลอดภัย ขณะที่ความช่วยเหลือเข้าถึงได้ยาก ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญต่อการบริหารสถานการณ์ในภาวะวิกฤตของรัฐบาลและท้องถิ่น โดยเฉพาะคำถามว่า ... ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อยู่ที่ไหน ?? ... ใคร ... เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ที่แท้จริง ??
ไมตรี จงไกรจักร์ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท ซึ่งทำงานในประเด็นการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชน ในฐานะอดีตผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ แสดงความรู้สึกเศร้าใจต่อเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่และภาคใต้ครั้งนี้ แต่ทำอะไรได้ไม่มากนอกจากการประสานความร่วมมือ ภาคี เครือข่ายในพื้นที่ ซึ่งเคยทำงานเตรียมการรับมือภัยพิบัติด้วยศักยภาพของชุมชนมาก่อน แต่ในกรณีที่หาดใหญ่ต้องยอมรับว่า เป็นสถานการณ์ที่เกินกว่าศักยภาพของทีมใดทีมหนึ่งจะช่วยได้ จึงต้องใช้ศักยภาพของรัฐบาล
“ผมอาจพอมีประสบการณ์ทำงานภัยพิบัติ มาบ้างครับ แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่จะเสนอต่อไปนี้จะเป็นการดูแคลนรัฐบาล แต่ขอเสนอว่า สิ่งแรกที่รัฐควรทำคือการไปเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ มาตั้งเป็นวอร์รูมที่ปรึกษา เช่นนักวิชาการที่ติดตามภัยพิบัติ เครือข่ายจัดการภัยพิบัติจากชุมชนที่ประสบภัยบ่อย ๆ หรือสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เพื่อประสานไปยังเครือข่ายอื่น ๆ พร้อมตั้งทีมหน่วยงานและทีมข้อมูลวิชาการให้เป็นหน่วยประมวลผลไปสนับสนุนที่หน้างานทันที”
“ผมเคยดูหนังต่างประเทศ เวลาเกิดเหตุแบบนี้ เขาจะเอาเฮลิคอปเตอร์ไปอุ้มผู้เชียวชาญ มาอยู่ในวอร์รูมสนับสนุนรัฐบาลทันที” ไมตรี กล่าว
ข้อเสนอต่อมา ไมตรี เห็นว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องทำทันที คือ กางแผนป้องกันภัยทั้งแผนระดับชาติและแผนระดับจังหวัดออกมาเพื่อดูบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ และควรกาง พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 2550 ออกมา พร้อมใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาอยู่ข้างตัวผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยแยกสิ่งที่ผ็บัญชาการเหตุการณ์ต้องทำ ดังนี้
1. กางแผนที่บัญชาการทันที วิเคราะห์ แบ่งงาน แบ่งคน แบ่งทีม ทันที รายงาน ศูนย์บัญชาการ
2. จัดตั้งศูนย์วิทยุ สั่งการ ประสานงาน ติดตามสถานการณ์ โดยต้องมีเพียงศูนย์สั่งการเดียวเท่านั้น ที่ข้างห้องบัญชาการ
3. มอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นหน่วยหลัก ในการระดมสรรพกำลังงานกู้ภัยจากทุกหน่วยของรัฐ และหน่วยงานในจังหวัดใกล้เคียงที่น้ำไม่ท่วม เช่น พังงา ภูเก็ต ระนอง สุราษฎร์ธานี และหน่วยของเอกชนอย่างกลุ่มอาสาสมัครกู้ภัย จากนั้นก็ตรวจสอบกำลังคนเพื่อนำกำลังทั้งหมดเข้ามารายงานตัวที่ศูนย์บัญชาการ จะได้มอบหมายภารกิจออกไปโดยไม่ทับซ้อนกัน
4. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหน่วยงานท้องถิ่นรับผิดชอบ จัดหาพื้นที่ตั้งศูนย์อพยพให้มากที่สุดและเพียงพอ โดยกำหนดจุด และแจ้งให้ประชาชนทราบ
5. มอบสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนและจังหวัด จัดการให้ตั้ง “ครัวกลาง” และประสานเครือข่ายให้ดูแลเป็นครัวประจำชุมชน ส่วนครัวอาสาอื่น ๆ ก็สามารถทำเสริมได้ แต่ควรมีคนรับผิดชอบ
6. จัดตั้งศูนย์ข้อมูลให้ ปภ. ทำข้อมูลด้านสถิติ ให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า (GISTDA) จัดทำแผนที่ วิเคราะห์ความต้องการความช่วยเหลือ วิเคราะห์ความเสี่ยง
7. จัดแถลงข่าว ทุก 2 ชั่วโมง อย่างเป็นระบบ


