กรมชลประทานอ้างน้ำท่วมภาคใต้ ฝนหนักสุดในรอบ 300 ปี ถล่มหาดใหญ่ เร่งระบายน้ำเต็มศักยภาพ ลดผลกระทบ เผยถ้าไม่มีคลองระบาย ร.1 น้ำท่วมหาดใหญ่อาจรุนแรงกว่าที่คิด
วันนี้ (23 พ.ย.) ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน เปิดเผยถึงสาเหตุน้ำท่วมหนักในพื้นที่ภาคใต้ เกิดจากตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. 68 จนถึงปัจจุบัน อิทธิพลของร่องมรสุมและหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคใต้ และภาคใต้ตอนล่าง ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป ส่งผลให้เกิดอุทกภัยรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สตูล สงขลา พัทลุง ตรัง นราธิวาส ปัตตานี และ ยะลา โดยปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมง วัดได้มากกว่า 300 - 500 มม.
สำหรับจังหวัดสงขลา มีฝนตกหนักครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ ที่วัดปริมาณฝนสูงสุดเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 68 วัดได้ 335 มม. ซึ่งเป็นปริมาณฝนตกหนักในรอบ 300 ปี สำหรับปริมาณฝนสะสม 3 วันย้อนหลัง (19 - 21 พ.ย. 68) ได้สูงสุดถึง 630 มม. (มากกว่าครั้งที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ของอำเภอหาดใหญ่ เมื่อปี 2553 ที่มีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 428 มม.) มีน้ำท่วมในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ระดับน้ำสูงเฉลี่ย 0.50 - 2.50 เมตร
นอกจากนี้ ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลัก สายรอง รวมทั้งคลองสายต่างๆ ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดน้ำเอ่อล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ อาทิ คลองวาด คลองอู่ตะเภา คลองต่ำ คลองหวะ รวมถึง คลองภูมินาถดำริ (คลองระบาย ร.1) ที่เป็นคลองขุดระบายน้ำสายใหม่ ที่ใช้ผันน้ำจากคลองอู่ตะเภาไปลงทะเลสาบสงขลาได้เร็วขึ้น มีศักยภาพในการระบายน้ำได้ 1,200 ลบ.ม./วินาที ช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ได้เป็นอย่างมาก ขณะนี้ยังคงมีฝนตกในพื้นที่ แต่มีแนวโน้มลดลง หากไม่มีฝนเพิ่ม คาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 3 - 5 วัน
กรมชลประทานได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำจำนวน 32 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ำ 14 ชุด เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ ปริมาณฝนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ สูงเกินกว่าศักยภาพการออกแบบของคลองภูมินาถดำริ (คลองระบาย ร.1) แต่ด้วยความสามารถในการระบายน้ำ 1,200 ลบ.ม./วินาที คลองยังมีส่วนสำคัญช่วยลดน้ำที่จะไหลเข้าสู่เขตอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งหากไม่มีคลอง ร.1 สถานการณ์น้ำที่ อ.หาดใหญ่ อาจรุนแรงกว่าที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างมาก


