รายงานพิเศษ
“ได้รับการแจ้งเตือนน้ำท่วมจากระบบ Cell Broadcast ครั้งแรกเมื่อวานตอนเย็น (21 พ.ย. 2568) ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่น้ำเริ่มท่วมในช่วงค่ำ ... ส่วนการแจ้งเตือนในพื้นที่ที่ชาวบ้านรับรู้ได้ คือ การแจ้งเตือนจากเทศบาล (ท้องถิ่น) ตั้งแต่ในช่วงเย็นวันเดียวกัน”
“ที่เขาเตือน ก็คือการบอกว่า น้ำเยอะแล้ว จะเกิดน้ำท่วมแน่ เตือนเพื่อให้เราเก็บข้าวของ รักษาชีวิตและทรัพย์สิน ... แต่เดิมคนที่นี่จะเข้าใจกันว่า น้ำจะต้องมาจาก อ.สะเดา แต่รอบนี้น้ำมาจากทาง ต.คอหงส์ (อยู่เหนือเทศบาลนครหาดใหญ่) ซึ่งมันไม่เหมือนที่ผ่านมา”
สองข้อความนี้ คือ คำบอกเล่าของประชาชนที่อาศัยอยู่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เกี่ยวกับ “สาร” หรือ “ข้อความ” ที่ใช้เพื่อเตือนภัยในช่วงก่อนเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ช่วงค่ำของคืนวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 จากเหตุฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างมาตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน
ข้อมูลปริมาณน้ำฝนสะสม 24 ชั่วโมง ที่รายงานในเวลา 10.00 น. วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ระบุว่า ปริมาณสะสมมากที่สุดของประเทศไทย วัดได้ที่สถานีบ้านคลองหิน จ.สงขลา อยู่ที่ 477 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นปริมาณฝนที่สูงมาก และยังมีสถานีวัดปริมาณน้ำฝนจุดอื่นๆใน จ.สงขลา ที่มีปริมาณน้ำฝนสะสมสูงกว่า 300 มิลลิเมตร แกหลายจุด คือ
สถานีหาดใหญ่ 370.20 มิลลิเมตร ... สถานีบ้านปากช่อง 365.50 มิลลิเมตร ... สถานี อบต.พิจิตร 364.20 มิลลิเมตร ... สถานีบ้านวังพา 363 มิลลิเมตร ... สถานีบ้านควนหัวช้าง 331 มิลลิเมตร ... สถานีที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง 319.40 มิลลิเมตร ... สถานีคอหงษ์ สกษ. 306.40 มิลลิเมตร ... สถานีบ้านตลาดเทพา 306 มิลลิเมตร
“ฝนมากจริง ๆ” ... ปริมาณน้ำฝนที่มากเกินกว่า 300 – 400 มิลลิเมตรเช่นนี้ ประกอบกับการ “ตกแช่” อยู่ในจุดที่เป็น “ต้นน้ำ” ของเทศบาลหาดใหญ่ เป็นสาเหตุหลักของการเกิดเหตุน้ำท่วมครั้งนี้ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำต่างยอมรับตรงกัน
มีข้อมูลระบุว่าว่า พื้นที่ฝั่งตะวันออกของภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา เป็นพื้นที่ที่ควรได้รับการ “เฝ้าระวังในระดับสูง” อยู่แล้ว เพราะแบบจำลองสามารถคาดการณ์ได้ตั้งแต่ประมาณวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ว่าจะมีฝนตกหนักในบริเวณนี้ตั้งแต่วันที่ 18 – 23 พฤศจิกายน 2568 .... แต่ก็ต้องยอมรับว่า ฝนที่ตกหนักในรอบนี้มีรูปแบบที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ไว้ คือ ฝนตกหนักมากจริงๆ และไปตกแช่อยู่ที่ ต.คอหงษ์ ซึ่งเป็นต้นน้ำของเมืองหาดใหญ่ จากที่คาดการณ์กันไว้ว่า น่าจะตกหนักที่ ต.คลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นท้ายน้ำของ อ.หาดใหญ่ ... และยังมีความกังวลในหมู่นักวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ในหาดใหญ่อาจจะยังไม่บรรเทาลงได้โดยเร็ว เพราะยังจะมีฝนหนักไปถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน และน้ำจาก ต.คอหงษ์ ที่จะไหลลงมาเติมในคลองต่าง ๆ ยังไม่ผ่านระดับสูงสุด จึ่งอาจจะยังมีน้ำเติมลงมาเพิ่มอีก
แต่จุดหนึ่งที่อาจถูกมองข้ามไปจากเหตุการณ์นี้ คือ ... เราไม่เห็น “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” ถูกตั้งขึ้นมา ก่อนจะเกิดสถานการณ์ที่น่าจะพอคำนวณได้ว่า “มีความเสี่ยง” ที่จะเป็นภัยพิบัติใหญ่ เช่นนี้ ... ทั้งที่ในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมา หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการน้ำจะตั้ง “ศูนย์ส่วนหน้า” เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุการณ์มาตลอด
จากข้อมูลที่เห็น คือ มีข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาอยู่แล้วว่าจะเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่วันที่ 18-23 พฤศจิกายน ข้อมูลนี้มีความชัดเจนตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน เท่ากับว่า “รัฐ” มีเวลาราว ๆ 72 ชั่วโมงก่อนที่ฝนจะเริ่มตก และมีเวลาอีกราวๆ 72-96 ชั่วโมง นับตั้งแต่ฝนเริ่มตกมาถึงจุดที่เกิดน้ำท่วม หรือรวมเป็นเวลาประมาณ เกือบ 7 วัน ก่อนน้ำท่วมที่จะสามารถบริหารจัดการเพื่อป้องกันหรือช่วยให้ลดความสูญเสียที่จะเกิดกับประชาชนได้ ... แต่ คำเตือนแรกที่ประชาชนได้รับ เกิดขึ้นในช่วงเวลา 2-3 ชั่วโมงก่อนน้ำเข้าท่วม
คำถามที่น่าสนใจ คือ ทำไมน้ำท่วมหาดใหญ่ (หรือต่อไปอาจจะเรียกได้ว่าน้ำท่วมหลายจุดในภาคใต้ – ต้องเฝ้าระวังเข้มข้นต่อเนื่องที่พัทลุง นครศรีธรรมราช) ในรอบนี้ จึงไม่มีการตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” ... ทำไม “ไม่ทำ” ในแบบที่เคยทำ
“ศูนย์ส่วนหน้า” มีหน้าที่ลงไปทำอะไรต่างๆ เพื่อลดผลกระทบ หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของ “การป้องกันภัย” นั่นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ “การป้องกันภัย” เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะมีปัญหาในการใช้งบประมาณมาตลอด เนื่องจากไม่มีผู้เชี่ยวชาญในระดับพื้นที่ที่จะระบุอย่างชัดเจนได้ว่า พื้นที่แบบไหนจึงสามารถใช้งบประมาณในการป้องกันก่อนเกิดเหตุได้
ในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมา “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” ถูกตั้งขึ้นผ่านกลไกการบริหารจัดการน้ำของ “สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ” หรือ สทนช. ซึ่งถูกตั้งขึ้นมาตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ 2561 โดยเป็นหน่วยงานที่จะรวบรวมข้อมูลและประเมินเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำที่อาจจะส่งผลให้เกิดผลประทบกับประชาชน เพื่อส่งข้อมูลต่อให้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ใช้อำนาจตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำไปจัดการเพื่อ “ป้องกันภัย”
“ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” ถือเป็นกลไกที่ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด เช่น ในสถานการณ์น้ำท่วมภาคกลาง ก็อาจไปตั้งอยู่ที่หน้าเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท หรือที่เขื่อนภูมิพล จ.ตาก ทำให้ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ หน่วยงานในพื้นที่ สามารถบริหารจัดการร่วมกันได้บนฐานข้อมูลที่สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่จริง
“พ.ร.บ.น้ำ บริหารมวลน้ำ ... พ.ร.บ.ปภ. บริหารมวลชน” เป็นการให้คำอธิบายให้เห็นความสำคัญของกลไกนี้
ซึ่งในอีกมุมหนึ่ง ก็มีความหมายว่า จะขาดฝั่งใดฝั่งหนึ่งไปไม่ได้ เมื่อไม่มีการบริหารมวลน้ำ การบริหารมวลชนหรือการจะเข้าไปจัดการกับผู้ประสบภัยก็จะยากขึ้นทันที
ในกลไกปัจจุบัน ตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ เมื่อ สทนช. ประเมินข้อมูลฝน ระดับน้ำ แหล่งน้ำ พายุ หรืออะไรก็ตามแล้วพบว่า มีความเสี่ยงเป็นภัยพิบัติ จึงต้อง “ยกระดับสถานการณ์” โดยให้อนุกรรมการบริหารจัดการน้ำ ตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” ขึ้นมาใช้เป็นหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ โดยกลไกต่าง ๆจะถูกยกระดับไปตามบริบทของสถานการณ์
ขั้นตอนการบริหารจัดการน้ำในกรณีเกิดภัยพิบัติ
- ประเมินว่าจะเกิดภัย - ตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า บริหารโดย สทนช.
- ประเมินต่อว่าเป็นภัยพิบัติขนาดใหญ่ – ใช้กลไกตั้ง กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) บริหารโดย รองนายกรัฐมนตรี
- ประเมินต่อว่าเป็นภัยพิบัติร้ายแรง – ตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
- ประเมินต่อว่ากลไกที่ใช้ยังไม่เพียงพอ - ใช้ พ.ร.บ.ปภ.
ในกรณีสถานการ “น้ำท่วมหาดใหญ่” ... มีข้อมูลว่าจะมีฝนตกหนักตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ... ถือเป็นวันแรกที่ควรตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” หรืออย่างช้าคือวันที่ 15 พฤศจิกายน ... และเมื่อประเมินจากสถานการณ์คืนวันที่ 21-22 พฤศจิกายนจะเห็นว่า ถือเป็นภัยพิบัติขนาดใหญ่ และอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างขยายไปหลายจังหวัด อาจจะใช้กลไกการตั้งเป็นกองอำนวยการน้ำแห่งชาติได้ด้วยซ้ำ
แต่ ... ในสถานการณ์ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา 3 นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร และ อนุทิน ชาญวีรกูล .... มีกลไกการบริหารจัดการน้ำระดับชาติ เพิ่มขึ้นมาอีก 1 กลไก ... ซึ่งในวงการเรียกกันว่า “ศูนย์นายกฯ”
ในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ใช้ชื่อว่า ... “ศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติ” ... ส่วนในรัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำมีชื่อว่า ... “ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ” โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ซึ่งกลไกที่ขอเรียกสั้น ๆ ว่า “ศูนย์นายกฯ” นี้ สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” ได้เช่นกัน
จากข้อมูลนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า การหายไปของ “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” ทั้งที่มีข้อมูลความเสี่ยงอยู่แล้วว่าจะเกิดภัยน้ำท่วมที่ภาคใต้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมาที่ศูนย์ส่วนหน้าไม่ได้ถูกตั้งขึ้น อาจมีความเกี่ยวข้องหรือไม่กับการมีอีกหนึ่งกลไกที่เป็นศูนย์จัดการภัยพิบัติที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาและผ่านการบริหารจัดการโดยฝ่ายการเมืองโดยตรง
แต่สาระที่สำคัญจริง ๆ คือ แม้ว่า “ศูนย์นายกฯ” จะบริหารโดยฝ่ายการเมือง แต่ในคณะกรรมการของ “ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ” ก็มีทั้งเลขาธิการ สทนช. เป็นกรรมการ นอกจากนี้ยังมีทั้ง อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ เลขาธิการสสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เป็นฝ่ายเลขานุการร่วมกัน
คำถามสำคัญ คือว่า ถ้า “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” ที่เคยตั้งผ่านกลไกของ สทนช. ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด กังวลว่าจะข้ามหน้าข้ามตาศูนย์นายกฯหรือไม่ก็ตาม ... แต่มีข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ ในคณะกรรมการของศูนย์นายกฯ ก็เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะฝ่ายเลขานุการที่หน่วยงานหนึ่งถือคลังข้อมูลน้ำ อีกหน่วยงานหนึ่งถืออำนาจในการป้องกันและบรรเทาภัยให้ประชาชน ... ไม่มีใครคิดจะช่วยสะกิดฝ่ายการเมืองไว้ตั้งแต่ 4-5 วันก่อนนี้บ้างเลยหรือว่า ...
“ตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าเถอะนะ ... คนภาคใต้กำลังจะถูกน้ำท่วม”
รัฐบาลรู้หรือไม่รู้ ... ก็คิดดูว่า นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เพิ่งเปลี่ยนหมายงานไปที่หาดใหญ่อย่างเร่งด่วนในช่วงบ่ายวันที่ 22 พฤศจิกายน ... ทั้งที่จริง ๆ แล้ว นายกรัฐมนตรีมีโอกาสที่จะประเมินได้ก่อนหน้านี้หลายวันเลยว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น


