นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์โรคระบบหายใจ เตือนภัยอันตรายจาก “มูลนกพิราบ” ซึ่งเป็นที่สะสมของ เชื้อรา และเป็นต้นเหตุเยื่อหุ้มสมองอักเสบ พร้อมแนะวิธีทำความสะอาดที่ถูกต้อง ห้าม "กวาดแห้ง" เด็ดขาด โดยฉีดน้ำผสมน้ำยาฆ่าเชื้อให้ชุ่ม เพื่อให้มูลนกจับตัวเป็นก้อน ไม่ฟุ้ง แล้วค่อยๆ เช็ดหรือล้างออก
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. เฟซบุ๊ก "หมอจิรรุจน์" หรือ นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์โรคระบบหายใจ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์เตือนภัยอันตรายจาก “นกพิราบ” โดยระบุว่า "พ่อแม่ ควรทราบ ราที่มาจากนกพิราบ ประชาชนทั่วไป ก็ควรรู้ เลยครับ! "มูล (อุจจาระ)" ของนกพิราบ เป็นที่สะสมของ รา ตัวหนึ่งชื่อว่า Cryptococcus neoformans จัดเป็น "เชื้อรา" (Fungus) แต่ถ้าจะระบุให้ละเอียดและเข้าใจง่ายขึ้น มันจัดอยู่ในกลุ่มของ "ยีสต์" (Yeast) ครับ
เชื้อนี้ สามารถทำให้เกิด ปอดติดเชื้อ และลุกลามจนเป็น "เยื่อหุ้มสมองอักเสบ" ได้ จริงอยู่ที่ว่า ในตำราแพทย์ เขียนว่า เชื้อนี้จะก่อโรคในคนที่ภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น คนไข้มะเร็ง HIV หรือ ได้ยากดภูมิคุ้มกัน
แต่ เด็ก และ คนภูมิคุ้มกันปกติ ก็สามารถติดเชื้อได้ !! ถ้าหากเจอเชื้อพวกนี้ "ในปริมาณมาก" แล้วถามว่า ที่ไหน ที่มีเชื้อพวกนี้มากๆ
1. รังนกพิราบเก่าๆ บริเวณที่มีการสะสมของมูลนกเก่าๆ แห้งๆ เป็นเวลานานจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อราจำนวนมหาศาล !!! (ตามภาพ)
2. มูลนกและดินที่ปนเปื้อน เชื้อราชนิดนี้เจริญเติบโตได้ดีมากในมูลนกพิราบ เพราะในมูลนกมีสารที่เรียกว่า ครีเอตินีน (Creatinine) สูง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่ช่วยให้เชื้อราเจริญเติบโต ตรงไหนที่มีนกพิราบเยอะๆ เป็นฝูงๆ "เลี่ยงได้ ควรเลี่ยง" (ตามภาพ) ลองนึกภาพ โจว เหวินฟะ เดินในหนัง แล้วนกบินผ่านกันพรึบๆ นั่นแหละครับ... ภาพดูสวย แต่แฝงด้วย อันตราย ที่คาดไม่ถึง
กลไกการแพร่สู่คน เชื้อราจะเข้าสู่ร่างกายคนได้ก็ต่อเมื่อ "มูลนกแห้ง" และกลายเป็นฝุ่นผง เมื่อมูลนกแห้ง จะแตกตัวเป็นฝุ่น >> สปอร์ของเชื้อราจะฟุ้งกระจายไปในอากาศคนหายใจเอาสปอร์เหล่านี้เข้าไปในปอด ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ปอด และอาจลุกลามไปยังสมอง (เยื่อหุ้มสมองอักเสบ) ได้ในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ
ภาพที่เห็น พื้นสีดำๆ สีตัวกลมๆ ใสๆ คือ การตรวจน้ำในไขสันหลัง การตรวจทางห้องปฏิบัติการนี้ เรียกว่า "India Ink Preparation" หากมีเชื้อเยอะมากๆ ก็จะเห็นตัวเชื้อตามภาพ
สมัยผมเป็นนักเรียนแพทย์ ตรวจน้ำไขสันหลังจากผู้ป่วย HIV ที่มาด้วยปวดหัวรุนแรง มักพบเชื้อแบบนี้ ทุกราย (ยุคนั้น ยาต้านไวรัสยังไม่ทั่วถึงครับ) การป้องกันการติดเชื้อ Cryptococcus neoformans ในเด็กเล็กเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญครับ แม้ว่าโรคนี้จะพบได้น้อยในเด็กที่แข็งแรง แต่เนื่องจากเด็กมีพฤติกรรมที่ชอบเล่นซุกซนและอยู่ใกล้พื้นดิน จึงมีโอกาสสัมผัสเชื้อได้มากกว่าผู้ใหญ่ นี่คือแนวทางปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงครับ
1. ห้าม "วิ่งไล่นก" (สำคัญที่สุด) เพราะ การที่นกบินขึ้นพร้อมกันเป็นฝูง จะเกิดแรงลมจากปีก (Flapping) พัดให้ฝุ่นจากมูลนกแห้งที่พื้น "ฟุ้งกระจาย" ขึ้นมาในระดับความสูงเดียวกับจมูกของเด็กพอดี ทำให้เด็กสูดดมสปอร์เชื้อราเข้าไปเต็มๆ หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปเดินในจุดที่มีนกพิราบชุม
2.หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง เช่น ใต้สะพานลอย, อาคารร้าง, สวนสาธารณะบริเวณที่มีขี้นกเกรอะกรัง หรือระเบียงบ้านที่มีนกมาเกาะประจำ หลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กเล่นดินในบริเวณที่มีมูลนกปนเปื้อน หากจะเล่นทรายควรเป็นบ่อทรายที่สะอาดและมีการปิดคลุมเมื่อเลิกเล่น
3. การทำความสะอาดบ้าน (หน้าที่ผู้ปกครอง) หากที่บ้าน (เช่น ระเบียงคอนโด หรือหลังคา) มีนกพิราบมาขี้ใส่ ห้าม ให้เด็กอยู่ใกล้ขณะทำความสะอาดเด็ดขาด และต้องทำถูกวิธี คือ *** ห้ามกวาดแห้งเด็ดขาด: การใช้ไม้กวาดกวาดมูลนกแห้ง จะทำให้เชื้อฟุ้งกระจาย ใช้หลักการ "Wet Cleaning" คือ ต้องฉีดน้ำหรือราดน้ำผสมน้ำยาฆ่าเชื้อ (เช่น น้ำยาฟอกขาว หรือไฮเตอร์) ให้ชุ่มก่อน เพื่อให้มูลนกจับตัวเป็นก้อน ไม่ฟุ้ง แล้วค่อยๆ เช็ดหรือล้างออก ผู้ทำความสะอาด ควรสวมหน้ากาก N95 และถุงมือยาง
สรุปสั้นๆ สำหรับพ่อแม่: "อย่าวิ่งไล่นก อย่าเล่นดินที่มีขี้ และล้างมูลนกด้วยน้ำเปียกเสมอ" ครับ"


