xs
xsm
sm
md
lg

ขยะแม่ยาวเดือด! "ย้ายเขต" ทิ้งปัญหา แอบฝังกลบข้างโรงน้ำดื่ม-ใกล้แม่น้ำกก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เทศบาลตำบลแม่ยาว อ.เมืองเชียงรายเผชิญข้อครหาความโปร่งใสในการบริหารจัดการขยะ หลังชาวบ้านและสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) ตรวจพบการขุด “บ่อขยะ” และฝังกลบขยะในยามค่ำคืนและวันหยุดราชการ ภายในเขตเทศบาล ใกล้ทั้งแม่น้ำกก (ระยะไม่ถึง 100 เมตร) และโรงผลิตน้ำดื่มชุมชน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำบริโภคของหลายหมู่บ้าน ชุมชนตั้งคำถาม “เหตุใดจึงเลือกพื้นที่เสี่ยงใกล้แหล่งน้ำ” พร้อมย้ำว่าแม้รัฐจะแก้ปัญหาขยะล้นเมือง แต่ไม่ควรแลกมาด้วยความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชน และเมื่อความผิดได้เกิดขึ้นสำเร็จแล้ว หน่วยงานรัฐต้องมีคำตอบและแนวทางแก้ไขไม่ให้เกิดซ้ำอีก

ขยะล้นจาก “ย้ายเขตปกครอง” สู่บ่อฝังกลบกลางดึก

วิกฤตขยะในพื้นที่ชุมชนบ้านดอยและหมู่บ้านลลิตา 5 ต.แม่ยาวเริ่มปะทุอย่างหนักตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม2568 เป็นต้นมา หลังจากพื้นที่ดังกล่าวถูก “ย้ายเขตการปกครอง” จากเทศบาลนครเชียงราย ไปอยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลแม่ยาว แต่ไม่มีการชี้แจงให้ชัดเจนต่อชาวบ้านว่า “ใคร” คือหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบจัดเก็บขยะ

ตั้งแต่การย้ายเขตเริ่มมีผลชาวบ้านระบุว่าไม่มีหน่วยงานใดเข้าเก็บขยะอย่างต่อเนื่อง ขยะจึงเริ่มสะสมในซอย 4, 5, 7 รวมถึงหมู่บ้านลลิตา 5 ส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงตลอดทั้งวันทั้งคืน มีหนู แมลงวัน และสุนัขจรจัดเพิ่มจำนวนมากขึ้น บางครอบครัวต้องปิดบ้านทั้งวัน ขณะที่เด็กเล็กและผู้สูงอายุเริ่มมีอาการไอ แสบคอ และหายใจลำบาก

เมื่อไม่สามารถหาทางออกได้ คณะกรรมการชุมชนทำหนังสือร้องเรียนถึงศูนย์ดำรงธรรมและเข้าประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้งแต่ยังไม่ได้คำตอบชัดเจนเรื่อง “ผู้รับผิดชอบการเก็บขยะ”จนชาวบ้านต้องออกแถลงผ่านสื่อท้องถิ่นเชียงราย ขอให้ช่วยตรวจสอบและเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง

จับได้ “บ่อขยะ” หลังโรงน้ำดื่ม-ใกล้แม่น้ำกกไม่ถึง 100 เมตร

ต่อมาชาวบ้านในพื้นที่ได้รับแจ้งเบาะแสว่า มีรถแบ็กโฮเข้ามาขุดหลุมและมีรถบรรทุกนำขยะเข้ามาทิ้งและฝังกลบภายในพื้นที่ของเทศบาลตำบลแม่ยาวบริเวณด้านหลังโรงน้ำดื่มแม่ยาวซึ่งเป็นโรงผลิตน้ำดื่มสะอาดให้หลายหมู่บ้านในตำบล
และอยู่ในแนวพื้นที่ต้นน้ำก่อนเข้าเขตตัวเมืองเชียงราย ชาวบ้านและสมาชิกสภาเทศบาลเขต 1-2 จึงเข้าพื้นที่ตรวจสอบ พบว่า

  • มีหลุมขนาดใหญ่ซึ่งมีส่วนหนึ่งถูกฝังกลบ
    “ปิดหลุมสำเร็จ” ไปแล้ว

  • รอบหลุมยังมีขยะตกค้างจำนวนมาก
    ทั้งถุงดำ ขยะเปียก ขวด และเศษวัสดุต่างๆ

  • จุดดังกล่าวอยู่ใกล้โรงน้ำดื่มและใกล้แหล่งน้ำ-บ่อบาดาลที่เทศบาลใช้บริการประชาชน ขณะที่ตามหลักสุขาภิบาล “บ่อกำจัดขยะห้ามตั้งใกล้แหล่งน้ำดื่ม/น้ำบาดาลในระยะ
    700 เมตร” ซึ่งจากการมองด้วยสายตา ระยะที่ฝังกลบไม่น่าจะถึงเกณฑ์ดังกล่าว

เมื่อชาวบ้านตั้งข้อสงสัยและโพสต์ภาพลงในกลุ่มสื่อท้องถิ่นจึงเกิดคำถามสำคัญตามมาว่า “ทำไมต้องเลือกฝังกลบขยะใกล้แหล่งน้ำทั้งที่แม่น้ำกกอยู่ไม่ถึง 100 เมตรและยังเป็นต้นน้ำก่อนเข้าเมืองเชียงราย รวมถึงอยู่ติดกับโรงผลิตน้ำดื่มของชุมชน -
ถ้าชาวบ้านไม่มาพบเรื่องนี้ ขยะที่ฝังอยู่ในดินจะปนเปื้อนลงน้ำไปไกลแค่ไหน ใครจะรับผิดชอบ”

เสียงจากผู้ประกอบการน้ำดื่ม : หยุดผลิตชั่วคราว-กังวลความเชื่อมั่น

ผู้จัดการโรงน้ำดื่มแม่ยาวให้ข้อมูลแก่ทีมข่าวว่า ตนทราบเรื่องหลังวันหยุดเมื่อกลับมาทำงานในวันจันทร์และพบกองขยะอยู่ใกล้แนวโรงงาน จึงย้อนตรวจกล้องวงจรปิดพบรถแบ็กโฮเข้าพื้นที่ช่วงวันเสาร์ กลิ่นขยะที่รุนแรงและตำแหน่งที่อยู่ใกล้โรงน้ำดื่มทำให้โรงงานตัดสินใจ “หยุดผลิตชั่วคราว” เพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดความกังวล เจ้าหน้าที่โรงน้ำดื่มระบุว่า

“เรากลัวว่าถึงแม้วันนี้น้ำยังไม่ปนเปื้อนแต่ถ้าปล่อยไว้นานน้ำชะขยะก็ต้องลงดินและอาจกระทบบ่อบาดาลในระยะยาว
เราจึงต้องหยุดผลิตไว้ก่อน และเตรียมนำตัวอย่างน้ำไปตรวจแล็บให้ชัดเจนเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าน้ำดื่มจากโรงของเรายังปลอดภัย” พร้อมกันนั้น ผู้ประกอบการขอให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องช่วย “สื่อสารเชิงบวกบนฐานข้อเท็จจริง” เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำดื่มของชุมชนหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่กระทบภาพลักษณ์โดยที่โรงน้ำดื่มเองไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจนำขยะมาฝังใกล้แหล่งน้ำ

ชาวบ้าน-ส.ท.ตั้งคำถาม “ใครสั่งให้แอบฝัง” ทำไมต้องทำกลางคืน

น.ส.ณัฐธยาน์ ตันติอัศวเวชกุลสมาชิกสภาเทศบาลเขต 1 พร้อมชาวบ้าน ระบุว่า ก่อนหน้าจะลงพื้นที่ตรวจสอบไม่มีการแจ้งจากฝ่ายบริหารเทศบาลหรือการทำประชาคมในหมู่บ้านให้ทราบว่าจะมีการนำขยะมาฝังกลบในเขตเทศบาล เมื่อเข้าตรวจสอบพบทั้งหลุมที่ถูกฝังกลบไปแล้ว และกองขยะที่ยังโผล่พ้นดินทำให้เกิดข้อสังเกตหลายประการ ได้แก่

  • การนำรถแบ็กโฮเข้ามาขุดหลุมและฝังกลบในยามค่ำคืนและวันหยุดราชการ โดยที่ “ส.ท.ไม่ทราบเรื่อง ไม่มีการอนุมัติผ่านสภา”

  • พนักงานเทศบาลที่เข้าเวรอยู่ในพื้นที่
    กลับไม่มีใครออกมาให้ข้อมูลชัดเจนว่า ใครเป็นผู้สั่งการ

  • ชาวบ้านตั้งคำถามว่า
    หากเป็นพื้นที่ของเทศบาลแม่ยาว “ถ้าไม่มีคำสั่งจากผู้บริหาร
    ใครจะกล้าเข้ามาขุดและฝังกลบในที่ราชการ”

น.ส.ณัฐธยาน์ระบุในเชิงตั้งคำถามว่า “วันนี้ถ้าผู้ใหญ่ในตำบล ระดับนายกปลัด ประธานสภา ทำอะไรกันหมกเม็ด ทำอะไรกันสั่วๆ แบบนี้แล้วชาวบ้านตำบลแม่ยาวจะอยู่กันอย่างไร จะให้ความเชื่อมั่นได้อย่างไร เราติเพื่อก่อ ไม่ได้เกลียดชังใคร แต่เมื่อประชาชนร้องเรียน ส.ท.ก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบแทนชาวบ้าน”

เธอยังชี้ว่า การกระทำครั้งนี้ “ความผิดสำเร็จแล้ว” ตั้งแต่มีการนำขยะเข้ามาในเขตเทศบาลและฝังกลบโดยไม่มีการขออนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขุดบ่อขยะ อีกทั้งยังตั้งอยู่ใกล้โรงน้ำดื่มและบ่อบาดาลซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามตามหลักสุขาภิบาล

ฝ่ายเทศบาลชี้แจง : แก้ปัญหาขยะบ้านดอย-อ้างเป็นมาตรการ “ชั่วคราว”

ด้านผู้บริหารเทศบาลตำบลแม่ยาว นายกเทศมนตรี ชี้แจงผ่านข้อความตอบกลับไปยังชาวบ้านและ ส.ท.ว่า ระหว่างเกิดเหตุ
ตนเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ จ.ลำปาง และได้รับรายงานจากทีมบริหารภายหลังโดยระบุใจความว่า

  • ขยะที่นำมาพักและฝังกลบเป็น
    “ขยะบ้านดอย” ซึ่งเดิมเข้าใจว่าเทศบาลนครเชียงรายจะมาเก็บ
    แต่ภายหลังไม่ได้มาเก็บตามนัด

  • เทศบาลแม่ยาวจึง
    “หาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า”
    ด้วยการฝังกลบเพื่อลดกลิ่นระหว่างรอผู้รับเหมาที่รับปากว่าจะมาเก็บขน
    แต่เกิดการเลื่อนนัดหลายครั้ง

  • เมื่อเกิดกระแสร้องเรียน
    นายกเทศมนตรีได้มอบหมายให้ทีมงานเร่งประสานนำรถแบ็กโฮมาขุดขยะออกจากหลุม และขนออกจากพื้นที่ โดยมีรายงานว่ามีรถ 6 ล้อขนออกไปแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เที่ยว แต่ยังมีบางส่วนตกค้าง

ขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลตำบลแม่ยาวให้สัมภาษณ์ว่า เทศบาลแบ่งการแก้ปัญหาขยะออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  1. ระยะเฉพาะหน้า - จ้างเอกชนมาเก็บขยะที่ตกค้างในพื้นที่ชุมชนบ้านดอย
    ชุมชนทวีรักษ์ และพื้นที่ปัญหาต่างๆ
    โดยได้รับความร่วมมือจากเทศบาลนครเชียงราย

  2. ระยะยาว - ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย เพื่อบูรณาการจัดการขยะร่วมกันอย่างเป็นระบบ

  3. ระยะชุมชนสัมพันธ์ -
    ลงพื้นที่ให้ความรู้เรื่องการคัดแยกขยะ เพื่อหวังลดปริมาณขยะใหม่ตั้งแต่ต้นทาง

สำหรับการขุดหลุมและฝังกลบ ผอ.กองสาธารณสุขยืนยันว่า

“ไม่ได้จะเอาไว้ทิ้งตรงนี้ตลอดเวลา ไม่ใช่ถาวร เป็นการจัดการแสดงเพียงแค่ชั่วคราวเพื่อลดกลิ่น แต่เมื่อมีข้อร้องเรียนเทศบาลก็เก็บขนออก และใช้น้ำยาพ่นดับกลิ่น รวมถึงเตรียมดำเนินการฆ่าเชื้อและฟื้นฟูสภาพพื้นที่” อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงดังกล่าวยังไม่สามารถลบความกังวลของชาวบ้านได้ โดยเฉพาะประเด็น “การเลือกพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ” และ “การดำเนินการโดยไม่ผ่านการประชาคมหรือเปิดเผยต่อสาธารณะ”

มุมกฎหมาย-สิ่งแวดล้อม : ฝังกลบใกล้แหล่งน้ำ เสี่ยงผิดหลักสุขาภิบาล

จากรายงานการวิเคราะห์ทางกฎหมายและสิ่งแวดล้อมที่ชาวบ้านนำมาศึกษาประกอบการเคลื่อนไหวระบุว่า การจัดการมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกสถานที่ฝังกลบอย่างเคร่งครัดสาระสำคัญ ได้แก่

  • สถานที่ฝังกลบต้องไม้อยู่ใกล้แหล่งน้ำดื่ม แหล่งน้ำบาดาล หรือพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม เพื่อป้องกันน้ำชะขยะ (leachate) ปนเปื้อนลงสู่สิ่งแวดล้อม

  • ต้องมีการออกแบบบ่อฝังกลบและระบบรองรับตามหลักวิศวกรรมสุขาภิบาล รวมถึงบ่อบำบัดน้ำเสียและระบบติดตามคุณภาพน้ำผิวดิน-น้ำใต้ดินอย่างสม่ำเสมอ

  • การดำเนินการฝังกลบขยะที่มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างกว้างขวาง
    ต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

การนำขยะมาฝังกลบ “อย่างเงียบๆ” ใกล้แหล่งน้ำดื่มจึงอาจเข้าข่ายทั้งการละเมิดหลักสุขาภิบาลและการขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนซึ่งในเชิงกฎหมายอาจนำไปสู่การตรวจสอบทั้งในมิติอาญา วินัย และปกครองหากมีการร้องเรียนต่อหน่วยงานกำกับดูแล เช่น กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงสาธารณสุข ป.ป.ช. หรือศาลปกครอง

คำถามกลางของชุมชน : เมื่อรัฐทำผิดสำเร็จแล้ว จะแก้ไขอย่างไรไม่ให้ชาวบ้านรับเคราะห์?

แกนกลางของข้อเรียกร้องจากชาวบ้านแม่ยาวในครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่เพียงการ “หาตัวผู้กระทำผิด” แต่คือคำถามที่ลึกกว่านั้นว่า “ในเมื่อรัฐหรือหน่วยงานท้องถิ่นได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่เสี่ยงผิดหลักสุขาภิบาลไปเรียบร้อยแล้ว-จะมีวิธีแก้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ และไม่ปล่อยให้ชาวบ้านเป็นฝ่ายรับเคราะห์จากมลพิษและสารพิษในอนาคต” ชาวบ้านจำนวนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า หากไม่มีใครจับได้ และเรื่องไม่แดงขึ้นมา การฝังกลบขยะในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำอาจเงียบหายไปตลอดกาล ขณะที่น้ำชะขยะอาจค่อยๆ ซึมลงสู่ดินและแหล่งน้ำใต้ดินโดยไม่มีใครรู้ เสียงจากชุมชนจึงเสนอแนวทางที่ต้องการเห็นอย่างน้อย
4 ประการ คือ

  1. การตรวจสอบโดยหน่วยงานภายนอกอย่างอิสระ

    ให้นายอำเภอเมืองเชียงราย ผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้อำนาจ การใช้งบประมาณ และการเลือกพื้นที่ฝังกลบในเขตหวงห้ามอย่างโปร่งใส

  2. ตรวจคุณภาพน้ำ-เปิดผลต่อสาธารณะ

    ให้หน่วยงานสาธารณสุข กรมควบคุมมลพิษ และผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกันเก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำกก บ่อบาดาล และแหล่งน้ำที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบการปนเปื้อน และประกาศผลอย่างเปิดเผยต่อประชาชนในพื้นที่

  3. ตั้งคณะกรรมการร่วมชุมชน-ท้องถิ่น

    จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างเทศบาลตำบลแม่ยาว เทศบาลนครเชียงราย (ตาม MOU) สมาชิกสภาเทศบาล ตัวแทนชาวบ้าน และผู้ประกอบการโรงน้ำดื่ม เพื่อร่วมกันกำกับการจัดการขยะ การขนย้าย และการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ให้ตรวจสอบได้

  4. กำหนดมาตรการไม่ให้เกิดซ้ำ-
    รับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม


    ให้หน่วยงานรัฐทบทวนกระบวนการตัดสินใจภายในอย่างจริงจัง
    วางระบบกันซ้ำ และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจโดยมิชอบหรือฝ่าฝืนกฎหมายก็ต้องเข้าสู่กระบวนการรับผิดทั้งทางวินัยและกฎหมาย
    เพื่อยืนยันว่าความปลอดภัยของประชาชนอยู่เหนือความสะดวกทางการบริหาร

จากปัญหาหนึ่งชุมชน สู่คำถามใหญ่เรื่องการจัดการขยะของรัฐ

กรณีตำบลแม่ยาวเกิดขึ้นท่ามกลางบริบทที่จังหวัดเชียงรายเคยมีปัญหาขยะล้นเมืองในพื้นที่อื่นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีเทศบาลตำบลบ้านดู่ที่เคยนำรถขยะขึ้นศาลากลางจังหวัดเพื่อร้องเรียนปัญหาที่ทิ้งขยะหรือการเคลื่อนไหวของชาวบ้านกรณี “ย้ายเขตการปกครอง” ซึ่งส่งผลต่อสิทธิการรับบริการสาธารณะ

สำหรับชาวบ้านแม่ยาว วันนี้สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่การเผชิญหน้ากับรัฐ แต่ต้องการ“พื้นที่ตรงกลางที่ปลอดภัย” ระหว่างความจำเป็นในการจัดการขยะของเทศบาลกับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการหายใจอากาศที่สะอาด และดื่มน้ำที่ปลอดภัย

ตัวแทนชาวบ้านรายหนึ่งกล่าวทิ้งท้ายว่า “ความหวังดีและความรักประชาชนทุกคนเข้าใจว่ารัฐก็มีแต่คำถามคือจะทำอย่างไรให้เจอกันตรงกลางแบบที่คนในพื้นที่ปลอดภัยจริงๆ ไม่ใช่ให้ชาวบ้านเป็นฝ่ายรับความเสี่ยงอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อความผิดมันเกิดขึ้นแล้วรัฐจะรับผิดและแก้ไขอย่างไร นั่นคือคำตอบที่พวกเราอยากได้ยินอย่างชัดเจน”












กำลังโหลดความคิดเห็น