xs
xsm
sm
md
lg

อัปเดต ร่างกฎหมายเปิดข้อมูลมลพิษ “PRTR” ผ่านชั้น กมธ.อย่างไร ... กับ ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รายงานพิเศษ

“มลพิษจากอุตสาหกรรม” กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่ลุกลามบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีชุมชนเกษตรกรรมจำนวนมากกำลังได้รับผลกระทบจากขบวนการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม แม่น้ำและแหล่งน้ำหลายสายตรวจพบการปนเปื้อนสารโลหะหนักหลายชนิด บางพื้นที่ส่งผลกระทบไปถึงแหล่งน้ำใต้ดิน และที่ได้รับผลกระทบอย่างถ้วนหน้ากัน คือ การมลพิษทางอากาศที่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ

ในวันที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกนายอนุทิน ชาญวีระกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงเย็น เช้าวันเดียวกันนั้น สภาฯยังมีมติรับร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ หรือที่เรียกกันว่า กฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) ซึ่งเป็นกฎหมายที่เสนอโดยภาคประชาชน เพื่อแก้ปัญหาการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมด้วยการบังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องรายงานข้อมูลการเกิดกากอุตสาหกรรม การปล่อย และการเคลื่อนย้ายกากอุตสาหกรรมทั้งหมดต่อกรมควบคุมมลพิษ และต้องเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ให้สาธารณชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมตรวจสอบได้

แต่ด้วยสถานการณ์ที่สภาผู้แทนราษฎรจะมีอายุการทำงานอยู่ไม่เกิน 4 เดือน เพราะนายกรัฐมนตรีอนุทิน จะยุบสภาตามที่ประกาศไว้ ทำให้ร่างกฎหมาย PRTR จำเป็นต้องเร่งพิจารณาให้ผ่านขั้นตอนใน 2 วาระแรกของสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อไปพิจารณาในวาระที่ 3 ที่วุฒิสภาได้ โดยไม่ต้องกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่หากมีการยุบสภา

ข้อมูลล่าสุดตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 พบว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญที่ตั้งขึ้นมาเพื่อพิจารณากฎหมายนี้ได้หารือจนได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว เตรียมเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบหรือเสนอแก้ตรงไหนในวาระที่ 2 ... เนื้อหาสาระของร่างกฎหมาย PRTR ที่ผ่านชั้นกรรมาธิการในวาระที่ 1 เป็นอย่างไรบ้าง ... เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ มีคำอธิบาย






****

“จากข้อสรุปในชั้นกรรมาธิการ ถ้ากฎหมาย PRTR ผ่าน อย่างน้อยประเทศไทยจะมีระบบฐานข้อมูลมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การเกิด การครอบครอง การปล่อย และการเคลื่อนย้าย ซึ่งจะต้องเปิดเผยในเว็บไซต์ที่กรมควบคุมมลพิษดูแล เป็นการแสดงข้อมูลรายปี ... และหากใครไม่รายงานข้อมูลนี้ หรือรายงานข้อมูลเท็จก็จะมีโทษทั้งทางอาญาและทางปกครอง”

ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ อธิบายหลักการใหญ่ของร่างกฎหมาย PRTR ที่เพิ่งผ่านการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการวาระที่ 1 ไปแล้ว อยู่ระหว่างรอเข้าสู่การลงมติของ ส.ส.ในวาระที่ 2 เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2568

*****
โรงงานต้องเปิดข้อมูลไปที่หน่วยงานใน ก.อุตฯ ก่อนส่งไปเผยแพร่ที่กรมควบคุมมลพิษ

เพ็ญโฉม ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการกลั่นกรองร่างกฎหมาย PRTR คนที่ 1 เปิดเผยว่า มีบางประเด็นที่ต้องผ่านการแลกเปลี่ยนกันค่อนข้างมากระหว่างข้อเสนอของภาคประชาชนกับตัวแทนหน่วยงานของรัฐในชั้นกรรมาธิการ เพื่อให้กฎหมายสามารถนำไปบังคับใช้ได้จริง โดยเฉพาะประเด็นที่จากเดิมจะต้องกำหนดให้มีการรายงานข้อมูลการปล่อยจากแหล่งกำเนิดมลพิษไปที่หน่วยงานที่ดูแลกฎหมายนี้โดยตรง คือ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ต้องปรับเปลี่ยนไปเป็นการรายงานผ่านกลไกของกระทรวงอุตสาหกรรมก่อน

“ประเด็นนี้แลกเปลี่ยนกันยาวมาก เนื่องจาก คพ. มีข้อสังเกตว่า มีโรงงานที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษจากภาคการผลิตทั่วประเทศมากถึงกว่า 7 หมื่นแห่ง ถ้าทั้ง 7 หมื่นกว่าโรงงานส่งข้อมูลตรงมาที่ คพ.ทั้งหมด ก็จะกลายเป็นคอขวดในการจัดทำข้อมูลเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อ และยังอาจจะมีปัญหาว่า คพ.ไม่ใช่หน่วยงานที่กำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมโดยตรง จะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลส่งมาถูกต้องหรือเป็นข้อมูลเท็จ ... ที่ประชุมจึงเห็นพ้องกันว่า ให้เปลี่ยนไปใช้กลไกตามหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลโรงงาน คือ ให้โรงงานที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษรายงานข้อมูลผ่านกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเช่นเดิม แต่กรมโรงงานฯ และการนิคมฯ ต้องรายงานตรวจสอบความถูกต้องและส่งต่อมาให้ คพ.เป็นผู้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์”

“สาเหตุที่กรรมาธิการจากภาคประชาชนยอมให้ปรับเปลี่ยนในประเด็นนี้ เพราะเห็นตรงกันว่า จะเป็นแนวทางที่ทำให้กฎหมายสามารถบังคับใช้ได้จริง เมื่อเป็นแบบนี้ความรับผิดชอบก็จะกลับไปอยู่ที่กรมโรงงานฯ และการนิคมฯ ซึ่งหากพบว่ามีการรายงานข้อมูลเท็จ ต้นทางก็จะมีโทษทั้งทางปกครองและทางอาญาถึงขั้นจำคุก หรือหากมีความพยายามร่วมกันรายงานข้อมูลเท็จ หากถูกตรวจพบในภายหลัง หรือมีผลกระทบจากการลักลอบทิ้งเปิดเผยออกมา ก็จะยิ่งมีโทษสูง” ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ ย้ำ

อีกประเด็นที่มีการปรับแก้ให้ยังไม่ต้องเปิดเผยสู่สาธารณะ คือ “ปริมาณครอบครองมลพิษ” เพราะมีข้อโต้แย้งว่าเป็นข้อมูลทางการค้า ซึ่ง ผอ.มูนิธิบูรณะนิเวศ ยอมรับว่า แม้แต่ในอเมริกาหรือยุโรปที่เคยมีข้อกำหนดให้เปิดเผยปริมาณการครอบครองมลพิษ ก็ถอนข้อกำหนดนี้ออกไปแล้ว แต่แม้จะไม่ต้องเผยแพร่ ก็ยังจะต้องรายงานข้อมูลส่วนนี้จากแหล่งกำเนิดมลพิษไปที่หน่วยงานกำกับดูแลเพื่อให้เข้าไปอยู่ในระบบฐานข้อมูลอยู่ดี






*****

ไม่รายงาน ปกปิด รายงานข้อมูลมลพิษเป็นเท็จ ปรับหนัก มีโทษจำคุก

สำหรับบทกำหนดโทษจากร่างกฎหมาย PRTR มีทั้งโทษที่จะเกิดขึ้นจากทั้งการปกปิดข้อมูล การไม่รายงานข้อมูล การรายงานข้อมูลเท็จ เช่น คดีอาญา จะมาจากรายงานเท็จ การจงใจปกปิดข้อเท็จจริง การฝ่าฝืนคำสั่งไม่ไปชี้แจงตามที่ถูกเรียก รวมทั้งการไม่รายงานข้อมูล ... ส่วนคดีทางปกครอง จากเดิมที่ใช้โทษทางปกครองซึ่งต้องส่งฟ้องดำเนินคดีซึ่งใช้เวลานานและเปิดช่องให้อุทธรณ์คำสั่งได้ จึงเปลี่ยนเป็นขั้นตอนที่เรียกว่า การปรับเป็นพินัย ซึ่งจะให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถลงโทษปรับได้เลยตลอดระยะเวลาที่มีการฝ่านฝืนคำสั่งทางปกครอง เช่น การไม่รายงานข้อมูลมลพิษตามกฎหมาย

“เรื่องบทลงโทษ เป็นประเด็นที่สัดส่วนของภาคประชาชนยืนยันว่า ไม่ยอมให้รับลดให้เบาไปกว่านี้อย่างเด็ดขาด ต้องมีทั้งโทษปรับ โทษจำคุก ซึ่งเมื่อคุยกันแล้ว ทางหน่วยราชการก็ยอมตามข้อเสนอเดิมของภาคประชาชน” เพ็ญโฉม อธิบายเพิ่ม

*****

เผยแพร่ข้อมูลเคลื่อนย้ายสารมลพิษหรือไม่ ?? ให้อำนาจคณะกรรมการ PRTR พิจารณา

อีกประเด็นในร่างกฎหมาย PRTR ที่แลกเปลี่ยนกันมากในคณะกรรมาธิการ คือ ประเด็นที่กรรมาธิการจากภาคประชาชน ต้องการให้รายงาน “ปริมาณกากอุตสาหกรรมที่มีการเคลื่อนย้าย” ด้วย แต่ทาง คพ.ตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมาย PRTR มีหลักการให้ต้องรายงานในลักษณะ “ชนิดของสาร” ซึ่งในกากอุตสาหกรรมแต่ละตัวก็อาจมีสารพิษปะปนกันอยู่หลายชนิด จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะได้ทันที ดังนั้นจึงมีข้อสรุปร่วมกันว่า ให้โรงงานรายงานข้อมูลให้หน่วยงานกำกับดูแลตามปกติ แต่จะเผยแพร่ข้อมูลใดออกสู่สาธารณะหรือไม่ ให้อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการข้อมูลการรายงานและการปลดปล่อยสารมลพิษ 15 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องระดับปลัดกระทรวง 5 คน เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ผู้แทนองค์กรภาคประชาชนด้านสิ่งแวดล้อม 4 คน ผู้เชี่ยวชาญ 4 คน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน และมีอธิบดีกรมควบคุมเป็นเลขานุการ

“การที่ยังไม่ต้องเผยแพร่ข้อมูลการเคลื่อนย้ายมลพิษ อาจจะถูกมองว่า ไม่ช่วยแก้ปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม แต่สิ่งที่จะไม่เหมือนเดิม คือ อย่างน้อยเราจะรู้ว่า โรงงานแห่งนี้ทำให้เกิดกากอุตสาหกรรมที่เป็น “ของเสียอันตราย” มากน้อยแค่ไหน เช่น มีตะกั่ว สารหนู อยู่ในกากแต่ละชนิด ซึ่งก็ต้องไปแยกออกชนิดของมลพิษออกมาจากกากอุตสาหกรรมอันตราย ต่างจากเดิมที่เราจะเห็นเพียงแค่ว่า มีกากอุตสาหกรรมอะไรถูกขนมา เช่น กรด น้ำมัน แต่เราไม่รู้ว่าข้างในมีสารพิษอะไรบ้าง ... ถ้ามีกฎหมาย PRTR เราจะรู้ข้อมูลเชิงลึกตรงนี้มากขึ้น”

“ต้องยอมรับว่า แม้จะมีกฎหมาย PRTR เราก็ยังไม่สามารถรู้ข้อมูลการเคลื่อนย้ายสารมลพิษเป็นรายวันแบบ Realtime ได้ แต่สิ่งที่ PRTR จะทำให้เกิดขึ้น คือ การบังคับให้ต้องนำข้อมูลการเคลื่อนย้ายทั้งหมดขึ้นไปเผยแพร่ทางเว็บไซต์แบบรายปี และต้องรายงานว่าในแต่ละโรงงานหรือในแต่ละนิคมอุตสาหกรรมทำให้เกิดกากอุตสาหกรรมปีละกี่ตัน และในนั้นมี “ของเสียอันตราย” กี่ชนิด ปริมาณเท่าไหร่ ดังนั้นแม้จะไม่เห็นว่าเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งในแต่ละครั้ง แต่ PRTR จะช่วยให้เราเห็นเป็นภาพรวมในรอบปีว่า โรงงานแต่ละแห่ง รับมาปริมาณเท่าไหร่ มีอยู่เท่าไหร่ ต่างจากเดิมที่เราไม่สามารถเข้าไปดูได้เลย” เพ็ญโฉม ยืนยันว่า PRTR จะมีประโยชน์ต่อการป้องกันการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในระยะยาวอย่างแน่นอน

หากร่างกฎหมาย PRTR ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาและเริ่มมีผลบังคับใช้ กฎหมายระบุให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กรมควบคุมมลพิษ ต้องพร้อมเผยแพร่ข้อมูลมลพิษผ่านเว็บไซต์ตามที่กำหนดภายใน 2 ปี ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ตั้งแต่ชื่อโรงงาน พิกัดที่ตั้ง ประเภทการประกอบกิจการ ปริมาณการปลดปล่อยสู่ดิน น้ำ อากาศ ซึ่งจะมาจากการระบุว่าในกากอุตสาหกรรมที่ครอบครองหรือปลดปล่อยออกมามีสารอะไรเป็นองค์ประกอบบ้าง เช่น ไดออกซิน สารหนู ตะกั่ว จึงจะสามารถตั้งสมมติฐานได้ว่าสารชนิดใดมีโอกาสจะลงสู่ดิน แหล่งน้ำ หรือสารชนิดใดจอาจะถูกปล่อยไปในอากาศ ซึ่งในเบื้องต้นมีชนิดของสารพิษประมาณ 8-9 รายการที่จะต้องถูกเปิดเผย

“ถ้าเป็นไปตามกลไกที่ถูกต้อง กฎหมาย PRTR จะช่วยให้ประเทศไทยมีระบบฐานข้อมูลตั้งแต่การเกิด การครอบครอง การปลดปล่อย และการเคลื่อนย้ายสารมลพิษเป็นถังข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้กลไกต่าง ๆ ของรัฐต้องปรับเปลี่ยนไปตามฐานข้อมูลนี้ ผลจากการมีกฎหมาย PRTR บังคับใช้ในหลายๆประเทศพบว่า ภาคเอกชนพอใจมากขึ้น เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายนอกระบบต่าง ๆ ไปได้มาก” ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ทิ้งท้ายถึงสิ่งที่ผู้ประกอบการจะได้ประโยชน์หากประเทศไทยมีกฎหมายฉบับนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น