พรรคประชาชนเริ่มโหมแคมเปญ “มีเราไม่มีเทา” หวังเก็บคะแนนสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่เอาเข้าจริงก็แค่หาเสียงกระแสความไม่พอใจต่อปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ ขณะเดียวกันพรรคสีส้มเองก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการสีเทาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ตั๋วปารีส”, เอาแก๊งรีดไถมาเป็นบอดี้การ์ดพิธา, ผู้ช่วย ส.ส.เชื่อมโยงกับ “อั้ม ภูมิพัฒน์” เจ้าของอาณาจักรเว็บเถื่อนที่ถูกศาลสั่งจำคุก 20 ปี
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึง ประเด็นที่คนในสังคมกำลังฮือฮา ไหลไปตามกระแสปั่นของ น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือ “ไอซ์” ส.ส.กทม.พรรคประชาชน กับนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาชน เรื่องการปราบสเเกมเมอร์, การใช้งบป้องกันประเทศของเหล่าทัพต่างๆ ในช่วงสงครามกับกัมพูชา ลามไปถึงการเปิดศึกกับ “กัน จอมพลัง” หรือ กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ ขุดค้นไปถึง มูลนิธิกันจอมพลังฯ การออกมาช่วยเหลือกองทัพจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเรื่องนี้นั้นมีอยู่ 2-3 ส่วน คือ
1. การชี้เป้าไปยัง กัน จอมพลัง กับ ส.ส.สงขลา พรรคกล้าธรรม ก็เพื่อกระทบชิ่งไปยัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่าพัวพันเส้นเงินสีเทาที่อาจจะเป็นทุนหาเสียงในไม่กี่วันข้างหน้านี้
2. การชำระแค้นกับ “กองทัพ และทหาร” ซึ่งเป็นเป้าหมายในการโจมตีของพรรคสีส้มมาตลอด ตั้งแต่ พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล มาจนถึงพรรคประชาชน เพราะพรรคส้มเสียรังวัดไปมากช่วงสู้รบกัน และกระแสกองทัพอยู่ในกระแสสูง
3. ตอบสนองต่อวาระทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลกของชาติตะวันตก เพื่อมาสร้างความปั่นป่วนให้กับภูมิภาคนี้ เพราะการออกมาเคลื่อนไหวตัดกำลังรบของกองทัพไทยในห้วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ก็เท่ากับการเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ให้กับ ฮุนเซนและกัมพูชาในการสร้างความคลุมเครือเรื่องเขตแดน, การปกปักรักษา MOU 2543 และ 2544 เอาไว้ เพื่อให้ต่างประเทศสามารถเข้ามาแทรกแซง และกอบโกยผลประโยชน์และทรัพยากรของประเทศไทยได้ง่ายขึ้น
ประกอบกับการที่ทำให้การเมืองในประเทศปั่นป่วนเข้าไว้ โดยไม่แตะ “นายอนุทิน” และ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ตัวเอง ยกมือให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ก็เพื่อตอบสนองวาระซ่อนเร้นของตัวเอง ก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับให้เป็นไปได้โดยลุล่วง อย่างที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของพรรคส้มตัวจริงเคยออกมาพูดแล้วว่านี่เป็นโอกาสทอง ที่มาจับมือกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อหวังเสียง ส.ว. 1 ใน 3 เพื่อเปิดประตูในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเท่านั้น
ทั้งนี้ นายสนธิยังได้ตำหนิ น.ส.ชนิตร์นันทน์ ปุณณะนิธิ พิธีกรรายการคนดังนั่งเคลียร์ ทางช่อง 8 ที่เชิญ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ไปออกรายการ กล่าวใส่ร้ายคนอื่นว่าเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์โดยไม่มีหลักฐาน และ น.ส.ชนิตร์นันทน์ไม่ถามแย้งว่ามีหลักฐานหรือไม่ หรือหากมีข้อมูลทำไมไม่ไปแจ้งความ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังจะให้คนที่ถูกกระทบกระเทือน ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ จเรตำรวจแห่งชาติ อดีตผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ หรือพล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รองผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ ไปแจ้งความว่าร่วมกันหมิ่นประมาท โดยที่ น.ส.ชนิตร์นันทน์จะต้องตกเป็นจำเลยด้วย
ส่วน น.ส.รักชนก ศรีนอก และ นายรังสิมันต์ โรม ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็น ส.ส.มีอำนาจหน้าที่ โดยเฉพาะนายรังสิมันต์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แต่กลับทำได้แค่พูดผ่านสื่อลอยๆ ว่ามีนักการเมือง 7 คน อดีตนายกรัฐมนตรี 5-6 คนเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ หรืออาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งประเด็นนี้มีความสำคัญมาก ถ้ามีข้อมูลจริงทำไมไม่ร่วมรัฐบาลเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญๆ เพื่อปราบสแกมเมอร์ หรือไม่ก็เปิดอภิปรายถอดถอนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ได้
ขณะเดียวกัน กลับเปิดแคมเปญหาเสียงล่วงหน้าว่า “มีเราไม่มีเทา” เพื่อโกยคะแนนเสียงจากประชาชนที่ไม่พอใจต่อปัญหาอาชญกรรมออนไลน์ต่างๆ รวมทั้งกลุ่มอิทธิพลอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มจีนเทา และอำนาจเผด็จการทั้งในประเทศพม่า และกัมพูชา คล้ายกับตอนเลือกตั้งปี 2566 ที่บอกว่า “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” ซึ่งในครั้งนั้นประสบความสำเร็จพอสมควร เพราะคนกำลังเบื่อหน่าย “3 ป.”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว พรรคประชาชนเองกลับเข้าไปพัวพันกับเรื่องเทาๆ หลายเรื่อง ยกตัวอย่าง เช่น
เรื่องแรก ตั๋วปารีส
เรื่องนี้เป็นมหากาพย์เกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก แต่สรุปง่ายๆ นายทุน “ตั๋วปารีส” ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของนายรังสิมันต์ โรม คนของพรรคสีส้ม รวมไปถึงนักวิชาการหนีคดีหมิ่นเบื้องสูง เจ้าของกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เกตเพลซ อย่างนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ รวมไปถึงอดีตนักข่าวรอยเตอร์ฝรั่งชาวสกอตแลนด์ แต่มีเมียไทย และหลบหนีออกจากประเทศไทยเพราะโดนกฎหมายอาญามาตรา 112 เนื่องจากชอบปล่อยข่าวปลอม และหมิ่นเบื้องสูงอยู่เป็นนิจ คือ นายแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชลล์
นายทุนของคนกลุ่มแก๊งนี้เป็นคนไทยที่ชื่อ “นิค” นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ซึ่งก่อเหตุจ้างวาน 3 พี่น้องตระกูล อัครพงศ์ปรีชา ซึ่งเป็นอดีตนายทหารและข้าราชการในวัง ขู่บังคับ นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล อดีตหุ้นส่วนธุรกิจ ให้ลดหนี้ให้จาก 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท โดยแอบอ้างเบื้องสูง และเป็นสาเหตุให้มหาเศรษฐีหนุ่มอย่าง “นิค นพพร” ต้องคดีกฎหมายอาญามาตรา 112 และรีบหลบหนีไปยังต่างประเทศ
ทั้งนี้ การกล่าวหานายนิค นพพร เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลจากกรณี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติกับบุคคลใกล้ชิดเบื้องสูง ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ รวมไปถึงกฎหมายฟอกเงิน โดยที่มี 3 พี่น้องตระกูล อัครพงศ์ปรีชา ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่ปัจจุบันถูกถอดยศแล้วเกี่ยวข้องด้วย
อดีตแกนนำพรรคก้าวไกลคนหนึ่ง ที่มีความใกล้ชิดกับ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบก.ป. ต้องคดีหมิ่นเบื้องสูง ก็คือ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาท รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งปัจจุบันกลายร่างมาเป็นพรรคประชาชน
นายนิค นพพร ถูกออกหมายจับ และถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดีอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมถึงข้อหา “ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำ หรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์”
จากการรายงานข่าวของบีบีซี ไทย ซึ่งนักข่าวมีสายสัมพันธ์ และความสนิทสนมกับนายนิค นพพร ระบุในการให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยเมื่อเดือนธันวาคม 2557 อ้างว่า ตัวเองตกเป็นเหยื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี และคดีมาตรา 112 เป็นเหตุผลสำคัญให้เขาตัดสินลี้ภัยทางการเมือง เพราะคดีนี้ไม่สามารถประกันตัวได้ ซึ่งเขาเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต
ด้วยเหตุนี้ นายนพพรจึงตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อขอลี้ภัยทางการเมือง และดำเนินการเคลื่อนไหวเป็นนายทุนของกลุ่มคนที่ต้องการล้มสถาบันกษัตริย์ เคลื่อนไหวยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 และนี่เองเป็นที่มาที่ไปว่า ทำไมพรรคประชาชนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั่นเอง!
เรื่องที่สอง “ผู้กองทิพย์” บอดี้การ์ดพิธา ที่แท้คือแก๊งอุ้มรีดทรัพย์
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 หลังจากพรรคก้าวไกลเพิ่งชนะการเลือกตั้งทั่วไป ได้ ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ได้อานิสงส์จากความโด่งดังของนายพิธาในตอนนั้นก็คือ บอดี้การ์ดที่มีชื่อว่า “ผู้กองต้น” นายทัศน์ ศรีกมลภักดี ชาวร้อยเอ็ดซึ่งตอนนี้น่าจะอายุ 41 ปีแล้ว
เมื่อด้อมส้มเห็น “นายพิธา นายกณ ทิพย์” เดินทางไปที่ไหนก็จะมี “ผู้กองต้น” เดินตามเป็นเงาตามตัว ก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่า “ผู้กองต้น” ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ แถมยังเป็นอาชญากรเคยติดคุกมาแล้วด้วย จากคดี “อุ้มเหยื่อปล้นทรัพย์จำนวน 3 แสนบาท” โดยเหตุเกิดในปี 2554
ตอนนั้น “ผู้กองต้น” ซึ่งอยู่ในวัย 27 ปี ใช้ชื่อว่าศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี ทำตัวเป็นสิบแปดมงกุฎ อ้างตัวเองเป็นตำรวจ 191 มีตำแหน่งเป็นผู้กอง และยังเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ร่วมกับพรรคพวกอีก 2-3 คน อุ้มหนุ่มเจ้าของร้านขายของชำย่านพระโขนงชื่อนายบุญส่ง ไปข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ตบทรัพย์กว่า 3 แสนบาท คาลานจอดรถของกองบังคับการกองปราบปราม
จนสุดท้ายก็ถูกตำรวจกองปราบปรามในยุคของ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล สมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบฯ ในตอนนั้น จับกุม และจับไปติดคุก โดยตอนนั้นศาลตัดสินจำคุก “ผู้กองต้น” นาน 12 ปี แต่ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ทำให้จำคุกจริงๆ ไม่กี่ปี ได้รับอิสรภาพเมื่อปี 2560
นอกจากนี้ “ผู้กองต้นของด้อมส้ม” ยังมีประวัติอาชญากรรมติดตัวอีกหลายคดี เช่นข้อหาใช้เอกสารราชการปลอม คดีเลขที่ 432/2554 ของสถานีตำรวจเมืองนนทบุรี โดยมีบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจปลอม ชื่อ ร.ต.อ.ศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี นอกจากนี้ยังเคยมีหมายจับติดตัว เลขที่ 314/2554 ที่ สน.ลุมพินี แต่ต่อมากลับมีการถอนหมายจับออกไปแล้ว
จริงๆ เรื่องนี้มีความน่าตลกขบขันก็คือ ปี 2554 “ผู้กองต้น” ถูกจับโดย พล.ต.ต.สุพิศาล แต่ผ่านมาถึงปี 2566 อาชญากรผู้ถูกจับกุมและถูกตัดสินขังคุกกลับมาร่วมงานกับพรรคก้าวไกล ที่มี พล.ต.ต.สุพิศาล เป็นรองหัวหน้าพรรค
น่าปุจฉา-วิสัชนาว่าผู้กองต้นของด้อมส้มจากอาชญากรติดคุกด้วยคดีอุ้มเหยื่อปล้นทรัพย์ แล้วจู่ๆ กลายมาเป็นบอดี้การ์ดของนายพิธานั้น เป็นเรื่องบังเอิญอย่างร้ายกาจ หรือจริงๆ แล้วเป็นเรื่องตำรวจใช้โจร หรือโจรใช้โจร กันแน่???
นอกจากนี้แล้ว ส.ส.ส้มและคนของพรรคส้มก็ยังมีคดีความอีกเพียบ โดยก่อนหน้านี้มีการเก็บสถิติระบุว่ามี ส.ส.ก้าวไกล ประมาณ 30 คน ที่ถูกดำเนินคดีอาญารวมกันมากถึง 100 คดี ซึ่งหากตัดคดีทางการเมืองที่เกี่ยวกับการแสดงออก หรือการสนับสนุนการชุมนุมทางการเมืองออกไป ก็ยังเหลือคดีต่างๆ อีกเพียบ ยกตัวอย่างเช่น ความผิดฐานหนีการเกณฑ์ทหาร, ฉ้อโกง, เมาแล้วขับ, ปลอมเอกสารสิทธิเอกสารราชการ, ขายเหล้าเถื่อน, เจ้ามือพนัน, ทำร้ายร่างกาย ฯลฯ
เรื่องที่สาม ผู้ช่วย ส.ส.ส้ม โยง “อั้ม-แยม” เจ้าของอาณาจักรเว็บเถื่อน
ช่วงปลายปี 2565 สองสามี-ภรรยา ฝ่ายชายชื่อ “อั้ม” ภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ สร้างภาพว่าเป็นหนุ่มนักธุรกิจพันล้าน ส่วนฝ่ายหญิงชื่อ “แยม” ธมลพรรณ์ ภานุชิตพุทธิวงศ์ อดีตนางเอกละครพื้นบ้านช่อง 7 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามที่นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จับกุมที่บ้านพักเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 ในปฏิบัติการทลายขบวนการเว็บพนันและเว็บโป๊รายใหญ่เบอร์ต้นๆ ของประเทศ โดยมีเงินหมุนเวียนเดือนละกว่า 7,000 ล้านบาท
ในการจับกุมครั้งนั้นเจ้าหน้าที่กองปราบฯ สามารถยึดของกลางเป็นรถหรู ของแบรนด์เนม และเงินสด รวมกว่า 700 ล้านบาท เช่น รถยนต์หรูและรถที่ใช้กระทำความผิดจำนวน 13 คัน กระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกา เงินสด และทรัพย์สินมีค่ามากมาย
สาเหตุหนึ่งที่ตำรวจนำโดย "ก้อง" พล.ต.ท.จิรภพ สามารถสืบสวนสอบสวนจนพบต้นตอ "อั้ม-แยม" ก็คือทั้งคู่ชอบโพสต์อวดร่ำอวดรวย มีรถราคาหลายสิบล้านบาทหลายคัน มีบ้านราคาหลายร้อยล้าน นาฬิกาหรูมากมาย นั่งเครื่องบินส่วนตัวไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่เป็นประจำ เหมือนตัวเองเป็นมหาเศรษฐี มีธุรกิจหลายพันล้าน หลายหมื่นล้าน แต่เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินไปแล้ว กลับมีแต่ธุรกิจสีเทา สีดำ ธุรกิจใต้ดิน
จากหลักฐานต่างๆ และเส้นทางการเงินของสองสามีภรรยา กับพรรคพวกรวม 12 คน ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 จำคุก อั้ม ภูมิพัฒน์ 20 ปี, จำคุกแยม ธมลพรรณ์ 5 ปี ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้รับโทษลดหลั่นกันลงไปในความผิดฐานร่วมกันเพื่อประสงค์แห่งการค้า ทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งรูปภาพ ภาพโฆษณา รูปถ่าย หรือสิ่งอื่นใดอันลามกฯ, ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อฯ โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันฯ, สมคบฯ เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน
ล่าสุดในช่วงที่พรรคส้มกำลังออกมาตีปี๊บแคมเปญ “มีเราไม่มีเทา” อยู่นั้น ก็มีคนเอาภาพออกมาเปิดเผย
เป็นภาพของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอายุประมาณ 30 กว่าๆ ชอบถ่ายรูป ทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแจกของ เตะฟุตบอล กับบรรดาเซเลบของพรรคส้ม ไม่ว่าจะเป็น ไอซ์ รักชนก, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร, นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาชน และอีกหลายคน
ขณะเดียวกันหนุ่มคนนี้ก็มีภาพถ่ายร่วมไปเที่ยวเล่น ไปสังสรรค์ ไปออกงาน มีตติ้งรถซูเปอร์คาร์ต่างๆ กับ นายอั้ม ภูมิพัฒน์
ชายหนุ่มคนนี้มีชื่อเล่นว่า “โน้ต” ชื่อจริงว่านายณรงค์ศักดิ์ แหล่งห้วยไชย เป็นผู้ช่วย ส.ส. นายพงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 33 บางพลัด บางกอกน้อย (ยกเว้นแขวงศิริราช) พรรคประชาชน
นายณรงค์ศักดิ์ปัจจุบันอายุประมาณ 34-35 ปี เรียนจบจากวิทยาลัยพาณิชยนาวีนานาชาติ ม.เกษตรศาสตร์ แต่วิชาชีพด้านพาณิชยนาวีอาจจะไปไม่รุ่ง หรือรวยไม่เร็วหรือยังไงผมก็ไม่ทราบ จึงเบนเข็มมาเข้าแก๊งเพื่อน อั้ม ภูมิพัฒน์ รวมทั้งหาลำไพ่พิเศษด้วยการเดินสายเล่นไพ่โป๊กเกอร์ทั้งใน และต่างประเทศ
“ผมไม่ได้กล่าวหา “ผู้ช่วย ส.ส.โน้ต พรรคประชาชน” นะว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการ หรือเครือข่ายเว็บโป๊ เว็บพนัน และการฟอกเงินของ “อั้ม ภูมิพัฒน์” กับพวก แต่ ส.ส.โรม-ส.ส.ไอซ์ กับคนพรรคส้ม ชอบไปไล่ตรวจสอบคนอื่นแล้ว หันกลับมาดูพรรคส้มของตัวเองหน่อย ที่หาเสียงว่า “มีเทา ไม่มีเรา”
“ช่วยถาม ส.ส.ก้อง พงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ ส.ส.กทม. เขตบางพลัด-บางกอกน้อย พรรคประชาชน หน่อยว่า ไปเอาใครมาเป็นผู้ช่วย ส.ส. ไปประชุมแทน ไปออกงานแทน มีเงินมีทองมาจากไหน ร่ำรวยมาจากไหน เกี่ยวข้องกับพวกธุรกิจสีเทา สีดำหรือเปล่า
ท่านผู้ชมเคยได้ยินคำพูดนี้ไหมว่า “ในขณะที่คุณกำลังชี้นิ้วด่าคนอื่นอยู่ แต่จะมีอีก 3-4 นิ้วที่ชี้กลับเข้าหาตัวคุณเสมอ ไม่ว่าคุณจะด่าใครมากแค่ไหน สิ่งเหล่านั้นก็จะสะท้อนเข้าหาตัวคุณเสมอ” นายสนธิกล่าว
การจัดการกับพวกสีเทา-สีดำ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงนักธุรกิจ ประชาชน บัญชีม้า ต้องกวาดให้หมด แต่วิธีการที่ “พรรคประชาชน” ทำอยู่นี้มันไม่ใช่การจัดการ หรือ%ปิดโปงอย่างเอาจริงเอาจัง แต่มันคือ แคมเปญหาเสียงเลือกตั้ง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนของพรรคประชาชน พรรคส้มเองก็ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง สีเทา สีดำ เต็มพรรค เพียงแต่ไม่มีใครไปขุด หรือเอามาประจานเท่านั้นเอง


