xs
xsm
sm
md
lg

ร้องเรียน!! ผู้บริหารองค์การมหาชนด้านข้อมูลน้ำ โยกย้าย 3 ผอ.สำนักกระทันหัน หลังถูกแจ้งพฤติกรรมต่อ ป.ป.ช.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ท่ามกลางกระแสข่าวที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ว่ามีการส่งเรื่องร้องเรียน ผู้อำนวยการองค์การมหาชนแห่งหนึ่ง ไปที่ประธานกรรมการตรวจสอบ แต่เรื่องกลับเงียบหาย

จากนั้นมากลับมีคำสั่งโยกย้ายที่ผิดปกติ รวบรัดขั้นตอน ย้ายคนไม่ถูกกับงาน จึงมีหนังสือร้องทุกข์ไปที่กระทรวง อว. จนเริ่มเป็นที่พูดถึงหนาหูขึ้น

***

หลักฐานที่ชัดเจนของข่าวนี้ คือ มีเอกสาร “คำร้องทุกข์” ของบุคลากรระดับ “ผู้อำนวยการสำนัก” รวม 3 คน ถูกส่งตรงไปถึง ศ.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ในฐานะประธานกรรมการขององค์การมหาชนแห่งหนึ่งที่ทำงานเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลทรัพยากรน้ำ โดยเอกสารลงวันที่ 22 ตุลาคม 2568 เรื่อง “ร้องทุกข์กรณีผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นธรรม”

เนื้อหาในเอกสารคำร้องทุกข์ฉบับนี้ระบุว่า ผู้ร้องมีตำแหน่งเป็น “รักษาการผู้อำนวยการสำนัก” และเพื่อนร่วมงานที่มีตำแหน่งเป็น “ผู้อำนวยการสำนัก” อีก 2 คน รวมเป็น 3 คน ถูกออกคำสั่ง “บังคับ” ให้โยกย้าย จาก “ผู้อำนวยการสถาบัน” ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์การมหาชนแห่งนี้ โดยขอให้ตรวจสอบว่าอาจเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมและอาจไม่เป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการสถาบันฯ หรือไม่

ในเอกสารคำร้องทุกข์ยังลงรายละเอียดว่า คำสั่งโยกย้ายทั้งหมดเกิดขึ้นในวันที่ 26 กันยายน 2568 ให้ทั้ง 3 คนพ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการและรักษาการผู้อำนวยการทั้ง 3 สำนัก และไปรับหน้าที่ใหม่ในฐานะ “นักบริหารนโยบายวิจัย” ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยให้เหตุผลว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับโครงสร้างการบริหารงานใหม่ ... แต่ผู้ร้องทุกข์อ้างว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การมหาชนแห่งนี้เพิ่งจะมีมติปรับโครงสร้างใหม่ไปเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 หรือเพียง 2 วันก่อนจะมีคำสั่งโยกย้ายนี้ และตั้งข้อสังเกตว่ามติดังกล่าวเป็นเพียงการปรับโครงสร้างเล็กน้อย โดยไม่มีคำสั่งให้ยุบหรือยกเลิกส่วนงานของทั้ง 3 สำนักที่มีคำสั่งโยกย้ายผู้อำนวยการสำนักแต่อย่างใด

ส่วนประเด็นที่ผู้ร้องมีข้อสังเกตว่าคำสั่งโยกย้ายดังกล่าวอาจไม่เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ มีรายละเอียดในคำร้องว่า ผู้ร้องไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีคำสั่งโยกย้ายทั้งที่ยังอยู่ระหว่างช่วงการประเมินผลการปฏิบัติงาน และไม่เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสถาบันฯ ที่ระบุว่า การจะให้เจ้าหน้าที่พ้นจากตำแหน่งต้องมีหนังสือแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน คำสั่งนี้จึงกระทบต่อสิทธิที่จะต้องได้รับการชี้แจงเหตุผลและสิทธิที่ผู้ได้รับคำสั่งควรต้องมีโอกาสโต้แย้ง

ผู้ร้องทุกข์จึงมีข้อร้องเรียนไปถึงปลัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะประธานกรรมการองค์การมหาชนแห่งนี้ โดยขอให้

1. ขอให้นำคำร้องทุกข์นี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการสถาบันฯ เพื่อพิจารณาให้ความเป็นธรรม แก้ไขเยียวยาแก่ผู้ร้อง และขอให้ยกเลิกคำสั่งที่ผู้ร้องเห็นว่าไม่ถูกต้อง พร้อมคืนตำแหน่งเดิมให้กับผู้ร้องทั้ง 3 คน

2. ขอให้คณะกรรมการสถาบันฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าการกระทำของ “ผู้อำนวยการสถาบัน” เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบหรือไม่

3. ขอให้คณะกรรมการสถาบันฯ ควบคุมการใช้อำนาจของผู้อำนวยการสถาบันในการคัดเลือก บรรจุ แต่งตั้ง ประเมินผล ให้เป็นไปด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม

*****

พบเอกสารอีกฉบับส่งถึง ป.ป.ช.ร้องเรียนพฤติกรรมผู้บริหารองค์การมหาชน “นำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว”

22 กันยายน 2568 หรือเพียง 4 วัน ก่อนที่จะมีคำสั่งโยกย้ายผู้บริหารระดับ “ผู้อำนวยการสำนัก” ทั้ง 3 คน ... มีเอกสารร้องเรียนไปถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้รถยนต์ส่วนกลางของผู้บริหารสูงสุดในองค์การมหาชนแห่งนี้

คำร้องที่ส่งไปยัง ป.ป.ช.ระบุว่า ผู้อำนวยการองค์การมหาชนแห่งนี้มีพฤติกรรมนำรถยนต์ส่วนกลางของสถาบันฯ ที่มีไว้เพื่อใช้สนับสนุนภารกิจต่างๆ ของสถาบัน ไปใช้เสมือนกับเป็นรถประจำตำแหน่ง โดยมีรูปแบบให้หัวหน้างานเลขานุการจัดแจงตารางการใช้รถยนต์ส่วนกลางให้ไปรับ-ส่ง ระหว่างบ้านพักส่วนตัวกับที่ทำงาน และใช้รถไปในภารกิจอื่นๆ ทั้งในงานของสถาบันฯ และงานอื่นที่ดำรงตำแหน่งในนามส่วนตัวมาตลอดตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันฯ โดยแนบหลักฐานเป็นภาพถ่ายพฤติกรรมการนำรถยนต์ส่วนกลางมาด้วย

ในคำร้องนี้ยังระบุเพิ่มเติมด้วยว่า สำนักงาน กพร.เคยมีหนังสือแจ้งมติคณะรัฐมนตรี มกราคม 2563 ให้ทราบแล้วว่า .... ผู้อำนวยการองค์การมหาชน ซึ่งได้รับค่าตอบแทนพื้นฐานเป็นเงินเดือนประจำและ “ประโยชน์ตอบแทนอื่นที่เป็นตัวเงินอีก 25%” ห้ามมิให้ใช้รถยนต์ส่วนกลาง

หรืออธิบายได้ว่า ... คำว่า “ประโยชน์ตอบแทนอื่นที่เป็นตัวเงินอีก 25%” คือเงินค่าตอบแทนรายเดือนที่คิดรวมไปแทนค่าใช้รถประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนส่วนตัวไว้ด้วยแล้ว ดังนั้น หากผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การมหาชนเลือกที่จะใช้รถประจำตำแหน่งก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มอีก 25% ทุกเดือน แต่หากเลือกที่จะรับเงินเพิ่ม 25% ไปแล้ว ก็ไม่สามารถนำรถยนต์ส่วนกลางมาใช้เสมือนเป็นรถประจำตำแหน่งได้ เพราะได้รับเงินค่าใช้รถไปแล้ว

ดังนั้น หากผู้อำนวยการองค์การมหาชนคนนี้รับเงินเพิ่มอีก 25% ทุกเดือนไปแล้ว ก็จะนำรถยนต์ส่วนกลางมาใช้รับส่งระหว่างบ้านพัก-ที่ทำงาน หรือใช้ไปทำงานอื่นในนามส่วนตัวอีกไม่ได้

มีรายงานด้วยว่า เคยมีเจ้าหน้าที่องค์การมหาชนแห่งนี้ เคยร้องเรียนผู้อำนวยการองค์การมหาชนคนนี้ไปยังประธานกรรมการตรวจสอบของสถาบันฯ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 แล้ว โดยมีเนื้อหาระบุถึงพฤติกรรมที่เจ้าหน้าที่มีข้อสังเกตว่าถูกต้องหรือไม่ ตั้งแต่การตัดสินให้คุณให้โทษกับเจ้าหน้าที่ การใช้รถยนต์ส่วนกลางเสมือนเป็นรถประจำตำแหน่งเช่นเดียวกัน และยังมีประเด็นที่ขอให้ตรวจสอบการรับเงินรายเดือนค่าประโยชน์ตอบแทนอื่นอีก 25% ของผู้อำนวยการองค์การมหาชนคนนี้ ถูกนำมาเบิกเป็นค่าใช้จ่ายที่ตนไปใช้ประโยชน์ผ่านสำนักงานแทนเป็นประจำทุกเดือนหรือไม่ เพราะหากทำเช่นนั้นจะทำให้เงินส่วนนี้ไม่ถูกนำไปคิดรวมเป็นรายได้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ... แต่การร้องเรียนนี้กลับไม่มีผลตอบรับใดๆ กลับมา
กำลังโหลดความคิดเห็น