xs
xsm
sm
md
lg

“ปาร์ตี้เหมืองทอง” จุดชนวนวิพากษ์สื่อ-ตำรวจเหยียดเพศ ท่ามกลางไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดรามาร้อน! วิจารณ์สื่อพาดหัว “ปาร์ตี้เหมืองทอง” เหยียดเพศ ชี้จับยาเสพติด ไม่เกี่ยวรสนิยม ผู้โพสต์เรียกร้องให้สื่อและตำรวจทบทวนแนวทางปฏิบัติ โดยเน้นย้ำว่าสิ่งที่สังคมควรทำคือการสนับสนุนบริการลดอันตรายจาก Chemsex อย่างถูกต้อง ไม่ใช่การจับกุมและตีตรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไทยเพิ่งผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม

จากกรณีนครบาล ร่วม บช.ปส.เปิดปฏิบัติการ “ทลายปาร์ตี้เหมืองทอง” บุกโรงแรมหรูกลางกรุง รวบกลุ่มชายรักชาย LGBTQ+ มั่วสุมเสพยา 29 ราย คนไทย 28 คน และฟิลิปปินส์ 1 คน ซึ่งถูกแจ้งข้อหาแล้ว 4 คน อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล หลัง “กองบัญชาการตำรวจนครบาล” กลับใช้ข้อความในการจับกุมครั้งนี้ว่า “ทลายปาร์ตี้เหมืองทอง“

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Nataphon Ditthabanjong” ออกมาโพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์การพาดหัวข่าว “ทลายปาร์ตี้เหมืองทอง” ว่าเป็นการเหยียดเพศและสะท้อนปัญหาเชิงระบบของทั้งสื่อมวลชนและตำรวจไทย

โดยผู้โพสต์เรียกร้องให้ทั้งตำรวจและสื่อทบทวนแนวปฏิบัติ โดยเฉพาะในบริบทที่ไทยกำลังเตรียมเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030 และเพิ่งผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม​​​​​​​​​​​​​​​​ ทั้งนี้ ผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า

"สื่อก็เหี้ยม ตำรวจก็เลว
ทำไมการพาดหัวข่าวว่า “ทลายปาร์ตี้เหมืองทอง” ถึงกลายเป็นปัญหาและการเหยียดเพศ?

เมื่อคืนนี้มีการดำเนินการจับกุมภายใต้ชื่อปฏิบัติการที่โคตรจะเหยียดเพศขั้นรุนแรงอย่าง “ทลายปาร์ตี้เหมืองทอง” ความตลกที่ไม่น่าเชื่อคือปีนี้ 2025 แล้ว เป็นปีแรกที่ไทยเรามีสมรสเท่าเทียม และเรามีเดิน Pride Parade แบบจริงจังมาไม่ต่ำกว่า 5 ปีแล้ว ไม่พอๆ บ้านเราเพิ่งเตรียมเสนอตัวเป็นเจ้าภาพงาน World Pride ในปี 2030 ด้วยนะคะๆๆๆ

ที่แปลกใจเหี้..ๆ เลยก็คือ “สื่อมวลชน” อันแสนน่ารักของพวกเราแหละค่ะ เพราะทุกที่พร้อมใจกัน Copy เนื้อหาข่าวที่มีพาดหัวชื่อปฏิบัติการแย่ๆ พร้อมกับชื่อตำรวจปาไปแล้วครึ่งหนึ่ง และรูปจำนวนมากที่ตำรวจส่งไปในกลุ่มไลน์ห้องข่าวตำรวจ แล้วทำกันโดยที่ไม่มีระบบกองบรรณาธิการตรวจสอบใดๆ เลยเหรอคะ? พอทัวร์ลงก็ค่อยมาเปลี่ยน มาลบ

เอ่อ คุณพี่คะ คุณพี่จะตั้งโต๊ะบรรณาธิการทำห่าอะไรคะ เปลืองเงิน
คุณพี่จ้างเด็กจบใหม่ไปกว้านขอข่าว PR ทำเป็นสำนักข่าวก็จบแล้วไหมคะ?

อะ เข้าสู่เนื้อหากันค่ะ เราจะไม่ด่าแบบตลาดสดอย่างเดียว
เราจะเติมความรู้เข้าสมองทุกคนด้วยนะคะ เผื่อพี่ๆ สื่อมาเห็นค่ะ

ที่ผ่านมาเรามีปัญหากับการพาดหัวข่าวระบุเพศโดยไม่จำเป็นมามากพอสมควร นี่คือปัญหาของสื่อมวลชนที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับ Social Media ในช่วงหลังๆ ด้วย คือสมัยก่อนมีหนังสือพิมพ์ พอพาดหัวแบบนี้คนก็จะพอรู้ว่าสำนวนนี้ของเจ้าไหน หน้าที่ของนักกิจกรรมคือไปให้ความรู้รายโต๊ะกอง บก.แหละ แต่พอเป็นยุคออนไลน์ สื่อก็ต้องการได้เงิน และใช่ค่ะ Social Media มีระบบให้เงินผ่าน Engagement ก็เลยต้อง “เรียกยอด” ก่อน

การเน้นย้ำอัตลักษณ์ LGBTQIAN+ อย่างไม่จำเป็นและนำเสนอเป็นอันดับแรกเช่นนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมโยงรสนิยมทางเพศของกลุ่มคนดังกล่าวเข้ากับการกระทำผิดที่ถูกกล่าวหาโดยตรงและอย่างมีนัยสำคัญเชิงสาเหตุ ซึ่งถือเป็นการละเมิดแนวปฏิบัติทางจริยธรรมของสื่อมวลชนอย่างชัดเจนที่ระบุว่าควรกล่าวถึงรสนิยมทางเพศ “ก็ต่อเมื่อมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้อหาข่าวเท่านั้น” การเลือกใช้คำว่า "มั่วสวาท" แทนที่จะเป็นคำที่เป็นกลางอย่าง "มีเพศสัมพันธ์" เป็นการเลือกโดยเจตนาเพื่อสื่อถึงความวุ่นวาย การผิดศีลธรรม และการขาดการควบคุม ซึ่งเป็นการทำให้เพศวิถีของกลุ่มคนดังกล่าวกลายเป็นสิ่งผิดปกติ

นอกจากนี้ยังนำไปสู่การสร้าง "ความเป็นอื่น" (Othering) หากเป็นการรายงานที่เป็นกลาง พาดหัวข่าวควรระบุว่า "ตำรวจบุกทลายปาร์ตี้ส่วนตัว จับกุมผู้ต้องหา X รายในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด" แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ "ตำรวจบุกทลายปาร์ตี้เกย์/LGBTQ+ จับกุมผู้ต้องหาในข้อหามั่วสุมเสพยาและมั่วสวาท" การเพิ่มอัตลักษณ์ของกลุ่มและคำอธิบายกิจกรรมในเชิงศีลธรรมได้เบี่ยงเบนจุดสนใจจากอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหา คือการครอบครองและใช้ยาเสพติด ไปสู่อัตลักษณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องแทน

ในเชิงการคุ้มครองและกำกับดูแลสื่อกันเองนั้น
รอบนี้สื่อมวลชนเองก็ผิดหลายข้อ
แต่ก็ยังไม่เห็นสมาคมสื่อที่ไหนโผล่หัวมารับผิดชอบเลย โคตรตลกสิ้นดี

ปัจจุบันองค์กรสื่อสารมวลชนระดับสากล เช่น MEAA, NUJ และ Trans Journalists Association ได้กำหนดแนวปฏิบัติอย่างละเอียด โดยเน้นหลักการต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของข้อมูล การให้ความเคารพ การระบุตัวตนตามที่เจ้าตัวต้องการ และการหลีกเลี่ยงภาษาที่เน้นย้ำรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศโดยไม่จำเป็น ในขณะที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติของไทยเองก็มีแนวปฏิบัติ (พ.ศ. 2564) ที่สะท้อนหลักการเหล่านี้ โดยระบุอย่างชัดเจนว่าสื่อต้องไม่ใช้ภาษาที่มีอคติ เหมารวม หรือดูหมิ่น และควรหลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าวผู้มีความหลากหลายทางเพศในแง่ลบที่ทำให้ดูเป็นเรื่องแปลกหรือผิดปกติ

ซึ่งจากการรายงานข่าว "ปาร์ตี้เหมืองทอง" ละเมิดหลักการเหล่านี้เกือบทุกข้อ ทั้งในระดับสากลและในประเทศ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนหลักจรรยาบรรณ แต่อยู่ที่ช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างหลักการที่ประกาศไว้กับแนวปฏิบัติจริงในวิชาชีพ ดังที่ ดร.ชเนตตี ทินนาม ได้ชี้ให้เห็นว่า การมุ่งเน้นเพียงแค่การเลือกใช้คำศัพท์นั้นไม่เพียงพอ เพราะปัญหาที่แท้จริงหยั่งรากลึกอยู่ในวิธีคิดและอคติทางสังคมที่ชี้นำกระบวนการผลิตข่าว

ปรากฏการณ์นี้เผยให้เห็นปัญหาเชิงระบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นั่นคือการที่สื่อไม่ได้ทำหน้าที่เป็น "ฐานันดรที่ 4" ที่เป็นอิสระ แต่กลับทำหน้าที่เป็นผู้ขยายเสียงให้กับรัฐ การแถลงข่าวหรือการเขียนข่าวของตำรวจมักจะมาพร้อมกับกรอบการนำเสนอที่มีอคติอยู่แล้ว ซึ่งแทนที่นักข่าวจะตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ว่าอัตลักษณ์ของกลุ่มเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมจริงหรือไม่ หรือภาษาที่ใช้มีความเป็นกลางหรือไม่ สื่อไทยส่วนใหญ่กลับนำเสนอเรื่องเล่าของตำรวจซ้ำตามคำบอกเล่า และบ่อยครั้งยังเติมแต่งภาษาที่เร้าอารมณ์ให้มากขึ้นไปอีก นี่ถือเป็นการฟอกอคติของสถาบันตำรวจและนำเสนอต่อสาธารณชนราวกับว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นกลาง ความล้มเหลวนี้จึงไม่ใช่แค่ความล้มเหลวทางจริยธรรม แต่เป็นความล้มเหลวขั้นพื้นฐานของบทบาทสื่อสารมวลชนในสังคมประชาธิปไตย

หันมาพูดถึงความเป็นตำรวจและชายเป็นใหญ่บ้างนะคะ

คืองี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นางมีโครงสร้างแบบลำดับชั้น เครื่องแบบ และการเน้นย้ำถึงการใช้กำลังและการควบคุม ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวมานั้นมันกลายเป็นสถาบันที่สะท้อนและผลิตซ้ำอุดมการณ์ความเป็นชายเหล่านี้อย่างเข้มข้น วัฒนธรรมนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลัทธิทหาร (Militarism) ซึ่งได้รับการอธิบายว่าเป็น "หัวใจ" ของแนวคิดปิตาธิปไตย และมีแนวคิดกีดกันทางเพศ (Sexism) เป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์และความเป็นปึกแผ่นอยู่เสมอ "กฎ" แบบดั้งเดิมสำหรับผู้ชายไทย เช่น ต้องเป็นผู้นำ ต้องเข้มแข็ง ห้ามแสดงความอ่อนแอ และต้องมีความมั่นใจทางเพศ ล้วนเป็นรากฐานที่สำคัญของวัฒนธรรมองค์กรนี้

คือด้วยวัฒนธรรมความเป็นชายแบบอำนาจนำในองค์กรตำรวจนั้น ได้ถูกแสดงออกผ่านสองลักษณะสำคัญ คือ การให้ความสำคัญต่อ "บุคลิกน่าเกรงขาม" (command presence) เป็นกระบวนทัศน์ทางพฤติกรรม และกฎที่ไม่เป็นทางการที่ว่าเจ้าหน้าที่ต้อง "ลงโทษการไม่ให้ความเคารพ" คำดูหมิ่นอย่าง "ตำรวจนะยะ" ที่สื่อใช้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเกย์ สรุปรวมถึงการดูถูกขององค์กรต่อการเบี่ยงเบนใดๆ จากบรรทัดฐานความเป็นชายที่แข็งกร้าวนี้

ซึ่งแนวคิดเรื่อง "บุคลิกน่าเกรงขาม" และ "การลงโทษการไม่ให้ความเคารพ" ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเท่าเทียมกัน แต่กลับถูกนำมาใช้กับผู้ที่ถูกมองว่าท้าทายอำนาจและความเป็นชายของเจ้าหน้าที่อย่างไม่ได้สัดส่วน บุคคล LGBTQIAN+ โดยเฉพาะผู้ที่มีการแสดงออกทางเพศที่ไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด มักถูกมองว่าเป็นการ "ไม่ให้ความเคารพ" ต่อระเบียบทางเพศที่ตำรวจยึดถืออยู่โดยเนื้อแท้ การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจต่อคนกลุ่มนี้จึงกลายเป็นการแสดงออกถึงความเป็นชาย เป็นวิธีที่เจ้าหน้าที่จะยืนยันสถานะที่เหนือกว่าของตนเองโดยการควบคุมและลงโทษผู้ที่แสดงถึง "ลักษณะที่ตรงกันข้าม" (contrast figure)

อย่างไรก็ดี นอกจากปัญหาในรั้ว สตง.ที่มีปัญหาในเชิงการปกครอบด้วยระบบ “ชายเป็นใหญ่” ซึ่งแต่เดิมก็กีดกันและเลือกปฏิบัติต่อ LGBTQIAN+ แล้วนั้น ในเชิงตำรวจทำงานกับประชาชนก็พบปัญหานี้เช่นกัน งานวิจัยระหว่างประเทศแสดงให้เห็นถึงแบบแผนที่สอดคล้องกันทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกา กลุ่มคน LGBQ มีแนวโน้มที่จะถูกตำรวจเรียกให้หยุดตรวจมากกว่าประชากรทั่วไปถึง 6 เท่า

ซึ่งประวัติศาสตร์ของขบวนการเรียกร้องสิทธิ LGBTQIAN+ ก็ดันมีความเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการต่อต้านความรุนแรงของตำรวจ ดังที่เห็นได้จากเหตุการณ์จลาจลสโตนวอลล์ในปี 1969 ซึ่งเป็นการตอบโต้การบุกจู่โจมบาร์เกย์ของตำรวจอย่างเลือกปฏิบัติ ชุมชน LGBTQIAN+ ส่วนใหญ่รายงานว่ามีแนวโน้มที่จะไม่โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากตำรวจในอนาคต ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่ไว้วางใจที่ฝังรากลึกและต่อเนื่อง

ต้องบอกว่าการวางสถานการณ์ของไทยในบริบทโลกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันแสดงให้เห็นว่าปัญหานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของ "วัฒนธรรมไทย" แต่เป็นลักษณะเฉพาะของวิธีที่สถาบันตำรวจแบบดั้งเดิมซึ่งมีวัฒนธรรมความเป็นชายเป็นใหญ่มีปฏิสัมพันธ์กับชนกลุ่มน้อยทางเพศและเพศสภาพทั่วโลก ความไม่ไว้วางใจนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์การถูกคุกคาม การถูกเพ่งเล็ง และความรุนแรงทั้งในอดีตและปัจจุบัน

กลับมาที่ปัญหาการพาดหัวข่าว จนลงลึกไปที่เรื่องการเลือกปฏิบัติในครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์นี้สร้างวงจรการตีตราที่พึ่งพาอาศัยกัน เริ่มต้นจาก การกระทำของตำรวจที่หยั่งรากในวัฒนธรรมความเป็นชาย ซึ่งมองว่าปาร์ตี้ของเกย์เป็นพื้นที่ของ "ความไร้ระเบียบ" จึงดำเนินการบุกจู่โจมที่โจ่งแจ้งและมีกรอบทางศีลธรรมกำกับ

จากนั้นสื่อก็ขยายความโดยขับเคลื่อนด้วยการสร้างความเร้าใจ รับเอาเรื่องเล่าของตำรวจมาใช้อย่างกระตือรือร้นและแพร่กระจายไปยังผู้ชมในวงกว้าง ส่งผลให้การรับรู้ของสาธารณชนถูกหล่อหลอม และความเชื่อมโยงระหว่าง "LGBTQIAN+" กับ "ยาเสพติด/อาชญากรรม/ความเบี่ยงเบน" ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นในจิตสำนึกร่วมของสังคม

สุดท้าย การรับรู้เชิงลบของสาธารณชนนี้จะสร้างบรรยากาศทางการเมืองและสังคมที่ให้ความชอบธรรมแก่การกระทำที่คล้ายคลึงกันของตำรวจในอนาคต ตำรวจสามารถอ้างได้ว่ากำลังตอบสนองต่อ "ความกังวลของประชาชน" ซึ่งเป็นความกังวลที่สื่อได้ร่วมมือกับตำรวจสร้างขึ้นมาเอง นี่คือวงจรปิดที่ผลิตซ้ำตัวเอง

อันนี้ยังไม่นับประเด็นที่ถูกหลงลืมไปในการนำเสนอข่าว คือ เราต้องแยกแยะประเด็น Sex Party กับประเด็นเรื่องการใช้ยา ซึ่งจริงๆ แล้วสองอย่างนี้ไม่ใช่ความผิดในเชิงศีลธรรม (โอเค เว้นแต่ในนั้นจะมีประเด็นการขายสารเสพติด หรือการค้าประเวณี อันนี้คือสิ่งที่ต้องดำเนินการแหละ) อย่างแรก ต่อให้คุณจะนัดเอาสัก 10-20 คนก็ไม่ใช่ความผิด ตราบใดที่คุณป้องกันตัวเอง เช่น ถุงยางอนามัย หรือ PrEP อันที่สอง หากคุณมีการใช้สารเสพติดก่อนมีอะไรกัน คุณต้องใช้มันอย่างปลอดภัย Chemsex คือคำที่ไว้ใช้สำหรับผู้ที่ใช้สารเสพติดก่อนมีอะไรกัน

สิ่งที่ขาดหายไปเลย คือคนกลุ่มนี้ต้องการบริการที่ถูกต้อง ประกอบกับความเข้าใจของคนในสังคม สิ่งที่ทำไม่ใช่การไปจับเขา แต่การให้เขาใช้ Chemsex อย่างปลอดภัยต่างหาก และทำให้เกิดการลดอันตรายจากการ Chemsex จนนำไปสู่การเลิกได้ (หรือไม่ได้ ก็อาจจะต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของคนคนนั้นด้วย)

อย่างไรก็ตาม จะด่าตำรวจฝั่งเดียวก็ไม่ได้ในเหตุการณ์นี้ก็ต้องด่าสื่อด้วยความชอบธรรมในการอยากจะลงข่าวนี้ด้วย
คือไม่งั้นก็ต้องคุยกันว่าระบบบรรณาธิการข่าวของพวกคุณทำไมห่วยจัง

โอเค ตำรวจส่งมาแบบหนึ่ง แต่คุณก็มีสิทธิ์ที่จะเกลาคำไหมอะ? ตลก

ก็ถือได้ว่านี่คือปฏิบัติการ “สื่อก็เหี้ยม ตำรวจก็เลว” ไปละกันค่ะ
อย่าให้เห็นโบกธงรุ้งเชียวนะ อีด-อก
เห้ออออ"
กำลังโหลดความคิดเห็น