ศาลกัมพูชาตั้งข้อหา “พูน ยุทธ” หนุ่มพิการชาวเขมร หลังโพสต์เฟซบุ๊กตำหนิ “ฮุนเซน-อุน มาเนต” ล้มเหลวปราบสแกมเมอร์ แถมเสียดินแดนให้ไทยและเวียดนาม เป็นการถูกจับครั้งที่ 3 จากเหตุวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ด้านฝ่ายค้านออกโรงจวกยับ ทำไมไม่จับ “เฉิน จื้อ” และออกญาคนใกล้ชิดฮุนเซนอีกหลายคนที่สหรัฐฯ ขึ้นบัญชดำเหตุโยงสแกมเมอร์
วานนี้(31 ต.ค.) สำนักข่าว Khmer Times รายงานว่า อัยการศาลจังหวัดตาแก้วได้ตั้งข้อหานายพูน ยุทธ ชายพิการชาวกัมพูชาวัย 41 ปี ในข้อหา “ยุยงปลุกปั่นอาชญากรรมร้ายแรง” ซึ่งจะมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 494 ของกัมพูชา หากศาลตัดสินว่ามีความผิด โทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี และปรับตั้งแต่ 1-4 ล้านเรียล
Khmer Times อ้างคำแถลงของโฆษกศาลชั้นต้นและสำนักงานอัยการศาลชั้นต้นจังหวัดตาแก้ว เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 เกี่ยวกับคำฟ้องนายพูน ยุธ หรือที่รู้จักในชื่อ “พัน” ระบุว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 กรมตำรวจจังหวัดตาแก้วได้ส่งสำนวนคดีเกี่ยวกับการยุยงปลุกปั่นให้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงโดยนายฮุน ยุทธ หรือชื่อเล่นว่า พูน ยุทธ หรือ พัน ชายอายุ 41 ปี ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 20 กันยายน 23 ตุลาคม และ 25 ตุลาคม 2568
หลังจากสอบสวนผู้ต้องสงสัยและพิจารณาพยานหลักฐานในคดีนี้แล้ว อัยการศาลจังหวัดตาแก้วได้มีคำสั่งตั้งข้อหานายพูน ยุทธ ฐานยุยงปลุกปั่นให้กระทำความผิด ซึ่งส่วนใหญ่กระทำบนเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 20 กันยายน 23 ตุลาคม และ 25 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 495
หลังจากตั้งข้อหาผู้ต้องสงสัยข้างต้นแล้ว ผู้พิพากษาศาลจังหวัดตาแก้วได้มีคำสั่งควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ชั่วคราวเพื่อดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ นายพูน ยุทธ เคยถูกจับกุมและตัดสินลงโทษจำคุกมาแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรก ศาลจังหวัดเสียมราฐพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ในข้อหายุยงปลุกปั่นให้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงและหมิ่นประมาทในที่สาธารณะ ณ หมู่บ้านตาโพล ตำบลสวายดังกุม อำเภอเมืองเสียมราฐ จังหวัดเสียมราฐ ระหว่างเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นความผิดทางอาญาที่มีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 496 และ 307
ครั้งที่สอง ศาลจังหวัดตาแก้วพิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน ในข้อหายุยงปลุกปั่นการเลือกปฏิบัติทางเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 494 และ 496 และเพิ่งพ้นโทษออกมา ก็ถูกจับกุมอีกเป็นครั้งที่สาม
คำแถลงของศาลจังหวัดตาแก้วไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อความที่นายพูน ยุทธ โพสต์ในเฟซบุ๊ก อันเป็นเหตุให้เขาถูกจับกุมเป็นครั้งที่สาม อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่า น่าจะเป็นกรณีที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของนายฮุนเซนและนายฮุน มาเนต ในการจับกุม “ออกญาเฉินจื้อ” ที่ปรึกษาของฮุนเซน ซึ่งถูกทางการสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำและอายัดทรัพย์ฐานเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ระดับโลก และล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยทำให้เสียดินแดนให้ทั้งเวียดนามและไทย
ขณะที่นายสม รังสี นักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชาที่ลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศสและเพิ่งก่อตั้งรัฐบาลอิสระกัมพูชาเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Sam Rainy เหน็บแนมว่า “ไม่จับนายเฉินจื้อที่เป็นอาชญากรฉ้อโกง ค้ามนุษย์ ฟอกเงิน แต่กลับกัน จับนายพูน ยุทธ ที่เป็นคนพิการ”
ด้านขบวนการกอบกู้ชาติกัมพูชาในญี่ปุ่นได้ออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรง ต่อการจับกุมนายพูน ยุธ นักเคลื่อนไหวทางสังคมโดยเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 โดยขบวนการกอบกู้ชาติฯ ถือว่าการจับกุมนายพูน ยุทธ เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญแห่งชาติอย่างร้ายแรง และเป็นการแสดงออกถึงความขี้ขลาดอย่างสุดโต่งของนายฮุน มาเนต
“ขบวนการกอบกู้ชาติกัมพูชาในญี่ปุ่นเรียกร้องให้รัฐบาลฮุน มาเนต ปล่อยตัวนายพูน ยุทธ โดยไม่มีเงื่อนไข เพื่อที่เขาจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว นายฮุน มาเนต ต้องไปต่อต้านศัตรูผู้รุกรานดินแดน ไม่ใช่มาต่อต้ายและทำร้ายชาวเขมรผู้บริสุทธิ์เช่นนี้”
ขณะที่สำนักข่าว VOD สื่อมวลชนอิสระของกัมพูชา รายงานว่า การจับกุมนายพูน ยุทธ ทำให้ระบบกฎหมายกัมพูชาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นระบบที่ช่วยปกป้องอาชญากร ซึ่งจะทำให้ประชาชนกัมพูชาต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกหลายปีหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
VOD ระบุว่า นายพูน ยุทธ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดตาแก้วจับกุมตัวที่บ้านพักของเขาในเช้าวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่บ้านตระพังชุก ตำบลตระหลัก อำเภอเตรง หลังจากที่เขาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมอย่างแข็งขันบนเฟซบุ๊กของเขา
นายอุม ซัมอัน สมาชิกพรรคกู้ชาติกัมพูชา (CNRP) ซึ่งถูกศาลสั่งยุบ และเปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักสังเกตการณ์ทางสังคม ให้สัมภาษณ์ VOD เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมว่า คำวินิจฉัยของศาลจังหวัดตาแก้วต่อนายพูน ยุทธ นั้นไม่เป็นธรรม เนื่องจากเขาเพียงแต่แสดงความคิดเห็นตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
นายอุมกล่าวว่าการดำเนินการกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่กลับไม่ดำเนินการกับกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ฉ้อโกงทางออนไลน์ เช่น กลุ่มมหาเศรษฐีอย่างนายเฉิน จื้อ, ลียง พัด,ตรี เพียบ และกก อัน แสดงให้เห็นว่าระบบกฎหมายในกัมพูชามีการทุจริตและเป็นอันตรายต่อสังคมและประชาชน อีกทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของกัมพูชาเสื่อมเสียในเวทีระหว่างประเทศอีกด้วย
เขากล่าวว่า “เมื่อศาลไม่ดำเนินการกับอาชญากรอย่างออกญาเฉิน จื้อ และคนอื่นๆ ซึ่งเป็นเจ้าพ่อการฉ้อโกงออนไลน์ พวกเขากลับจับกุมนายพูน ยุทธ แทน สะท้อนให้เห็นว่าศาลเขมรของเราเป็นศาลที่สั่งได้ ไม่เป็นอิสระ เป็นศาลทุจริต คอยกลั่นแกล้งผู้ที่ต่อต้าน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่กลับไม่ดำเนินการกับอาชญากรอย่างเจ้าพ่อเฉิน จื้อ, ตรี เพียบ หรือเจ้าพ่อลียง พัด ฯลฯ ในทางกลับกัน ภาพลักษณ์ของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศก็เสื่อมเสีย เพราะเป็นที่เข้าใจกันว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่มืดมน ภาพลักษณ์ของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศนั่นเน่าเหม็นมาก”
VOD ว่าบุคคลใกล้ชิดกับฮุนเซน ผู้นำพรรครัฐบาลหลายคน ถูกประชาคมโลกระบุซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นอาชญากรธุรกิจที่สนับสนุนอำนาจของตระกูลฮุน รวมถึงนายลียง พัด มหาเศรษฐีผู้ควบคุมพรรคประชาชนกัมพูชา และยังเป็นประธานสมาคมมหาเศรษฐีกัมพูชา ซึ่งถูกขึ้นบัญชีดำของสหรัฐฯ ในข้อหาฉ้อโกงและละเมิดสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ นายเฉิน จื้อ มหาเศรษฐีชาวจีน ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาของฮุนเซน ถูกศาลจีนตัดสินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ที่ผิดกฎหมาย และถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศคว่ำบาตรนายออกญาตรี เพียบ ที่ปรึกษาของนายฮุนเซน หลังจากพบว่าเครือข่ายฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ตในกัมพูชาเชื่อมโยงกับบริษัทของนายออกญาตรี เพียบ
ด้านนายยิน เมงลี รองประธานสมาคมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา (ADHOC) ได้แสดงความเสียใจต่อการกล่าวหาและการควบคุมตัวนายพุน ยุทธ โดยศาลจังหวัดตาแก้ว
“ในตอนแรก เราคิดว่าคงจะแค่อบรมสั่งสอนเขาให้ใช้เสรีภาพอย่างเหมาะสม หากการใช้เสรีภาพของเขาถูกละเมิด เราไม่ต้องการให้เกิดปัญหาใดๆ เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก เราพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงสิ่งที่เขาทำได้ในฐานะคนพิการ และพิจารณาว่าการกระทำของเขาอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงหรือนำไปสู่การเลือกปฏิบัติหรือไม่ หรือยุยงปลุกปั่นให้เกิดอาชญากรรม เราไม่คิดเช่นนั้น ดังนั้นเราจึงต้องการให้ศาลและตำรวจปล่อยตัวเขา”
นายยิน กล่าวต่อว่า การใช้กลไกศาลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล รวมถึงการจำกัดเสรีภาพของประชาชน จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคม และจะยิ่งทำลายภาพลักษณ์ของรัฐบาลในเวทีนานาชาติ
เขากล่าวว่า “เรามองเห็นสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้คือความตื่นตัวทางการเมืองที่ลดลงในช่วงปลายปี 2560 หลังจากการยุบพรรค CNRP เราเห็นว่าประเด็นสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพกำลังถูกจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ เราต้องการเห็นการฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีการเมือง ซึ่งจะช่วยยกระดับสิทธิมนุษยชน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีการเลือกตั้งระดับชุมชนและระดับชาติ ดังนั้นเราจึงต้องการให้รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง ดำเนินการสร้างความปรองดอง เปิดพื้นที่ทางการเมือง เปิดพื้นที่สำหรับสิทธิมนุษยชน และฟื้นฟูประชาธิปไตย มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่เราจะฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีระหว่างประเทศได้”
VOD ไม่สามารถติดต่อโฆษกกระทรวงยุติธรรม นายเส็ง ดีนา หรือโฆษกศาลจังหวัดตาแก้ว เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับคดีนี้ได้ในวันศุกร์(31 ต.ค.)
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พรรคพลังชาติได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการจับกุมนายพูน ยุทธ อย่างไม่เป็นธรรม พรรคถือว่าการจับกุมครั้งนี้เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งรัฐธรรมนูญรับรองไว้
พรรคพลังแห่งชาติได้ขอให้ทางการปล่อยตัวนายพูน ยุธ เพื่อให้เขาได้อยู่กับครอบครัวและมีโอกาสทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเลี้ยงชีพครอบครัวที่กำลังขาดแคลนและไม่ได้รับการสนับสนุน
ขณะเดียวกัน นายเสก โสกา ประธานพรรคประชาธิปไตยมูลฐานกัมพูชา เรียกร้องให้ปล่อยตัวนายพูน ยุทธ เช่นกัน โดยระบุบนเพจเฟซบุ๊กของพรรค ย้ำถึงความเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของพลเมืองกัมพูชา รัฐธรรมนูญกัมพูชา อนุสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิคนพิการ รับรองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกบนโซเชียลมีเดียอย่างชัดเจน
เขาเสริมว่า การใช้สิทธิเหล่านี้ต้องดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบและมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และสิทธิของผู้อื่น หวังว่าคดีของนายพูน ยุทธ จะได้รับการแก้ไขโดยคำนึงถึงความพิการของเขา และรับรองว่าเสรีภาพขั้นพื้นฐานของเขาจะได้รับการเคารพตามกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
จากข้อมูลบนเว็บไซต์ขององค์กรสิทธิมนุษยชน LICADHO ระบุว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึง 27 ตุลาคม 2568 มีนักการเมือง นักเคลื่อนไหว และผู้ใช้โซเชียลมีเดียในกัมพูชาถูกควบคุมตัวเพิ่มขึ้นอีก 15 คน ทำให้จำนวนผู้ถูกควบคุมตัวเนื่องจากใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นเพิ่มขึ้นเป็น 86 คน
ตามมาตรา 41 ของรัฐธรรมนูญกัมพูชา ระบุว่า พลเมืองกัมพูชามีเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพสื่อมวลชน เสรีภาพในการเผยแพร่ และเสรีภาพในการชุมนุม บุคคลใดจะละเมิดสิทธินี้เพื่อทำลายเกียรติภูมิของผู้อื่น จารีตประเพณีอันดีงามของสังคม ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือความมั่นคงของชาติไม่ได้ ระบอบการปกครองของสื่อมวลชนต้องได้รับการจัดระเบียบโดยกฎหมาย


