xs
xsm
sm
md
lg

วิสัยทัศน์ของสีจิ้นผิง ต่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่เปิดกว้างและไม่แบ่งแยก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


(แฟ้มภาพซินหัว : โปสเตอร์การประชุมผู้นำสมาชิกกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ถูกจัดแสดงในเมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ วันที่ 24 ต.ค. 2025 โดยเกาหลีใต้จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือเอเปค ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. -1 พ.ย. ปี 2025 นี้)
ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน กำลังเข้าร่วมการประชุมผู้นำสมาชิกกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ณ ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อมุ่งสร้างฉันทามติสำหรับความมั่งคั่งร่วมกัน และเพื่อย้ำถึงความมุ่งมั่นของจีนต่อโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่มีความเปิดกว้างและไม่แบ่งแยก

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะชะลอตัวลงจากร้อยละ 4.5 ในปีนี้ เหลือร้อยละ 4.1 ในปี 2026 ซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่ทำให้เราต้องตระหนัก และตอกย้ำถึงความเร่งด่วนในการธำรงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการร่วมมือ การส่งเสริมกลไกขับเคลื่อนใหม่ๆ และแรงผลักดันการเติบโตในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้

ในช่วงเวลาที่บรรดาผู้นำมาพบปะกันอีกครั้ง เป็นที่คาดว่าสีจิ้นผิงจะย้ำถึงวิสัยทัศน์ที่จีนยึดถือมาอย่างยาวนาน นั่นคือการสร้างเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกที่เปิดกว้าง สำหรับสีจิ้นผิงแล้ว ภูมิภาคที่เต็มไปด้วยพลวัตแห่งนี้ยังคงเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตของโลก และเป็นพลังที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกไปข้างหน้าได้

สนับสนุนการค้าเสรี

ในปี 2025 สมาชิกกลุ่มเอเปคมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) รวมกันคิดเป็นกว่าร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั่วโลก สีจิ้นผิงเล็งเห็นว่าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นวาระที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการขับเคลื่อนการค้าเสรี ด้วยแรงผลักดันจากวิสัยทัศน์ของสีจิ้นผิง จีนได้กระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศสมาชิกอีก 20 แห่งของเอเปค ซึ่งในจำนวนนี้มี 15 แห่งที่เป็นหุ้นส่วนการค้าเสรีของจีนอยู่แล้ว

ประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นสมาชิกเอเปค ได้ให้ภาพตัวอย่างที่ชัดเจน โดยจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของมาเลเซียติดต่อกันถึง 16 ปี "ทุเรียนมาเลเซียสามารถถูกส่งตรงจากสวนไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตในจีนได้ภายใน 24 ชั่วโมง และเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน" สีจิ้นผิงเคยเขียนไว้ในบทความที่เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ ก่อนที่เขาจะเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ อันเป็นรายละเอียดที่สะท้อนถึงการค้าทวิภาคีที่แข็งแกร่งมากขึ้น

(แฟ้มภาพซินหัว : ทุเรียนที่ศูนย์ปฏิบัติการของผู้จัดจำหน่ายผลไม้แห่งหนึ่งในเมืองกว่างโจว มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2025 โดยเมืองราอุบในรัฐปะหังของมาเลเซีย เป็นแหล่งผลิตทุเรียนที่สำคัญ)
เดือนมิถุนายน ปี 2024 จีนเปิดตลาดให้ทุเรียนจากมาเลเซียเข้ามาเพิ่มขึ้นอีก และในปีเดียวกันนั้น มูลค่าการค้าระหว่างจีน-มาเลเซียได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 2.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.84 ล้านล้านบาท) ซึ่งสวนทางกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ระหว่างการเยือนครั้งนั้น สีจิ้นผิงได้กล่าวกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2025 ว่าจีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับประเทศในภูมิภาคเพื่อ "ใช้เสถียรภาพและความแน่นอนของเอเชีย ในการต้านความไร้เสถียรภาพและความไม่แน่นอนของโลก" ด้านนายอันวาร์กล่าวว่า อาเซียนไม่เห็นด้วยกับการกำหนดอัตราภาษีแต่เพียงฝ่ายเดียว และจะรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการร่วมมือ

อันที่จริงแล้ว สีจิ้นผิงยึดมั่นในแนวทางดังกล่าวโดยตลอดมา "ประวัติศาสตร์บอกเราว่าการเปิดกว้างและความร่วมมือ คือพลังขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศที่เปี่ยมด้วยพลวัต" สีจิ้นผิงกล่าวในปี 2018 ขณะเปิดตัวมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE) ครั้งแรกที่เซี่ยงไฮ้ ในปีนั้นทั้งการดำเนินนโยบายเพียงฝ่ายเดียวและการกีดกันทางการค้าต่างทวีความรุนแรง ทว่าสีจิ้นผิงกลับเลือกเส้นทางที่แตกต่าง นั่นคือการเปิดประตูของจีนให้กว้างอยู่เสมอ ดังที่เขาเคยประกาศอยู่หลายครั้งว่า "จีนจะไม่เปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นที่จะเปิดประเทศในระดับสูง"

ความมุ่งมั่นในการเปิดกว้างของสีจิ้นผิงเกิดขึ้นบนรากฐานที่หยั่งลึก เขามองการณ์ไกลมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนเพิ่งเริ่มต้นเปิดประเทศ สีจิ้นผิงซึ่งในตอนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่รัฐวัยหนุ่มในเซี่ยเหมิน เมืองชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ได้มองเห็นถึงศักยภาพของเมืองแห่งนี้ที่จะเติบโตได้ด้วยการสร้างท่าเรือเสรี และในปี 1987 สีจิ้นผิงได้นำทีมวิจัยเดินทางไปยังสิงคโปร์ ศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ระดับโลก เพื่อทำความเข้าใจว่าประเทศแห่งนี้บริหารจัดการระบบท่าเรือเสรีของตนอย่างไร ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงเวลาหลายปีก่อนที่จะมีการก่อตั้งความร่วมมือเอเปค

(แฟ้มภาพซินหัว : เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์แล่นผ่านสะพานไห่ชาง ขณะออกจากท่าเรือเซี่ยเหมิน ในนครเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2024 โดยท่าเรือเซี่ยเหมินได้ทำการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอัจฉริยะเต็มรูปแบบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา)
การสำรวจในช่วงแรกเริ่มนั้นได้วางรากฐานให้เซี่ยเหมินกลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบท่าเรือเสรี ซึ่งเป็นการบ่งชี้ล่วงหน้าว่าการเปิดกว้างนั้นจะกลายเป็นคุณลักษณะเด่นของยุทธศาสตร์ของสีจิ้นผิงในการเชื่อมจีนกับทั่วโลก ในอีกหลายทศวรรษต่อมา

หลายปีที่ผ่านมา วิสัยทัศน์แห่งการเปิดกว้างนี้ยังคงมั่นคง โดยยกระดับจากการทดลองในท้องถิ่นในเขตปฏิรูปพื้นที่ชายฝั่งของจีน ไปสู่ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมกับนานาชาติที่กว้างขวางขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการค้าเสรี หรือการเป็นผู้สนับสนุนหลักในระบบพหุภาคี สีจิ้นผิงได้ยึดถือความร่วมมือที่เปิดกว้างเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศจีนและบทบาทของจีนในเวทีโลกโดยเสมอมา

ย้อนกลับไปในปี 2013 เมื่อสีจิ้นผิงปรากฏตัวครั้งแรกในการประชุมผู้นำเอเปค เขาได้กำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนไว้ว่า จีนมุ่งมั่นที่จะสร้างกรอบความร่วมมือในภูมิภาคที่ครอบคลุมทั้งสองฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในทศวรรษที่ผ่านมา คำมั่นสัญญาแรกเริ่มนี้ก็ได้ปรากฏผลเป็นที่ประจักษ์

ปีต่อมา สีจิ้นผิงได้เป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้นำเอเปคที่ปักกิ่ง โดยที่ประชุมได้ให้การรับรอง "แผนงานปักกิ่ง" (Beijing Roadmap) และเริ่มกระบวนการพัฒนาสู่เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) อย่างเป็นทางการ

ปัจจุบัน เส้นทางสู่เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิกเริ่มปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น ภายใต้การนำของสีจิ้นผิง จีนกำลังดำเนินการตามพันธกรณีของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) อย่างเต็มกำลัง และมุ่งส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูงอย่างแข็งขัน ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เชื่อมโยงประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก 15 ประเทศเข้าไว้ด้วยกัน ตลอดจนเสริมสร้างการพึ่งพาทางเศรษฐกิจระหว่างกันในภูมิภาค โดยใน 15 ประเทศนี้ มี 12 ประเทศที่เป็นสมาชิกเอเปค

วาระการค้าเสรีของสีจิ้นผิงได้รับแรงผลักดันใหม่ หลังจีนและอาเซียนได้ลงนามในความตกลงเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เวอร์ชัน 3.0 เมื่อวันอังคาร (28 ต.ค.) ที่ผ่านมา

ลี ฮี ซุป เลขาธิการสำนักเลขาธิการความร่วมมือไตรภาคี (TCS) กล่าวว่าจีนกำลังมีบทบาทนำในกลไกพหุภาคีต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อันรวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค, ความร่วมมือไตรภาคีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ (TCS), ความร่วมมืออาเซียนบวกสาม (ASEAN+3) และ เอเปค ด้วยการดำเนินตามแนวทางพหุภาคีและการค้าเสรี

เขากล่าวว่า "คาดว่าจีนจะยังคงแสดงบทบาทความเป็นผู้นำผ่านเครือข่ายกลไกที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบนี้ และขับเคลื่อนความพยายามไปสู่ความร่วมมือในภูมิภาคและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจต่อไป"

ยกระดับการเชื่อมโยง

การเดินทางเข้าร่วมประชุมเอเปคครั้งแรกของสีจิ้นผิง เกิดขึ้นในช่วงเดียวกันกับหมุดหมายสำคัญอีกประการหนึ่ง โดยในปี 2013 สีจิ้นผิงเดินทางเยือนอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปีนั้น และได้เสนอข้อริเริ่มเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative - BRI) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้อริเริ่มนี้ก็ได้พัฒนามาเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตที่ทรงพลัง ซึ่งเชื่อมโยงเศรษฐกิจทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตลอดจนเปลี่ยนโฉมเส้นทางการค้าในภูมิภาค

สิบกว่าปีต่อมา เครือข่ายดังกล่าวยังคงขยายเพิ่มขึ้น โดยในเดือนเมษายนปีนี้ ระหว่างการเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ สีจิ้นผิงและประธานาธิบดีโต เลิมของเวียดนาม ได้ริเริ่มการหารือเกี่ยวกับทางรถไฟที่เชื่อมโยงสองประเทศ ซึ่งโครงการนี้จะเชื่อมโยงทางรถไฟในเครือข่ายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางทั่วทั้งภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านการเชื่อมต่อกับโครงการสำคัญอื่นๆ เช่น รถไฟจีน-ลาว, รถไฟจีน-ไทย, รถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง และทางรถไฟสายชายฝั่งตะวันออกของมาเลเซีย

(แฟ้มภาพซินหัว : ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) พร้อมด้วยโต เลิม เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดตัวกลไกความร่วมมือด้านทางรถไฟจีน-เวียดนาม ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติในกรุงฮานอยของเวียดนาม เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2025)
ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางขยายไปไกลเกินกว่าทวีปเอเชีย โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว สีจิ้นผิงเดินทางไปยังเปรูเพื่อทำพิธีเปิดท่าเรือชานเคย์ (Chancay port) ซึ่งเป็นประตูทางทะเลที่เชื่อมโยงเอเชีย-แปซิฟิกเข้ากับลาตินอเมริกา ท่าเรือนี้จะช่วยลดระยะเวลาการขนส่งจากเปรูมายังจีนเหลือเพียง 23 วัน และลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ทำให้ท่าเรือแห่งนี้ถูกกำหนดให้เป็นเส้นเลือดสำคัญของการค้าโลก สีจิ้นผิงได้สรุปวิสัยทัศน์ของท่าเรือชานเคย์ไว้ว่า "เป็นการสำรวจรูปแบบที่ขับเคลื่อนโลจิสติกส์ผ่านระเบียงการขนส่ง กระตุ้นการค้าผ่านโลจิสติกส์ และเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมผ่านการค้า"

ในขณะที่การเชื่อมโยงทางกายภาพระหว่างกันลึกซึ้งมากขึ้น สีจิ้นผิงมักเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการเชื่อมโยงอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมองเห็นได้น้อยกว่า แต่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน นั่นคือเสถียรภาพของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานโลก

ในโลกที่กำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากการแยกตัวออกจากกันและการแยกส่วนของห่วงโซ่อุปทาน สีจิ้นผิงยืนยันว่า "ประเทศต่างๆ ควรมองการพึ่งพาทางเศรษฐกิจระหว่างกันเป็นโอกาสในการเสริมจุดแข็งของกันและกัน และบรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่ความเสี่ยง"

ในมุมมองของสีจิ้นผิง ในยุคแห่งโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ สิ่งที่เราต้องการนั้นไม่ใช่ช่องว่างที่เกิดจากการแบ่งแยก หากคือสะพานแห่งการสื่อสาร และไม่ใช่ม่านเหล็กแห่งการเผชิญหน้า แต่คือทางหลวงแห่งความร่วมมือ

ปลายเดือนมีนาคมปีนี้ สีจิ้นผิงได้พบปะกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้นำทางธุรกิจระดับโลกกว่า 40 คนในกรุงปักกิ่ง เพื่อหารือเกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางธุรกิจระดับโลกในปัจจุบัน สารของเขานั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง "ผมกล่าวอยู่เสมอว่า การดับแสงสว่างของผู้อื่นไม่ได้ทำให้แสงของคุณสว่างยิ่งขึ้น และการปิดกั้นเส้นทางของผู้อื่น สุดท้ายย่อมจบลงด้วยการปิดกั้นเส้นทางของตน"

(แฟ้มภาพซินหัว : ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน พบปะผู้แทนชุมชนธุรกิจระหว่างประเทศ ณ อาคารมหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่งของจีน เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2025)
สีจิ้นผิงย้ำถึงความสำคัญของธุรกิจต่างชาติในการขับเคลื่อนการเปิดกว้างของจีนอยู่หลายครั้ง ในการพบปะครั้งนั้น เขาได้ให้คำมั่นว่าจะ "มอบความสะดวกสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับการค้าและการลงทุนในจีน"

ฌอน สไตน์ (Sean Stein) ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน หนึ่งในผู้เข้าร่วมงาน กล่าวหลังได้ยินคำกล่าวของสีจิ้นผิงว่า "การลงทุนในจีน คือการลงทุนกับอนาคต"

สำหรับสีจิ้นผิง การเชื่อมโยงกันไม่ได้หมายถึงแค่เหล็กกล้าและคอนกรีตเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของผู้คน เขาเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและความเข้าใจร่วมกันคือรากฐานของความร่วมมือที่ยั่งยืน จีนได้ออกนโยบายยกเว้นวีซ่าและขยายโครงการริเริ่มทางวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อให้โลกเข้าถึงจีนมากขึ้น การดำเนินการดังกล่าวมีผลลัพธ์ที่ดี เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าจีนเพิ่มขึ้นทุกปี

จิตวิญญาณแห่งการเชื่อมโยงนี้ปรากฏให้เห็นอย่างเต็มที่ระหว่างการประชุมผู้นำเอเปค ปี 2024 ที่เปรู หลังการพบปะหารือระหว่างสีจิ้นผิงกับกาเบรียล บอริก ประธานาธิบดีชิลี ได้เข้าสู่บทสนทนาที่มีความอบอุ่นและเป็นส่วนตัว

บอริกเล่าถึงช่วงเวลาล่าสุดที่เกิดขึ้นในชิลีว่า ก่อนการเยือนเปรูครั้งนี้ ตนได้รับเชิญไปงานมหกรรมหนังสือระดับนานาชาติในซานติอาโก "ผลงานทั้งหมดของท่านถูกจัดแสดงควบคู่ไปกับผลงานของกวี นักเขียน และศิลปินชาวจีน" บอริกกล่าวกับสีจิ้นผิง และได้นำหนังสือ "สีจิ้นผิง ยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ” เล่ม 4 ฉบับภาษาสเปนมาให้เขาเซ็นชื่อ

(แฟ้มภาพซินหัว : ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน พบปะกับประธานาธิบดีกาเบรียล บอริก ของชิลี ณ อาคารมหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่งของจีน เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2025)
ในมหกรรมที่เต็มไปด้วยหนังสือและงานเขียน
ทวีปต่างๆ ดูเหมือนจะถูกดึงให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น
"สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง" บอริกกล่าว
"การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเราทั้งสองในอนาคต
จะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงความร่วมมือจำนวนมาก
ยิ่งไปกว่านั้นคือได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการศึกษา"

การสร้างประชาคมร่วมกัน

เอเปคถือกำเนิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ
ที่กระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจเริ่มก่อตัว
เอเปคได้แบกรับภารกิจที่ชัดเจนไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม
นั่นคือการขับเคลื่อนการเปิดกว้างและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ หลายทศวรรษที่ผ่านมา
ความมุ่งมั่นนี้ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า
"ปาฏิหาริย์แห่งเอเชีย-แปซิฟิก" (Asia-Pacific Miracle)
ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาแห่งการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ที่ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจโลก

สำหรับสีจิ้นผิง
จิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกนี้จะต้องดำเนินต่อไป
เขามักกล่าวว่าความร่วมมือเอเชีย-แปซิฟิกควร "กล้าที่จะเป็นผู้นำ"
ขณะที่เอเปคก้าวเข้าสู่ปีที่30 สีจิ้นผิง ได้ยืนอยู่ต่อหน้าผู้นำเอเปค
และหวนย้ำถึงหนึ่งคำถามอันสำคัญยิ่ง นั่นคือ ภูมิภาคแห่งนี้จะสามารถสร้าง
"สามสิบปีทอง" แห่งการพัฒนาครั้งต่อไปได้อย่างไร

(แฟ้มภาพซินหัว : ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ครั้งที่ 30 ที่นครซานฟรานซิสโกของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2023)
คำตอบของสีจิ้นผิงเหมือนเดิมตลอดมา
นั่นคือการสร้างประชาคมเอเชีย-แปซิฟิกที่มีอนาคตร่วมกัน ในปี2020 เอเปคเปิดตัววิสัยทัศน์ปุตราจายา2040 ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวระยะยาวฉบับใหม่
ที่มุ่งหวังให้เกิด "ประชาคมเอเชีย-แปซิฟิกที่เปิดกว้าง มีพลวัต ยืดหยุ่น
และมีสันติภาพ ภายในปี2040"

สีจิ้นผิงยอมรับว่าสภาพการณ์และความคาดหวังของคนในชาติของแต่ละประเทศล้วนแตกต่างกัน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในความเชื่อของเขาคือการจัดการกับความแตกต่างเหล่านี้
ผ่านการปรึกษาหารือและการทำงานร่วมกัน เพื่อหาทางออกให้กับความท้าทายที่มีร่วมกัน

ครั้งหนึ่ง
สีจิ้นผิงได้นำภูมิปัญญาจีนโบราณมาเปรียบเปรยกับเอเปค
ว่าเป็นครอบครัวของกลุ่มเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันด้วยผืนน้ำอันกว้างใหญ่ที่ไหลรินของมหาสมุทรแปซิฟิก
"คุณธรรมสูงสุดนั้นเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำอำนวยประโยชน์แก่สรรพสิ่งโดยไม่แก่งแย่ง"

(แฟ้มภาพซินหัว : ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน (ขวาหน้า) พร้อมด้วยผู้นำและผู้แทนจากสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ ระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 22 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติเยี่ยนชีหู ชานกรุงปักกิ่งของจีน เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2014)
สีจิ้นผิงเคยกล่าวไว้ว่า
"มหาสมุทรแปซิฟิกอันไพศาลนั้นกว้างใหญ่พอ"
เพื่อย้ำถึงความเชื่อของเขาว่าทุกฝ่ายสามารถดำรงอยู่ร่วมกันและร่วมมือกันได้

จิตวิญญาณดังกล่าวมิได้เป็นเพียงแบบอย่างในการผลักดันความร่วมมือของจีนกับประเทศในภูมิภาคของสีจิ้นผิงเท่านั้น
แต่ยังแสดงถึงความพยายามของสีจิ้นผิงที่จะช่วยให้ประเทศเหล่านั้นเอาชนะความท้าทายอันเร่งด่วนในระดับโลก
โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้
สีจิ้นผิงได้เชิญสมเด็จพระราชาธิบดี สุลต่าน ฮัจญี
ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ แห่งบรูไนเยือนจีน
และเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว ครั้งที่9 ที่นครฮาร์บิน
เมืองน้ำแข็งทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

ก่อนหน้าการแข่งขัน
ผู้นำทั้งสองได้พบกันที่กรุงปักกิ่งเพื่อพูดคุยกันทั้งในภาคส่วนที่เกิดขึ้นใหม่และที่มีอยู่เดิม
การหารือของพวกเขาได้กล่าวถึงอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์
และพลังงานใหม่ ตลอดจนภาคส่วนที่มีความร่วมมือมายาวนาน เช่น เกษตรกรรมและการประมง
โดยบรูไนจะเป็นเจ้าภาพจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับจีนในการดำเนินการด้านนี้

(แฟ้มภาพซินหัว : ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน จัดพิธีต้อนรับสมเด็จพระราชาธิบดี สุลต่าน ฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ แห่งบรูไน ณ ห้องโถงทางทิศเหนือของอาคารมหาศาลาประชาชน ก่อนการหารือของผู้นำทั้งสอง ในกรุงปักกิ่งของจีน เมื่อวันที่ 6 ก.พ.2025)
สำหรับสีจิ้นผิง
ความร่วมมือนี้มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ เขากล่าวว่าจีนและบรูไน
"ได้สร้างต้นแบบของการปฏิบัติต่อประเทศต่างๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
อย่างเท่าเทียมกัน
และแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันและความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย"

เมื่อมองไปในภายภาคหน้า
สีจิ้นผิงยังคงวาดภาพให้เอเชีย-แปซิฟิกเป็น "หัวรถจักร" ของโลกาภิวัตน์
คลื่นลูกใหม่ของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมกำลังก่อตัว
และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของโลกไปสู่เศรษฐกิจที่มีความเป็นดิจิทัล
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอัจฉริยะ
สีจิ้นผิงยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้กำลังสร้างแรงผลักดันอันทรงพลังให้แก่โลกาภิวัตน์ในระยะถัดไป

สีจิ้นผิงมักจะอธิบายว่าเศรษฐกิจโลกติดอยู่ในเกมงัดข้อระหว่างพลังแห่งการขับเคลื่อนและพลังแห่งการขัดขวาง
แต่เขาเชื่อว่าพลังที่ขับเคลื่อนการรวมกลุ่มจะได้รับชัยชนะ สีจิ้นผิงกล่าวว่า
"ตราบใดที่เราดำเนินการด้วยจิตวิญญาณแห่งความเปิดกว้างและการเชื่อมโยง"
"มหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ก็จะกลายเป็นถนนสายสำคัญที่นำพาเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองและการเติบโตยิ่งขึ้นไป"


กำลังโหลดความคิดเห็น