กองทัพไทยเผยภาพนำรถถัง 2 คันกลับสู่ที่ตั้งหน่วยสระบุรี ตามข้อตกลงสันติภาพ ภายใต้คณะ AOT สังเกตการณ์ ด้าน “บิ๊กเล็ก” เผยถอนเชิงสัญลักษณ์ก่อน วางไทม์ไลน์ 3 เฟส 6 สัปดาห์ แต่ละล็อตถอนอะไรบ้างแม่ทัพภาคที่ 2 กำลังหารือกัมพูชากำหนดรายละเอียด คาดเก็บทุ่นระเบิดหนองจาน-หนองหญ้าแก้วเสร็จ 17 ธ.ค. ส่วนปราสาทตาควายต้องให้ AOT ไปดูกู้จริงหรือไม่
พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2568 คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT) ประกอบด้วย Major Jaffny จากประเทศมาเลเซีย และ Master Sergeant Apolonio จากประเทศฟิลิปปินส์ ได้ร่วมสังเกตการณ์และตรวจสอบขั้นตอนการเคลื่อนย้ายรถถัง M60A3 จำนวน 2 คัน กลับสู่ที่ตั้งหน่วย จังหวัดสระบุรี ซึ่งการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
การเข้าสังเกตการณ์ครั้งนี้ได้รับการอำนวยความสะดวกโดย พันเอก ณัฐพล บุญกระพือ เสนาธิการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ณ กองพันทหารม้าที่ 17 กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามพันธกรณีใน “ข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา” ที่ได้ลงนามไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ ประเทศมาเลเซีย โดยทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันในการปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพ เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่น ลดความตึงเครียด และวางรากฐานแห่งความร่วมมือในระยะยาว
โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า วันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมาถือเป็น “วัน D-Day ของการเริ่มต้นถอนอาวุธหนัก ตามข้อตกลงไทย-กัมพูชา” แม้จะเป็นเพียงขั้นตอนแรก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ของกองทัพไทย ในการปฏิบัติตามเจตนารมณ์แห่งข้อตกลงร่วม เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัยและมั่นคงตามแนวชายแดน ลดความหวาดระแวง และเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ กองทัพไทยได้แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนในการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่แนวชายแดน เพื่อเป็นการลดระดับความตึงเครียดและความกดดันที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด พร้อมยืนยันการใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา เพื่อคงไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ทั้งสองฝั่งชายแดน
กองทัพไทยขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปด้วยความรอบคอบ และตั้งอยู่บนพื้นฐานในการธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ รวมทั้งความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
ด้าน พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า หากนับเวลาตั้งแต่มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา และในวันที่ 26 ตุลาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามปฏิญญาเพื่อนำไปสู่สันติภาพแล้ว ช่วงค่ำของวันที่ 26 ตุลาคมก็มีการเริ่มถอนอาวุธ ซึ่งอาวุธของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาที่ถอนออกมาไม่เหมือนกัน
ขณะนี้กองทัพภาคที่ 2 อยู่ระหว่างการพูดคุยในรายละเอียดกับกัมพูชา จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากระทรวงกลาโหมยึดมั่นในอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ จะไม่ยอมให้ไทยเสียศักดิ์ศรีอย่างแน่นอน
เมื่อถามว่าไทยก็มีการถอนอาวุธในช่วงค่ำวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมาใช่หรือไม่ เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ พลเอก ณัฐพลยอมรับว่า ใช่
ส่วนจรวด BM-21 ที่ไทยคาดหวังให้กัมพูชาถอนออกไปเนื่องจากเป็นอาวุธที่อันตรายนั้น พลเอก ณัฐพลระบุว่า ถือเป็นสิ่งที่อยากให้กัมพูชาได้ดำเนินการถอน ซึ่งตามแผนการปฏิบัติการ ได้กำหนดกรอบเวลาเอาไว้ 6 สัปดาห์ ประมาณ 1 เดือนครึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้น และกัมพูชาก็เห็นพ้อง ซึ่งจะมีอยู่ 3 เฟส คือเริ่มทันที ในคืนวันที่ 26 ตุลาคม 2568
ส่วนเฟสที่ 2 จะเริ่มภายใน 3 สัปดาห์ และเฟสที่ 3 คือสัปดาห์ที่ 6 ซึ่งจะมีการแบ่งการถอนอาวุธเป็นล็อต ส่วนแต่ละล็อตจะถอนอาวุธอะไรบ้างนั้น อยู่ระหว่างการพูดคุย และต้องถอนพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเฟสไหนก็ตาม
เมื่อถามถึงการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ใช้กรอบการทำงานระยะเวลาเท่าใด พลเอก ณัฐพลกล่าวว่า ประมาณ 3 เดือน และสามารถต่อได้อีก ซึ่งคาดว่าในห้วงเวลาดังกล่าวสามารถเห็นผลได้ใน 3 เรื่อง ทั้งถอนอาวุธหนัก เก็บกู้วัตถุระเบิดตามแนวชายแดน ในส่วนของบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 รวมถึงพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ด้วย ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มทำอยู่ ซึ่งก็เริ่มทำแผนการดำเนินการส่งไปยังกัมพูชา
พร้อมย้ำว่า 26 ตุลาคมที่ผ่านมาถือเป็นวันดีเดย์ อาวุธอะไรที่เริ่มถอนได้ก็ให้ถอน แม้จะเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้น เราก็ติดตามความคืบหน้าไป
ปัจจุบันนี้ได้ขอนายกรัฐมนตรีตั้งคณะทำงานในเรื่องนี้ โดยมี พลเอก อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน และมีหน่วยงานกระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยร่วมขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนสบายใจ
พลเอก ณัฐพลระบุว่า เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดหากอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้เก็บกู้ทุ่นระเบิด
เมื่อถามว่าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าฝ่ายกัมพูชาจะเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ เช่นในพื้นที่ปราสาทตาควายและพื้นที่โดยรอบ พลเอก ณัฐพลกล่าวว่า คณะ AOT ต้องลงไปดูในพื้นที่ปราสาทตาควายว่ามีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจริงหรือไม่ โดยเบื้องต้นจะเริ่ม 13 พื้นที่


