xs
xsm
sm
md
lg

โลกล้อมกัมพูชา ใกล้ถึงจุดจบ “ระบอบฮุน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ระบอบฮุนเซน” ที่ครองอำนาจในกัมพูชาเสี่ยงพบจุดจบ เมื่อนานาชาติระดมมาตรการกดดัน อายัดทรัพย์สินตัดเส้นทางเงินสีเทา ส่งผลธนาคารอาจล้ม ประกอบกับมีปัญหาชายแดนกับไทย ด่านถูกปิด สินค้าเกษตรโดนเวียดนามกดราคา นักท่องเที่ยวไทยหาย ไม่มีเงินเข้าประเทศจากแรงงานที่เคยทำงานในไทย เศรษฐกิจทั้งระบบใกล้พังพาบ



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ของประเทศกัมพูชา ภายใต้การปกครองของนายฮุนเซน และนายฮุน มาเนต ลูกชาย ซึ่งขณะนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็น “รัฐโจร” เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของขบวนการสแกมเมอร์ที่หลอกลวงเหยื่อไปทั่วโลก และกำลังถูกนานาชาติกดดันด้วยมาตรการต่างๆ

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และอังกฤษ สั่งอายัดทรัพย์สินและเหรียญคริปโตฯ มูลค่ากว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินเกือบ 5 แสนล้านบาทของ นายเฉิน จื้อ เจ้าพ่อขบวนการสแกมเมอร์ และเครือข่ายบริษัท Prince Group ของเขา ถือว่าเป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจกัมพูชา เนื่องจากทรัพย์สินของ Prince Group ที่ถูกสหรัฐฯ และอังกฤษอายัดไป 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็มีมูลค่าเกือบ 1 ใน 3 ของ GDP ของกัมพูชา ซึ่งปีที่แล้วอยู่ที่ 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.5 ล้านล้านบาท แล้ว

 นายเฉิน จื้อ
เศรษฐกิจใต้ดิน คือขบวนการสแกมเมอร์-อาชญากรรมออนไลน์, รับฟอกเงินให้ธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ รวมถึงเงินสินบน-เงินปันผล ให้กับบรรดานักการเมือง และข้าราชการกัมพูชาที่หนุนหลังขบวนการอาชญากรรม

นอกจากนี้ เงินสีเทาก็ยังอยู่ในระบบเศรษฐกิจบนดินของกัมพูชาด้วย เพราะขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้ล้วนแต่มีธุรกิจบังหน้า เช่น Prince Group ของ นายเฉิน จื้อ มีธุรกิจใหญ่โต ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ซูเปอร์มาร์เกต สวนสนุก โรงแรม ศูนย์การค้า และยังมีบริษัทร่วมลงทุนในการผลิตภาพยนตร์ แอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ สั่งอาหาร ที่สำคัญก็คือ มีธนาคารพาณิชย์ด้วย


หลังจากสหรัฐฯ และอังกฤษอายัดทรัพย์สินของนายเฉิน จื้อ ธนาคารของเขาที่ชื่อว่า Prince Bank ก็ได้รับผลกระทบทันที แอปพลิเคชันของธนาคารต้องประกาศ “ปิดปรับปรุงระบบ” ใช้งานไม่ได้, ลูกค้าจำนวนมากบอกว่าโอนเงินไปแต่เงินไม่เข้า ผู้ฝากเงินแห่กันไปถอนเงินออกจากธนาคาร เพราะกังวลว่าเงินของพวกเขาอาจถูกอายัดจากมาตรการคว่ำบาตร ถึงแม้ว่าทางธนาคารจะรับประกันว่า “ยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอ เงินฝากและผลประโยชน์ทางการเงินของลูกค้ายังคงปลอดภัย” แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเชื่อ

ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ Prince Bank ของนายเฉิน จื้อ แต่ธนาคารต่างๆ ในกัมพูชาก็ถูกประชาชนแห่กันไปถอนเงินออกมา เพราะคนเขมรรู้ดีว่า ธนาคารกัมพูชาล้วนแต่เกี่ยวพันกับธุรกิจสีเทา อาจจะถูกคว่ำบาตรได้ทุกเมื่อ และถ้าหากประชาชนแห่กันไปถอนเงินอย่างไม่หยุดหย่อน ระบบธนาคารของกัมพูชาก็อาจจะล่มลงเพราะขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินเพียงพอให้ผู้ฝากเงินถอนเงินออกมาได้ หรือที่เรียกกว่า “แบงก์รัน (Bank run)”


ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่า ความเชื่อมั่นในระบบการเงินของกัมพูชานั้นอยู่ในจุดต่ำสุด โดยรายงานขององค์กรนานาชาติประเมินว่าธุรกิจสีเทามีมูลค่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP กัมพูชา ดังนั้น เมื่อเงินสีเทาที่เป็นทุนใหญ่ของเศรษฐกิจกัมพูชาถูกตัดเส้นเงิน, ถูกอายัด ก็ย่อมจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชนชาวกัมพูชาอย่างแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย

สหรัฐฯ คว่ำบาตร เศรษฐกิจกัมพูชาเสี่ยงล่มสลาย


มาตรการคว่ำบาตร “ปรินซ์กรุ๊ป” โดยสหรัฐฯ ตัดขั้วหัวใจของเศรษฐกิจกัมพูชา เพราะว่าโครงสร้างทางการเงินของกัมพูชาเพิ่งเริ่มพัฒนา แถมยังไม่มีธรรมาภิบาล จึงไม่สามารถจะต้านทานมาตรการคว่ำบาตรของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ได้


กัมพูชาเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่พึ่งพาเงินสกุลต่างชาติ หลักๆ ก็คือ เงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินบาทไทย โดยเศรษฐกิจของกัมพูชามีอัตราการหมุนเวียนของเงินดอลลาร์สหรัฐมากกว่า 84% ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจกัมพูชาพึ่งพาเงินดอลลาร์อย่างมาก คนที่เคยไปเที่ยวกัมพูชาคงรู้ดีว่าใช้เงินดอลลาร์ได้ทุกที่ และร้านค้าต่างๆ ก็อยากจะรับเงินดอลลาร์มากกว่า เพราะว่า “เงินเรียล” ของกัมพูชาไม่มีเสถียรภาพ เสี่ยงจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ

รัฐบาลกัมพูชาเคยอวดอ้างว่าระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินดอลลาร์ได้อย่างสะดวก เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนต่างชาติ แต่วันนี้การพึ่งพาเงินดอลลาร์นี่เองกลายเป็นดาบที่คืนสนองไปหากัมพูชา เพราะเมื่อถูก “เจ้าของเงิน” อย่างสหรัฐฯ คว่ำบาตร โครงสร้างการเงินของกัมพูชาที่อ่อนแออยู่แล้วก็พร้อมจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ


ขณะนี้สหรัฐฯ ยังใช้มาตรการเพียงแค่อายัดทรัพย์บุคคลและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติเท่านั้น ยังไม่ได้ห้ามทำธุรกรรมเงินดอลลาร์ หรือตัดกัมพูชาออกจากระบบ S.W.I.F.T.

แต่ว่าสหรัฐฯ ก็ยังถือไพ่สำคัญนี้ไว้ในมือ ถ้าหากสหรัฐฯ สั่งตรวจสอบการโอนเงินเข้า-ออกกัมพูชาอย่างเข้มงวด จะส่งผลต่อแรงงานชาวเขมรนับล้านคนที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศ และส่งเงินกลับบ้านเกือบ 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากถึง 6% ที่จะหายไปจาก GDP ของประเทศกัมพูชา


กัมพูชาขาดไทยไม่ได้

ไม่เพียงแค่ผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ประเทศที่กัมพูชาพึ่งพามากที่สุด ก็คือประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการค้าการลงทุน, สินค้าต่างๆ โดยสินค้าในชีวิตประจำวันที่วางขายในกัมพูชา 45% นำเข้าจากประเทศไทย และ อาหาร 27% ก็มาจากประเทศไทย


ในภาคการเกษตร กัมพูชาไม่มีความสามารถในการแปรรูปสินค้าเกษตร ระบบโลจิสติกส์ก็ยังล้าหลัง จึงต้องพึ่งพาประเทศไทย ที่เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดที่จะรับซื้อพืชผลและกระจายสินค้า แต่หลังจากมีความขัดแย้งกับประเทศไทย เวียดนามก็เข้ามารับซื้อสินค้าการเกษตรของกัมพูชาแทน แต่ว่ากดราคารับซื้อลงไปมากถึง 20-30% โดยขณะนี้เวียดนามผูกขาดตลาดสินค้าเกษตรของกัมพูชาเกือบ 70% เพราะว่าไม่มีประเทศไทยเป็นคู่แข่ง

นอกจากนี้ ยังมีแรงงานเขมรเป็นล้านๆ คนในเมืองไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวคนไทยที่ไปเที่ยวกัมพูชามากเป็นอันดับที่ 1 ดังนั้น เมื่อประเทศไทยสั่งปิดด่าน กัมพูชาถึงเดือดร้อนมาก


ดังนั้น ที่นายฮุนเซนออกมาพูดว่า “ปิดด่าน 100 ปีก็ไม่ล่มสลาย! ” แต่จริงๆ แล้ว ฮุนเซนกำลังเล่นเกมอันตราย ปากกล้าขาสั่น ถึงได้เรียกร้องให้ประชาชนคนเขมรช่วยกันถือเงินเรียล อย่าใช้เงินดอลลาร์ และเงินบาท

ซึ่งคนเขมรก็ได้ตอบรับเป็นอย่างดี พากันโอนเงินบาทเข้าไปเก็บไว้ใน “แอปพลิเคชันทรูมันนี่” โดยเข้าใจว่าเมื่อเงินบาทเปลี่ยนไปอยู่ในแอปพลิเคชันก็ถือว่าไม่ได้ถือครองเงินบาทอยู่ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ฮุนเซนร้องขอ แต่ยังใช้ซื้อสินค้าด้วยสกุลเงินบาทได้เหมือนเดิม

ทรูมันนี่ กิจการของคนไทย แต่ได้ขยายธุรกิจในกัมพูชาด้วย มีชาวเขมรใช้งานมากกว่า 2 ล้านคน คิดเป็นจำนวนเกิน 10% ของประชากร และเป็นช่องทางสำคัญที่แรงงานเขมรในต่างประเทศใช้โอนเงินกลับกัมพูชา เพราะว่าสะดวก และมีค่าธรรมเนียมน้อยกว่าธนาคาร


ทรูมันนี่ กัมพูชา เคยใช้ “แวนด้า” แร็ปเปอร์ชื่อดังของกัมพูชาเป็นพรีเซ็นเตอร์ โดยหลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ช่องทางการสื่อสารบนเฟซบุ๊ก Truemoney Cambodia ได้ตัดขาดการเข้าถึงจากประเทศไทย

แต่ว่าทรูมันนี่ก็ยังดำเนินกิจการเป็นปกติในกัมพูชา ในตอนนี้ก็ยิ่งได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวเขมร เพราะว่ามั่นคงกว่าสถาบันการเงินหลายแห่งของกัมพูชา

นายฮุนเซนจะรู้สึกอย่างไรที่ทรูมันนี่ซึ่งเป็นธุรกิจของคนไทย กลายเป็นช่องทางการเงินที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวเขมร มากกว่าธนาคารของกัมพูชาเองเสียอีก

สหรัฐฯ-จีน ชิงอำนาจในเขมร


การเปิดปฏิบัติการอายัดทรัพย์ของนายเฉิน จื้อ และ Prince Group คิดเป็นมูลค่ามากถึง 5 แสนล้านบาท จริงๆ เป็นแค่ “ตัวเปิดเกม” ในการช่วงชิงอำนาจเหนือกัมพูชาของสหรัฐฯ ซึ่งจีนก็ไม่กล้าจะคัดค้าน ไม่เช่นนั้นจะถูกหาว่า “หนุนหลังอาชญากรรมสีเทา”


สหรัฐฯ ยังประกาศว่าจะจัดการกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ ในกัมพูชาด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของ นายก๊กอัน, กลุ่มฮุ่ยวัน ของนายฮุนโต หลานนายฮุนเซน, กลุ่มจินเป้ย ของนายซอ โสกา รัฐมนตรีมหาดไทยกัมพูชา, กลุ่มของนายลี ยงพัด หรือ พัด สุภาภา วุฒิสมาชิกและและนักธุรกิจใหญ่แห่งเกาะกง

มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ยังจะกดดันให้หน่วยงานปราบปรามการทุจริต และการฟอกเงินของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน รวมถึง ประเทศไทย จะต้องสืบสวนธุรกิจ, ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาในกัมพูชา และยังจะส่งผลให้บรรดานักการเมืองของกัมพูชาที่เคยใช้การซื้อทรัพย์สินในต่างประเทศเพื่อฟอกเงิน จะต้องถูกตัดเส้นทางการเงินไปด้วย

การเข้ามาปราบสแกมเมอร์ในกัมพูชาของเกาหลีใต้, ญี่ปุ่นขู่ว่าจะถอนการลงทุนออกจากกัมพูชา ประเทศเหล่านี้ก็คือ “แนวร่วม” ของสหรัฐฯ ที่ใช้การปราบปรามอาชญากรรมในกัมพูชา เพื่อกดดันจีน และช่วงชิงภูมิรัฐศาสตร์ในกัมพูชา


ประเทศจีน จะต้องตัดสินใจว่าจะร่วมมือถอนรากถอนโคนอาชญากรรมข้ามชาติในกัมพูชา หรือว่าจะเพิกเฉย อุ้มรัฐบาลฮุนเซนต่อไป เพราะว่านานาชาติรับรู้แล้วว่า กัมพูชาเป็น “รัฐโจร” จีนจะต้องไม่ทำตัวให้ถูกมองว่า “สมรู้ร่วมคิดกับโจร” ที่ปฏิบัติการหลอกลวง ค้ามนุษย์ ฟอกเงิน ลักพาตัว ทรมานกักขัง โดยมีชาวจีนจำนวนมาก เป็นทั้งเหยื่อผู้เสียหาย และเป็นสมาชิกของขบวนการโจรในเขมร

GDP กัมพูชาทรุดฮวบ จากโต 4.7% เหลือ 2.4%

ข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เดือนตุลาคม 2568 ประเมินว่า สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาลดลงจาก 4.7% เหลือ 2.4% จากปัจจัยสำคัญคือ

1. แรงงานกัมพูชากลับประเทศกว่า 9 แสนคน กัมพูชาได้สูญเสียเงินกลับประเทศมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ในช่วงแค่ 2 เดือนที่ผ่านมา

2. นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ากัมพูชาลดลง 40% เทียบปีต่อปี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เป็นผลจากปิดด่าน และเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา

3. ครึ่งหลังของปี 2568 คาดว่าการส่งออกกัมพูชามาไทยหดตัว 50-60% จากผลของการปิดด่านชายแดน


ที่ต้องติ่งเอาไว้นิดหนึ่งก็คือ ปัจจัย 3 อย่างที่ฉุดให้เศรษฐกิจกัมพูชาหายไปมากถึงครึ่งหนึ่ง ยังไม่รวม กรณีที่เกาหลีใต้สั่งห้ามชาวเกาหลีเดินทางมากัมพูชา

โดยช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 นี้นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังกัมพูชามากเป็นอันดับ 6 คิดเป็นจำนวนกว่า 1 แสคน แต่หลังจากนี้คาดว่า นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้จะหายไปเกือบทั้งหมด

นอกจากนี้ยังไม่รวมผลกระทบจาก มาตรการตัดท่อน้ำเลี้ยงกลุ่มสแกมเมอร์ของสหรัฐฯ และอังกฤษ ซึ่งไม่เพียงแค่ส่งผลต่อเงินสีเทา แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของกัมพูชาด้วย ผมถามว่านับจากนี้ใครจะกล้ามาเที่ยว, มาลงทุนในกัมพูชา ???

และยังมีเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา หรือ ODA ที่กัมพูชาได้รับจากประเทศต่างๆ อีกปีละกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ (มากที่สุด คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส ไทย) แต่ประเทศเหล่านี้ยังจะให้เงินช่วยเหลือกัมพูชาอีกหรือ? เพราะว่าเงินที่นานาชาติให้ไปเก็บกู้กับระเบิด ทางการกัมพูชากลับเอาไปใช้วางระเบิด และที่สำคัญคือ เงินบางส่วนถูกเอาไปสนับสนุนกลุ่มสแกมเมอร์ ไม่ได้เอาไปช่วยเหลือประชาชนชาวเขมรแต่อย่างใด !?!

สรุป: ตอนนี้นานาชาติต่างรู้เช่นเห็นชาติ ไม่ยอมรับ “รัฐโจร” อย่างกัมพูชา ภายใต้การควบคุมของตระกูลฮุน นำโดยนายฮุนเซนอีกต่อไป มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ลงมาเล่นอย่างเต็มตัว ส่วนจีนที่เป็นลูกพี่ใหญ่ของกัมพูชา ก็ต้องคิดหนัก ที่จะอุ้มเครือข่ายตระกูลฮุนต่อไป และจะเพิกเฉยกับกลุ่มจีนเทาในเขมรต่อไปอีกไม่ได้อีกแล้ว


ขณะที่นายฮุนเซนก็ไม่สามารถใช้วิธีแบล็กเมล์กับประเทศอื่นๆ แบบที่ทำกับ “หลานอังเคิล” และบรรดานักการเมืองไทยได้ กัมพูชากำลังถูกปิดล้อมจากประชาคมโลก การปิดด่านทำให้สินค้าขาดแคลน การปลุกกระแสแบนสินค้าไทย โดยที่ฝั่งกัมพูชาเองไม่สามารถหาสินค้าทดแทนในราคาที่ใกล้เคียงกันได้ ภาระเหล่านี้ย่อมถูกผลักไปที่ผู้บริโภค แล้วคนกัมพูชาพร้อมจ่ายแพงขึ้นหรือไม่ท่ามกลางรายได้ที่ลดน้อยลง

เงินที่จะไหลเข้ากัมพูชามีน้อยลงเรื่อยๆ,  เงินสีเทาถูกอายัด, เงินช่วยเหลือหดหาย, แรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศแล้วไม่มีงานทำ เมื่อไม่มีเงิน ภาระหนี้สินที่มีอยู่กับสถาบันการเงินก็จะมีปัญหา กลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้-หนี้เสีย กระทบภาคการเงินของกัมพูชาเอง และอาจจะลามไปถึงขั้นระบบการเงินในกัมพูชาล้มลง
เมื่อเศรษฐกิจพังพาบ ระบอบฮุนเซนจะยังคงอยู่ต่อไปได้อย่างไร?


“นักการเมืองไทย ข้าราชการไทย ทหารไทย นักวิชาการไทยที่ยังเข้าข้างฮุน เซน ควรจะคิดให้หนัก จริงๆ แล้วประเทศกัมพูชาคือประเทศโจร เป็นซ่องโจรดีๆ นี่เอง ถ้าเราจะตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา เพราะว่าประเทศกัมพูชาเป็นซ่องโจร เราย่อมทำได้ เราต้องไม่ยอมรับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นโจรแบบนี้ แล้วทำความเดือดร้อนให้กับประเทศไทย” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น