กองทัพไทยเดินหน้ายุทธศาสตร์ “RTARF 2050” มุ่งสู่กองทัพทันสมัย ด้วยการพัฒนาระบบอาวุธยิงระยะไกลความแม่นยำสูง จัดตั้งศูนย์บูรณาการข่าวกรอง และหน่วยปฏิบัติการไซเบอร์ พร้อมเน้นย้ำการบูรณาการกำลังรักษาความมั่นคงชายแดนตะวันออก ร่วมมือตำรวจปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ ทบ.ย้ำเดินตามกรอบ “คำสั่งจักรพงษ์ภูวนารถ”
วันที่ 24 ต.ค. 2568 เวลา 10.00 น. มีการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2569 ณ ห้องนเรศวร กองบัญชาการกองทัพไทย โดยมี พลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
ภายหลังการประชุม พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยถึงสาระสำคัญของแผนงานภายใต้ ยุทธศาสตร์ “RTARF 2050 - การเปลี่ยนผ่านสู่กองทัพที่ทันสมัย” ซึ่งมุ่งเน้น 5 ประเด็นหลัก
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือการขับเคลื่อน โครงการสำคัญ (Flagship Project) โดยมุ่งยกระดับขีดความสามารถด้านอาวุธยิงระยะไกลที่มีความแม่นยำสูง (LRPF) เพื่อเพิ่มศักยภาพการตอบโต้ภัยคุกคามระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดจัดตั้ง “ศูนย์บูรณาการข่าวกองทัพไทย (RTARF Fusion Center)” เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลข่าวกรองและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม (GEOINT) ในการสนับสนุนการตัดสินใจ
ในด้านการปฏิบัติการร่วม กองทัพจะเร่งพัฒนาหน่วยปฏิบัติการร่วมทางไซเบอร์ (JCOF) และหน่วยปฏิบัติการคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (JEOF/EMSO) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบโต้ภัยคุกคามในมิติใหม่ พร้อมทั้งพัฒนา Joint Special Operations Forces (JSOF) ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ด้านการรักษาความมั่นคง พลตรี วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ย้ำถึงการรักษาความมั่นคงแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเข้มข้น โดยประสานความร่วมมือกับกัมพูชาผ่านเวทีทวิภาคีเพื่อร่วมปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์และแก๊งสแกมเมอร์ออนไลน์
ขณะที่ พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ โฆษก ตร. ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้ง “ศูนย์วอลูม (Volume Center)” และประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศ รวมถึงรัฐบาลกัมพูชา ผ่านที่ประชุม GBC เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลและจัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อกวาดล้างเครือข่ายสแกมเมอร์ตามที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกองทัพบก เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในวันนี้ได้นำเสนอข้อมูลที่สำคัญในการป้องกันและรักษาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ดังนี้
กองทัพบกยังคงดำเนินการตามกรอบ “คำสั่งจักรพงษ์ภูวนารถ” ทั้งในพื้นที่ของกองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา รวมถึงมีการประสานแผนการปฏิบัติกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด เพื่อให้การปฏิบัติในภาพรวมมีความสอดคล้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการปฏิบัติของกองกำลังสุรนารี และกองกำลังบูรพา นอกจากการเฝ้าตรวจและติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด ยังได้เสริมสร้างความมั่นคง และจัดระเบียบพื้นที่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายไทย การปรับปรุงเส้นทางยุทธวิธี และการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ เพื่อให้หน่วยมีความพร้อมรบอยู่เสมอ
ที่สำคัญ กองทัพบกยังให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจกำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้า ภายหลังการปฏิบัติภารกิจ โดยได้จัดค่ายพักผ่อนในพื้นที่มณฑลทหารบกทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ มณฑลทหารบกที่ 22 มณฑลทหารบกที่ 25 และมณฑลทหารบกที่ 26 เพื่อให้กำลังพลได้พักผ่อนและผ่อนคลายในพื้นที่ส่วนหลัง พร้อมทั้งหมุนเวียนให้กำลังพลบางส่วนลาพักตามวงรอบ โดยยังคงรักษาระดับความพร้อมรบไว้เต็มขีดความสามารถ
สำหรับการขับเคลื่อนการปฏิบัติที่สำคัญในประเด็นที่ไทย-กัมพูชาได้มีความเห็นชอบร่วมกันผ่านการประชุม JBC และ GBC รวมถึงการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25-28 ตุลาคมที่จะถึงนี้ในเรื่องสำคัญ ได้แก่ การบริหารจัดการพื้นที่ในจังหวัดสระแก้ว การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยกองทัพบกจะประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
ส่วนแผนการปรับย้ายอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากมติการประชุม GBC ที่ได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 2 ไปหารือรายละเอียดการปฏิบัติร่วมกับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชานั้น หลังจากมีความชัดเจนแล้ว จะได้นำความคืบหน้ามาแจ้งให้ทราบต่อไป
สุดท้ายนี้ กองทัพบกขอยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในบริเวณพื้นที่ชายแดนให้ได้อย่างเต็มขีดความสามารถอย่างดีที่สุด
                    

