สื่อเกาหลีใต้สัมภาษณ์ ผู้จัดการระดับกลางของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ เผยเริ่มย้ายฐานเข้ามาไทยแล้วหลังถูกกวาดล้างหนักในกัมพูชา เผยต้องการคนทำงานอายุช่วง 20-30 ปี อ้างรายได้สูงถึงสัปดาห์ละ 15 ล้านวอน พร้อมแนะวิธีเดินทางเข้าไทยโดยไม่ให้ถูกจับได้ ล่าสุดมีคนเกาหลีร่วมแก๊งแล้ว 12 คน
เมื่อวันที่ 21 ต.ค. สำนักข่าว Sisa Journal ของเกาหลีใต้รายงานว่า ขบวนการสแกมเมอร์หรือกลุ่มฉ้อโกงออนไลน์ที่มีฐานอยู่ในกัมพูชายังไม่ถูกปราบง่ายๆ ขณะที่ตำรวจเกาหลีกำลังร่วมมือกับทางการกัมพูชาเพื่อกวาดล้างขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้ แต่จากการสืบสวนของผู้สื่อข่าวเผยให้เห็นว่ากลุ่มหลอกลวงดูเหมือนจะเยาะเย้ยและพยายามเข้าไปตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน
ผู้สื่อข่าวของ Sisa Journal ได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ นาย A (นามสมมติ) ชาวจีนเชื้อสายเกาหลี ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้จัดการระดับกลางที่ควบคุมดูแลขบวนการดังกล่าวในประเทศไทย และมีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มานานกว่า 3 ปี
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์เช่นนี้จะดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน นาย A ตอบว่า "ขอพูดแบบนี้นะครับ ผมเป็นผู้จัดการและทำงานนี้มา 3 ปีแล้ว แต่ผมไม่คิดว่ามันจะจบสิ้น ผมคิดว่ามันจะยังคงดำเนินต่อไปได้ดีในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า"
นาย A กล่าวอีกว่า หลังจากสื่อเกาหลีรายงานข่าวเกี่ยวกับคดีค้ามนุษย์ในกัมพูชามากขึ้น ทางการไทยก็เริ่มตรวจเข้มคนเข้าเมืองมากกว่าเดิม ดังนั้น คนที่จะทำงานกับขบวนการนี้ หากต้องการเดินทางเข้าประเทศไทยควรไม่มีประวัติการเดินทางเข้า-ออกเมียนมา ลาว และกัมพูชา เพราะผู้ที่เคยผ่านสามประเทศนี้มักจะถูกเจ้าหน้าที่ไทยเพ่งเล็งเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวชาวเกาหลีที่มักเดินทางเข้าออกพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งหลายรายถูกชักชวนไปทำงานผิดกฎหมาย และทางการกำลังติดตามคดีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
นาย A ยังแนะนำด้วยว่าควรจองตั๋วเครื่องบินโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยระหว่างขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง เหตุผลก็คือ หากเป็นคนสัญชาติจีนจองตั๋ว หมายเลข PIN บนตั๋วจะถูกเขียนเป็นภาษาจีน ซึ่งอาจทำให้เจ้าหน้าที่เกิดความสงสัยโดยไม่จำเป็น
ขบวนการนี้มุ่งเป้าไปที่คนหนุ่มสาววัย 20-30 ปี โดยจะให้เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนรับโอนหรือคนถอนเงิน ที่ได้จากการโทรศัพท์หลอกลวง (Voice Phishing) หรือคอลเซ็นเตอร์ พวกเขาระบุว่าไม่ชอบคนอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากขาดทักษะการสื่อสาร และความสามารถในการโทรศัพท์หลอกลวงค่อนข้างต่ำ
เมื่อถามว่าคนที่จะร่วมขบวนการนี้ต้องทำงานนานแค่ไหน นาย A ตอบว่า เรากำลังมองหาคนที่จะทำงานอย่างน้อย 3 เดือน ยิ่งระยะเวลานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีรายได้มากขึ้นเท่านั้น และจะจ่ายเป็นรายสัปดาห์ ไม่ใช่รายเดือน และขึ้นอยู่กับความสามารถ คิดคร่าวๆ แล้วจะสามารถสร้างรายได้ระหว่าง 10-15 ล้านวอนต่อสัปดาห์ (ราว 260,000-400,000 บาท)
นาย A ได้อธิบายการทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ระดับแรก คือทำงานที่เรียกว่า "โนกาดะ" เป็นการทำงานง่ายๆ ซ้ำๆ คือการโทรศัพท์สุ่มหาเหยื่อไปเรื่อยๆ ส่วนระดับที่ 2 ต้องมีวาทศิลป์ดี สามารถชักจูงเหยื่อได้ ผู้ที่ผ่านระดับนี้ก็จะได้เลื่อนสู่ระดับที่ 3 ซึ่งต้องมีทักษะระดับสูง มีความรู้ด้านการเงิน เพื่อทำการหลอกลวงเชิงลึก ใครมาถึงระดับที่ 3 ถือว่าเหมาะกับงานนี้เป็นพิเศษ
นอกจากนี้ นาย A บอกอีกว่า ขบวนการนี้ยังมีกฎระเบียบภายในองค์กรอย่างเข้มงวด ได้แก่ 1) ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันทำงาน 2) ห้ามใช้ยาเสพติด เนื่องจากหากเกิดคดีความจากการกระทำเหล่านี้ก็ต้องถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจ อาจทำให้องค์กรถูกเปิดโปงได้ และ 3) ห้ามเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวแก่เพื่อนร่วมงาน เพราะจะส่งผลเสียหายตามมา รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยส่วนบุคคลด้วย
นาย A บอกด้วยว่า คนที่จะทำงานนี้ต้องมีเอกสาร 3 อย่าง ได้แก่ ใบกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ประวัติอาชญากรรม และรูปถ่ายหน้าหนังสือเดินทาง สาเหตุที่จำเป็นต้องมีประวัติอาชญากรรมก็เพราะว่าเคยมีกรณีที่คนในองค์กรขโมยเงินที่วางไว้บนโต๊ะ 1 ล้านวอน เพราะฉะนั้นถ้าเงินหายคนที่มีประวัติอาชญากรรมจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อน
นาย A ยังอธิบายด้วยว่า แม้แต่คนที่ก่อคดีข่มขืน หรือบังคับมีเพศสัมพันธ์ขณะเมาเหล้า ก็จะต้องถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจ อาจทำให้ที่ตั้งขององค์กรถูกเปิดเผยซึ่งเป็นอันตราย
ขณะที่ตำรวจเกาหลีและตำรวจกัมพูชากำลังดำเนินการช่วยเหลือเหยื่อชาวเกาหลีในวงกว้าง องค์กรหลอกลวงนี้ดูเหมือนจะย้ายฐานมาที่ประเทศไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตำรวจติดตาม มีชาวเกาหลี 12 คนทำงานในองค์กรหลอกลวงที่นาย A ทำงานอยู่
ในขณะที่ตำรวจเกาหลีใต้กำลังร่วมมือกับตำรวจกัมพูชาเปิดปฏิบัติการช่วยเหลือเหยื่อชาวเกาหลีจำนวนมากในพื้นที่ ขบวนการสแกมเมอร์กลับหลบหนีไปตั้งฐานในประเทศไทยแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตำรวจติดตาม โดยนาย A ให้ข้อมูลว่า ในแก๊งสแกมเมอร์ที่เขาสังกัดอยู่ซึ่งตอนนี้อยู่ในไทย มีชาวเกาหลีใต้ทำงานอยู่ 12 คน