กรณีพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยขายไก่ปิ้งในปากเกร็ดถูกเทศบาลเรียกเก็บค่าปรับสูง จนต้องเลิกขายหันไปขับไรเดอร์ ขณะที่ "ทนายไพศาล" ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ "เกินสัดส่วน" พร้อมแนะผู้ค้าที่ไม่มีเงินจ่ายไม่ต้องกังวล สามารถอุทธรณ์ หรือยื่นเพิกถอนคำสั่งต่อศาลปกครองได้ เพราะเชื่อว่าศาลจะเมตตา ด้านเทศบาลนครปากเกร็ดออกมาชี้แจงว่ายอดปรับ 159,000 บาท มาจาก 3 ฐานความผิด รวมการปรับรายวัน เนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งให้หยุดกิจการ โดยยืนยันทำตามมติของคณะกรรมการจังหวัด และยินดีเปิดให้ไกล่เกลี่ยเพื่อหาทางออกร่วมกัน
จากกรณีพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยขายไก่ปิ้งในพื้นที่เทศบาลนครปากเกร็ด จ.นนทบุรี ต่างตกตะลึงหลังได้รับหนังสือจากเทศบาลให้ไปชำระค่าปรับตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 โดยบางรายถูกเรียกเก็บค่าปรับสูงถึง 90,000-150,000 บาท
โดยฝั่งร้านค้าเผยว่าใช้พื้นที่หน้าบ้านล้างภาชนะและแช่เนื้อที่เตรียมขายเท่านั้น รายได้ต่อวันเพียง 300-500 บาท และต้องหยุดขายไปหลังเจ้าหน้าที่เข้ามาประเมินให้ปรับปรุงตามระเบียบหลายอย่าง ทั้งติดถังดักไขมัน ซึ่งตนก็ได้ติดตั้งแล้ว แต่จะเพิ่มให้ตนต้องสั่งซื้อตู้แช่อาหารแบบเป็นชั้นวาง กับถังดับเพลิง รวมทั้งรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ อีก แต่ตนไม่มีทุนมากพอ เป็นแค่พ่อค้าขายไก่ปิ้งหมูปิ้งเสียบไม้ เหลือกำไรวันละไม่กี่บาท ตนจึงหยุดขายแล้วหันไปเป็นไรเดอร์วิ่งรับส่งอาหารแทน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 21 ต.ค. เพจ "ทนายไพศาลช่วยด้วย" ออกมากล่าวถึงกรณีดังกล่าว ทนายไพศาลแสดงความเห็นต่อกรณีนี้ โดยตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่อาจใช้การบังคับใช้กฎหมายที่ "เกินสัดส่วน" และขอให้ข้าราชการคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ และสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้ทำมาหากินสุจริต
เจ้าตัวเสนอแนะว่า การใช้กฎหมายต้องให้ ความเป็นธรรม และหากผู้ค้ามีการกระทำผิด สร้างความเดือดร้อน หรือมีการสะสมอาหาร เจ้าหน้าที่ควรจะเตือนผู้ค้าก่อนที่จะดำเนินการเปรียบเทียบปรับในอัตราที่สูง พร้อมแสดงความกังวลว่าการปรับคนทำมาหากินสุจริตอย่างหนัก อาจเป็นเหตุให้ประชาชนหันไปเป็นโจรหรือไม่
นอกจากนี้เจ้าตัวยังแนะนำว่า ผู้ค้าที่ถูกปรับและไม่มีเงินจ่ายค่าปรับภายใน 30 วัน ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว หรือต้องรีบจ่ายทันที เนื่องจากมีขั้นตอนทางกฎหมายรองรับ
1. เทศบาลจะต้องไปร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวน
2. เมื่อเรื่องถูกส่งฟ้องต่อศาล ศาลจะพิจารณาจากข้อเท็จจริง ความจำเป็น และเหตุผลต่างๆ โดยเชื่อว่า "ศาลท่านเมตตาอยู่แล้ว" นอกจากนี้ ผู้ค้ามีสิทธิขอทนายความได้ ในกระบวนการยุติธรรม
3. หากผู้ค้าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งปรับ สามารถยื่นคำขอเพิกถอนคำสั่งต่อศาลปกครองได้ภายในระยะเวลา 90 วัน นับจากวันที่ได้รับคำสั่ง
สุดท้าย "ทนายไพศาล" เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐหันไปบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับประเด็นที่มีความสำคัญและสร้างความเสียหายในวงกว้างมากกว่า เช่น การบังคับใช้กฎหมายกับพวกนักการเมือง การช่วยกันปราบปรามสแกมเมอร์ (Scammers) และการจัดการกับรถที่จอดข้างถนนเต็มไปหมด ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหารถติด
ทั้งนี้ พ่อค้าปิ้งไก่และข้าวโพดที่ประสบปัญหา สามารถขอรับคำปรึกษาจากคุณไพศาลได้ฟรี
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่านางปริญดา เชาว์อรัญ รองปลัดเทศบาลนครปากเกร็ด ได้ออกมาชี้แจงถึงที่มาของค่าปรับดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการดำเนินการตามมติของคณะกรรมการระดับจังหวัดนนทบุรี
นางปริญดาเปิดเผยว่า กรณีของผู้ประกอบการรายนี้ มีความผิดรวม 3 ฐาน ซึ่งทำให้ยอดรวมค่าปรับสูงถึง 159,000 บาท ดังนี้
ฐานที่ 1: ประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต (ผิด พ.ร.บ. สาธารณสุข มาตรา 38 และ 72) ปรับ 37,500 บาท
ฐานที่ 2: ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่แจ้งให้หยุดประกอบกิจการ ปรับ 37,500 บาท
ฐานที่ 3: ยังคงดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่องและฝ่าฝืนคำสั่ง ทำให้ถูกปรับรายวัน วันละ 3,000 บาท รวมเป็นเวลา 28 วัน คิดเป็น 84,000 บาท
รองปลัดเทศบาลฯ ย้ำว่ายอดปรับทั้งหมดเป็นไปตามมติของคณะกรรมการระดับจังหวัด ที่พิจารณาจากความรุนแรงและผลกระทบที่ส่งผลต่อสุขภาพและสร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่น โดยเทศบาลไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราค่าปรับ ขอความเห็นใจ ยันทำตามหน้าที่เปิดช่องอุทธรณ์ ไกล่เกลี่ย
นางปริญดากล่าวว่า เทศบาลเข้าใจและไม่สบายใจกับความเดือดร้อนทางการเงินของประชาชน แต่ในฐานะข้าราชการ เมื่อมีผู้ร้องเรียนความเดือดร้อนรำคาญเข้ามา เทศบาลก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ "เทศบาลถือเป็นคนกลางระหว่างผู้ร้องเรียนกับผู้ถูกร้อง การส่งหนังสือแจ้งปรับมีการแจ้งสิทธิให้ผู้ประกอบการสามารถอุทธรณ์ได้หากไม่เห็นด้วย"
นางปริญดากล่าว พร้อมกันนี้เทศบาลยังเปิดโอกาสให้มีการไกล่เกลี่ย โดยเผยว่า จากกรณีร้องเรียนเหตุเดือดร้อนรำคาญกว่า 500 ราย ในปีงบประมาณที่ผ่านมา สามารถไกล่เกลี่ยให้ผู้ประกอบการปรับปรุงแก้ไขและดำเนินการได้ถูกต้องตามระเบียบได้ถึง 485 ราย โดยกรณีที่ต้องถูกปรับสูงในลักษณะนี้เพิ่งเกิดขึ้นเพียง 6 รายแรกเท่านั้น และยืนยันว่ายินดีที่จะไกล่เกลี่ย เพื่อหาทางออกร่วมกันโดยไม่ต้องการมีปัญหากับประชาชน