นักแคมป์ปิ้งแชร์ประสบการณ์สุดระทึก แฟนป่วย "ไข้รากสาดใหญ่" หลังกลับจากสระบุรี มีไข้สูง 41.9 องศาฯ เพ้อ สับสน ตับอักเสบ ต้องเข้า ICU ชี้! ข้อมูลจากผู้ป่วยรายก่อนหน้าช่วยให้แพทย์รักษาได้ทันท่วงที แนะผู้มีประวัติเข้าป่ารีบแจ้งแพทย์เมื่อมีอาการไข้สูง
วันนี้ (18 ต.ค.) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อ "Som Kanjanik" ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวการป่วยด้วย "ไข้รากสาดใหญ่" (Scrub Typhus) ของแฟนหนุ่มในกลุ่ม "จุดกางเต็นท์" เพื่อเป็นอุทาหรณ์และเน้นย้ำความสำคัญของการแจ้งประวัติการเข้าพื้นที่เสี่ยงต่อแพทย์ หลังการแชร์ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของผู้ป่วยรายอื่นได้ช่วยให้แฟนของตนได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด
แฟนหนุ่มของผู้โพสต์มีประวัติไปกางเต็นท์ ณ อ.ชะอม จ.สระบุรี ในช่วงวันที่ 21-22 ก.ย. ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่มีผู้เคยแชร์ประสบการณ์ติดเชื้อไข้รากสาดใหญ่มาก่อน จากนั้นประมาณ 20 วัน (อยู่ในระยะฟักตัวของโรค 6-21 วัน) แฟนหนุ่มเริ่มมีอาการป่วยด้วย ไข้สูง (38-39 องศาเซลเซียส) กินยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลด ตรวจไม่พบไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 หรือไข้เลือดออก และผลเลือดเบื้องต้นไม่พบความผิดปกติใดๆ
อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในคืนวันที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีไข้สูงถึง 41.9 องศาเซลเซียส มีอาการ หนาวสั่นอย่างรุนแรง อาเจียน เพ้อ สับสน พูดจาไม่รู้เรื่อง และหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ แพทย์ไม่สามารถให้ยาลดไข้ได้เนื่องจากตรวจพบภาวะตับอักเสบ จึงต้องนำตัวเข้ารับการดูแลใน ห้องไอซียู (ICU) เป็นเวลา 1 คืน ก่อนที่แพทย์จะพิจารณาให้ยาและแนวทางการรักษาสำหรับไข้รากสาดใหญ่ แม้ว่าผลตรวจเชื้อในเบื้องต้นจะยังไม่ชัดเจนก็ตาม
ด้วยการรักษาที่ตรงจุดทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นตามลำดับและเพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อวานนี้ (17 ต.ค.) โดยแพทย์สรุปผลการวินิจฉัยว่าเป็นไข้รากสาดใหญ่ และให้ยาฆ่าเชื้อกลับไปรับประทานต่อ
ทั้งนี้ โรคไข้รากสาดใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่นำมาโดย ไรอ่อน (Chiggers) ซึ่งมักอาศัยอยู่ในป่าละเมาะหรือพื้นที่ที่มีพุ่มไม้ ผู้ที่ถูกไรอ่อนกัดอาจมีแผลคล้ายรอยบุหรี่จี้ (Eschar) ร่วมกับอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว และมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตับอักเสบ ปอดอักเสบ หรือระบบอวัยวะล้มเหลวได้ หากมีประวัติเข้าป่าหรือพื้นที่เสี่ยงและมีอาการป่วยด้วยไข้สูงผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทางเพื่อรับการรักษาที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิต และควรป้องกันตนเองโดยการสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง