xs
xsm
sm
md
lg

พบ “ปรินซ์ อินเตอร์ฯ” เช่าตึกชิโน-ไทย ลบเว็บไซต์-เฟซบุ๊กแล้ว แต่โร่แจงไม่เกี่ยว “ปรินซ์ กรุ๊ป” ของ “ออกญาเฉิน” เจ้าพ่อสแกมเมอร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พบบริษัทในไทยชื่อ "ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ทำธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ใช้โลโก้เดียวกับ “ปรินซ์ กรุ๊ป” ของ “ออกญาเฉิน” เจ้าพ่อสแกมเมอร์ เช่าตึก "ซิโน-ไทย" เป็นสำนักงาน ชาวไต้หวันถือหุ้น 49% คนไทย 3 คนถือรวม 51% ล่าสุดบริษัทฯ รุดปฏิเสธ ยันเป็นคนบริษัทกันโดยสิ้นเชิง แต่เว็บไซต์-เฟซบุ๊กบริษัทถูกลบไปแล้ว

จากกรณีสหรัฐอเมริกาจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจระหว่างหน่วยงาน เพื่อปราบปรามกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ก่อเหตุหลอกลวงชาวอเมริกันผ่านช่องทางออนไลน์ โดยศูนย์หลอกลวงออนไลน์ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งองค์กรอาชญากรรมชาวจีนมักดำเนินงานร่วมกับรัฐบาลที่มีลักษณะเผด็จการ พร้อมเสนอให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐสามารถคว่ำบาตรบุคคลหรือบริษัทต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าว โดยจะเปิดเผยรายชื่อผู้ถูกพิจารณาอย่างเป็นทางการนั้น

วานนี้ (16 ต.ค. 2568) เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานเพิ่มเติมว่า มีรายชื่อบุคคลต่างชาติ 43 ราย ที่เกี่ยวข้องโดยบางส่วนเคยปรากฏชื่อในสื่อไทยมาก่อนว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับประเทศไทยทั้งทางธุรกิจและส่วนตัวกับบุคคลทางการเมือง
หนึ่งในรายชื่อที่ถูกจับตาคือ นายเฉิน จื้อ (Chen Zhi) หรือ “วินเซนต์” นักธุรกิจเชื้อสายจีน สัญชาติอังกฤษ–กัมพูชา ประธาน บริษัท ปริ๊นซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Group) ซึ่งถูกอัยการสหรัฐประจำเขตนิวยอร์กตะวันออก และแผนกความมั่นคงแห่งชาติของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 เพื่อ ริบทรัพย์สินบิตคอยน์มูลค่ากว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.88 ล้านล้านบาท) ที่เชื่อว่าได้มาจากการฉ้อโกงและฟอกเงิน


อัยการสหรัฐระบุว่า นายเฉิน และผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มปริ๊นซ์ กรุ๊ป ได้สร้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติขนาดใหญ่ในเอเชีย โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองระดับสูงของกัมพูชา อาทิ นายเฮง สัมริน อดีตประธานรัฐสภา นายซอ เค็ง อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย และนายซอ โสกา รองนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน รวมถึงยังเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุน เซน และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มปริ๊นซ์ กรุ๊ป ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยยืนยันว่าเป็นการปลอมแปลงข้อมูลของกลุ่มอาชญากรอื่น
ด้านไทยพีบีเอสรายงานว่า พบเว็บไซต์ที่ใช้ชื่อและโลโก้เดียวกับกลุ่มปริ๊นซ์ ระบุว่าได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในไทยภายใต้ชื่อ บริษัท ปริ๊นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Prince International Co., Ltd.) โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อาคารซิโน–ไทย ทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท 21 (อโศก) เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร


จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 ด้วยทุน 2 ล้านบาท ประกอบธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ มี นายหวัง ยู่ ถัง สัญชาติไต้หวัน เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ 49% ร่วมด้วย นายพิภพ ประทุมวัลย์ 21%, นายปริตวาทย์ กุลศรีสุวรรณ 20% และ นายวุฒิชัย ประทุมวัลย์ 10% โดยงบการเงินปี 2567 แสดงผลขาดทุนสุทธิราว 4.28 ล้านบาท

อย่างไรก็ จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีหน่วยงานของไทยตรวจสอบบุคคที่มีชื่อดังกล่าว และยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทเดียวกับ "ปริ้นซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป" ที่ถูกอ้างถึงในร่างกฎหมายของสหรัฐฯ หรือไม่ โดยข้อมูลของบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ปรากฏอยู่ในระบบของกรมพัฒนาธุรกิจค้าเท่านั้น


ล่าสุด บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ออกคำชี้แจงว่า บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่เช่าอาคาร Sino-Thai Tower ประกอบธุรกิจนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ และเป็นคนละบริษัทโดยสิ้นเชิงกับกลุ่มที่ถูกสหรัฐฯ อายัดทรัพย์ รวมทั้ง ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับกับเช่าตึกอาคาร ซิโน-ไทย หรือเจ้าของอาคาร Sino-Thai Tower แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตว่า เว็บไซต์ของบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (https://princeth.com) ไม่สามารถเข้าชมได้อีกต่อไป รวมทั้งเฟซบุ๊ก “Prince Real Estate International - Thailand | Bangkok” ด้วยเช่นกัน


ขณะที่บริษัท เอช ที อาร์ จำกัด ผู้ให้บริการและดูแลอาคารสำนักงานซิโนไทย ทาวเวอร์ ในฐานะผู้ให้เช่าแก่บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ชี้แจงว่า บริษัทที่ปรากฏชื่อในสื่อนั้น คือ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้มีการเช่าพื้นที่สำนักงานอยู่ ณ ชั้น 7 ของอาคาร ซิโน-ไทย ทาวเวอร์ เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ให้บริการลูกค้าภายในประเทศไทยเท่านั้น โดยในวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ทาง บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้มีหนังสือชี้แจงในกรณีดังกล่าวเผยแพร่ออกมาด้วยแล้ว

บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเรายึดมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส ยึดถือปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นทั้งทางตรงหรือทางอ้อม.




กำลังโหลดความคิดเห็น