จากปัญหาเรื่อง “ปลาหมอคางดำ” ที่ตกเป็นข่าวโด่งดังในช่วงที่ผ่านมา แหล่งข่าวที่คลุกคลีในวงการปลาสวยงามมากว่าสองทศวรรษ ผู้เห็นการเปลี่ยนผ่านของปลาหลายชนิดจาก “ของสะสม” กลายเป็น “ชนิดพันธุ์ต้องห้าม” หนึ่งในนั้นคือ ปลาหมอคางดำ (Blackchin Tilapia) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปลาที่เลี้ยงกันทั่วไปในวงการปลาสวยงาม แต่ปัจจุบันกลับถูกมองว่าเป็นภัยต่อระบบนิเวศของประเทศ
เรื่องนี้ ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า เหตุใดปลาหมอคางดำถึงกลายเป็นปัญหา ทั้งที่ในอดีตเคยถูกเลี้ยงกันอย่างเปิดเผย และควรมีแนวทางใดในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยไม่ทำร้ายทั้งธรรมชาติและผู้เพาะเลี้ยง
1. ก่อนปี 2560: ปลาหมอคางดำเคยเป็นปลาสวยงามที่ไม่ผิดกฎหมาย
ย้อนกลับไปก่อนปี พ.ศ. 2560 ปลาหมอคางดำยังไม่ได้ถูกจัดเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นต้องห้าม แต่เป็นที่รู้จักในชื่อว่า “ปลาหมอสีคางดำ” ซึ่งถูกเพาะเลี้ยงเพื่อจำหน่ายในตลาดปลาสวยงามอย่างแพร่หลาย คนในวงการรู้จักกันดีว่าเป็นปลาที่แข็งแรง เลี้ยงง่าย สีสันโดดเด่น และมีราคาไม่สูงนัก จึงได้รับความนิยมในกลุ่มนักเลี้ยงทั่วไป รวมถึงผู้เพาะเลี้ยงเพื่อการค้าก็ทำกันอย่างเปิดเผยและไม่ผิดกฎหมาย
ในเวลานั้น ยังไม่มีการออกกฎหมายหรือประกาศควบคุมปลาชนิดนี้ ดังนั้นการนำเข้า การส่งออก และเพาะพันธุ์เพื่อจำหน่ายจึงถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในการนำเข้านั้นก็มีทั้งนำเข้าอย่างถูกต้อง และลักลอบนำเข้าตามประสาปลาสวยงามทั่วไป หลายครัวเรือนมีรายได้จากปลาชนิดนี้
2. ปี 2561: เมื่อกฎหมายเปลี่ยน และปลาสวยงามกลายเป็นสัตว์ต่างถิ่นต้องห้าม
ในปี พ.ศ. 2561 มีการออกประกาศภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 (และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) กำหนดให้ “ปลาหมอคางดำ” เป็นสัตว์น้ำต่างถิ่น (Alien Species) ที่ห้ามนำเข้า เพาะเลี้ยง หรือครอบครอง โดยให้เหตุผลว่าเป็นปลาที่แพร่พันธุ์ง่าย แข็งแรง และอาจแย่งพื้นที่หรืออาหารจากปลาพื้นถิ่นของไทย
เมื่อข่าวนี้ออกมา ผู้เพาะเลี้ยงจำนวนมากเกิดความกังวล บางคนไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับปลาที่มีอยู่ในบ่อ หลายคนจึง นำไปปล่อยตามแม่น้ำหรือคลอง เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการ “ระบาด” ของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทย
3. เปลี่ยนชื่อ–เปลี่ยนความเข้าใจ: จากปลาหมอสีคางดำเป็นปลาหมอคางดำ
เพื่อป้องกันความสับสน ภาครัฐได้เปลี่ยนชื่อสามัญจาก “ปลาหมอสีคางดำ” เป็น “ปลาหมอคางดำ” ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เพื่อให้ตรงกับรายชื่อสัตว์น้ำต่างถิ่นที่ต้องห้าม แต่ผลที่ตามมาคือ คนทั่วไปเริ่มมองว่าปลาชนิดนี้ “อันตราย” หรือ “ผิดกฎหมาย” ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมันเคยเป็นปลาสวยงามที่ได้รับความนิยม
ผู้เพาะเลี้ยงจำนวนมากในยุคนั้นจึงรู้สึกเหมือนถูกตัดช่องทางทำกินในทันที บางรายต้องปิดฟาร์ม ขณะที่บางรายยังคงเลี้ยงไว้ในระบบบ่อปิด โดยมองว่าเป็นปลาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ และอาจรอการพิจารณามาตรการเยียวยาจากภาครัฐ
4. ปัญหาที่แท้จริง: ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายและการสื่อสาร
จากมุมมองของคนในวงการปลาสวยงาม ปัญหาปลาหมอคางดำไม่ได้เกิดจาก “ความผิดของผู้เพาะเลี้ยง” เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก ความไม่ต่อเนื่องในการสื่อสารและการเปลี่ยนนโยบายอย่างฉับพลัน
ก่อนปี 2561 ไม่มีข้อมูลเผยแพร่ที่ชัดเจนว่าปลาชนิดนี้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เมื่อกฎหมายประกาศใช้ ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่จึงไม่ทันปรับตัว หรือไม่เข้าใจผลกระทบที่จะตามมา การควบคุมโดยใช้เพียงมาตรการห้ามจึงไม่เพียงพอ และยังทำให้บางส่วนลักลอบเลี้ยงต่อในระบบปิด
5. มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ: บทเรียนและข้อเสนอเพื่ออนาคต
จากประสบการณ์ตรงของแหล่งข่าว ในฐานะผู้เพาะเลี้ยงและผู้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง จึงมีการเสนอแนวทาง 5 ประการ เพื่อให้การจัดการปัญหาปลาหมอคางดำและสัตว์น้ำต่างถิ่นในอนาคตมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ
ข้อเสนอที่ 1: จัดตั้งระบบขึ้นทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงปลาสวยงามที่ปลอดภัย
รัฐควรเปิดช่องทางให้ผู้เพาะเลี้ยงสามารถขึ้นทะเบียนเพื่อแสดงความโปร่งใส เช่น การเลี้ยงในบ่อปิด การควบคุมการแพร่พันธุ์ และมีมาตรการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง วิธีนี้จะทำให้ภาครัฐรู้จำนวนผู้เลี้ยงจริง และลดความเสี่ยงจากการลักลอบเพาะพันธุ์
ข้อเสนอที่ 2: สร้าง “ศูนย์เปลี่ยนสายพันธุ์” สำหรับผู้เลี้ยงปลาที่ถูกห้าม
หากมีปลาชนิดใดถูกประกาศเป็นสัตว์ต้องห้าม ควรมีศูนย์รับซื้อ–เปลี่ยนพันธุ์ หรือแหล่งรับคืน เพื่อป้องกันการปล่อยปลาสู่ธรรมชาติ และช่วยให้ผู้เลี้ยงสามารถเปลี่ยนอาชีพโดยไม่เสียรายได้ในทันที
ข้อเสนอที่ 3: ให้ข้อมูลเชิงวิชาการก่อนออกกฎหมาย
ทุกครั้งที่มีการพิจารณาห้ามเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดใด ควรมีการเผยแพร่ข้อมูลล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ พร้อมเหตุผลทางวิชาการ เพื่อให้ผู้เลี้ยงและประชาชนมีเวลาปรับตัว ลดความสับสนและการต่อต้าน
ข้อเสนอที่ 4: ส่งเสริมอาชีพใหม่จากความรู้เดิม
ภาครัฐและสถาบันการศึกษาอาจร่วมกันจัดอบรมให้ผู้เพาะเลี้ยงปลาสวยงามที่ได้รับผลกระทบ สามารถเปลี่ยนไปเลี้ยงพันธุ์ปลาทางเลือก เช่น ปลาสวยงามพื้นถิ่น หรือพันธุ์ที่ปลอดภัยทางนิเวศ เช่น ปลาหางนกยูง ปลาคราฟ ปลาทอง ฯลฯ
ข้อเสนอที่ 5: สร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ–นักวิชาการ–ผู้เลี้ยง
ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ควรมีคณะทำงานร่วมที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศ นักเพาะเลี้ยงมืออาชีพ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อวางระบบติดตามผลระยะยาว ทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
สรุป: ปลาหมอคางดำคือบทเรียน ไม่ใช่ผู้ร้าย
กรณีของปลาหมอคางดำเป็นตัวอย่างสำคัญที่สอนเราว่า การจัดการสัตว์น้ำต่างถิ่นต้องใช้ “ความรู้ควบคู่กับความเข้าใจ” การห้ามเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่สร้างทางเลือกให้ผู้เลี้ยงและไม่สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ