xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละพวกโลกสวยไร้เดียงสา ฝันหวานใช้แผนที่ LiDAR หลงกลเกมกัมพูชาใน MOU 43

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ชำแหละยิบปัญหา MOU 43 เปิดสมองพวกโลกสวย ฝันหวานว่าจะนำไปสู่แผนที่ใหม่ที่ทำขึ้นด้วยระบบ LiDAR แถมมโนว่า “ฮุนเซน” อยากจะยกเลิกเพราะเขมรจะเสียเปรียบ แต่ความจริงคือ TOR 2546 ได้ล็อกสเปกให้ยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นหลัก และเขมรใช้เงื่อนไขหลายข้อใน MOU รุกล้ำแผ่นดินไทย แถมมีไพ่ลับซ่อนอยู่คือรัฐธรรมนูญกัมพูชาที่จะล้มผลลัพธ์ของ MOU หากกัมพูชาเสียเปรียบ ตลอด 25 ปีไม่มีหลักฐานว่าเขมรอยากยกเลิก MOU มีแต่กอดเอาไว้แน่นหนึบ พอมีข่าวว่าไทยจะทำประชามติเพื่อยกเลิกก็ออกมาคัดค้านทันที



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงปัญหาของ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543” หรือ MOU2543 ว่า จุดเริ่มต้นที่เป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง คือการระบุเอาไว้ใน ข้อ 1(ค) ว่าให้ไทยและกัมพูชาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตามแผนที่สยามอินโดจีน ซึ่งใช้มาตราส่วน 1:200,000


แผนที่ดังกล่าวมีปัญหา 5 ประการ

ประการแรก คือเป็นแผนที่ซึ่งผิดสนธิสัญญา ผิดหลักธรรมชาติลากกินลึกเข้ามาเกินขอบหน้าผาซึ่งเป็นสันปันน้ำของเทือกเขาดงรัก

เฉพาะบริวณช่องบก ถึงช่องสะงำความยาว 195 กิโลเมตร ซึ่งใช้ขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำตามการตกลงระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยไม่เคยต้องมีการจัดทำหลักเขตแดน

แต่แผนที่ดังกล่าวกินพื้นที่เกินขอบหน้าผาจากช่องบกถึงช่องสะงำจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียพื้นที่มากถึงประมาณ 130-140 ตารางกิโลเมตร

ประการที่สอง เป็นแผนที่มาตราส่วนที่มีความหยาบ เฉพาะขนาดความหนาของเส้นมีความผิดพลาดได้ถึง 200 เมตร และไม่สอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์ที่แท้จริง


ประการที่สาม เป็นแผนที่ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่มีการลงนามโดยกรรมการปักปันทั้งสองฝ่าย

ประการที่สี่ เป็นแผนที่ซึ่งเป็น “มูลเหตุ” ที่ศาลโลกใช้ตัดสินคดีปราสาทพระวิหารให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อปี พ.ศ. 2505 ด้วยกฎหมายปิดปาก อ้างว่าเมื่อฝรั่งเศสทำแผนที่ขึ้นแล้ว ฝ่ายไทยมีพฤติกรรมไม่ปฏิเสธ ซึ่งกฎหมายปิดปากแบบนี้ผิดหลักสนธิสัญญา ผิดหลักธรรมชาติ จึงเป็นกฎหมายที่อยุติธรรมสำหรับประเทศไทย


การใช้กฎหมายปิดปากในเรื่องเขตแดนนั้น เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทยประเทศแรก ประเทศเดียว และประเทศสุดท้ายในโลก ซึ่งถือเป็นความอัปยศที่สุด เพราะเป็นความขี้โกงเพียงเพราะฝรั่งเศสและอเมริกาต้องการเอาใจกัมพูชาให้เป็นประเทศประชาธิปไตย ไม่ตกเป็นคอมมิวนิสต์

ทำให้ประเทศไทยไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกศาลโลกอีก แปลว่าไม่มีใครลากไทยขึ้นศาลโลกได้ถ้าประเทศไทยไม่ยินยอม

การที่นำแผนที่ 1 ต่อ 200,000 มาอยู่ใน ข้อ 1(ค) ใน MOU 2543 จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะศาลโลกเคยตัดสินให้มูลฐานกฎหมายปิดปากกับแผนที่ฉบับนี้ อยู่เหนือสนธิสัญญา อยู่เหนือสันปันน้ำ อยู่เหนือหลักภูมิศาสตร์ โดยคำตัดสินของศาลโลกในปี พ.ศ. 2505


เมื่อมาอยู่ใน MOU 2543 เสียเองประเทศไทยก็ย่อมจะเสียเปรียบหากเกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศ

ประการที่ห้า โชคดีของประเทศไทย คือในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 กัมพูชาได้ร้องขอให้ศาลโลกตัดสินตัวแผนที่ และเขตแดนตามแผนที่ด้วย แต่ปรากฏว่าศาลโลกไม่ลงมติตัดสินทั้งแผนที่ และไม่ลงมติตัดสินเขตแดนตามแผนที่ตามที่กัมพูชาร้องขอ คงตัดสินเฉพาะ “ตัวปราสาท” และให้ทหารไทยถอยออกไปจากตัวปราสาท และคืนวัตถุต่างๆ เกี่ยวกับปราสาทให้เขมร ไทยจึงล้อมรั้วเอาไว้รอบๆ ตัวปราสาท

แต่โชคร้ายที่ขนาดศาลโลกไม่ตัดสิน แต่ประเทศไทยกลับยอมให้แผนที่ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำฝ่ายเดียวมาอยู่ใน MOU 2543 เป็นครั้งแรกหลังจากคดีปราสาทพระวิหาร

และแผ่นดินไทยต้องถูกตีความเพิ่มเติมหลังความขัดแย้งในปี 2554 โดยไทยโลกสวยยินยอมรับอำนาจศาลโลกในการตีความอีกครั้ง และต้องถอยเพิ่มเติมในปี 2556

เอกสารเรื่อง MOU 2543 ที่นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ยุค นายชวน หลีกภัย เมื่อมิถุนายน 2543
ตัวอย่างแผนที่ฝรั่งเศสใช้กฎหมายปิดปากประเทศไทย

ภาพแรก คือแผนที่ฉบับเต็มที่เรียกว่า แผนที่ภาคผนวกหนึ่ง ตอนดงรัก (Dângrêk) ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว แผนที่ในตอนดงรักนี้ไม่เคยมีหลักเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส เพราะมีเขตแดนที่เห็นขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำในสมัยรัชกาลที่ ๕ ไม่ใช่มาหาสันปันน้ำใหม่โดยใช้อุปกรณ์สมัยใหม่ให้กินลึกเกินกว่าหน้าผา


เพราะสิ่งนี้ได้เคยเป็นสิ่งที่ตกลงกันแล้วในสมัยรัชกาลที่ ๕

ภาพที่สอง เมื่อเราขยายพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ก็จะเห็นเลยว่าตัวเส้นเขตแดนบนแผนที่ (เป็นรูปกากบาท) กินลึกเข้าไปเกินกว่าขอบหน้าผาซึ่งเป็นสันปันน้ำ และทำให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา และยังทำให้ภูมะเขือเป็นของกัมพูชาด้วย


ภาพที่สาม เมื่อดูอีกแผนที่หนึ่งจะเห็นได้ว่าเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเส้นสีแดง เมื่อสิ้นสุดคดีปราสาทพระวิหาร ศาลไม่ได้ตัดสินรับรองแผนที่ และไม่ได้รับรองเส้นเขตแดนตามแผนที่ ประเทศไทยจึงล้อมรั้วเล็กๆ รอบตัวปราสาทเท่านั้น

แต่เมื่อหลังจากประเทศไทยได้เซ็น MOU 2543 และมี ข้อ 1(ค) โดยบอกว่าให้ไทย-กัมพูชาทำการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทำให้กัมพูชาคาดหวังกว่านั้น ด้วยการยึดแผ่นดินไทยตามแผนที่ฉบับ


และตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา กัมพูชาได้ยึดภูมะเขือมา 17 ปีตั้งแต่ปี 2551 รวมถึงช่องอานม้า โดยอ้างว่าพื้นที่เหล่านี้เป็นของกัมพูชาตามแผนที่ 1 : 200,000 ซึ่งประเทศไทยไม่เคยยอมรับมาก่อน

หลังจากนั้นกัมพูชาก็รุกคืบสร้างถนนจากหมู่บ้านโกมุย สร้างวัดแก้วสิขเรศวรบนแผ่นดินไทยบนเขาพระวิหาร จนกระทั่งเกิดการปะทะกันในปี 2554 กัมพูชาจึงให้ศาลโลกตีความเพิ่มเติมว่าประเทศไทยต้องถอยไปอีกเท่าไหร่


“ท่านผู้ชมครับ คุณทรงฤทธิ์ โพนเงิน ครับ พวกที่ลุ่มหลง หลงใหลคุณอภิสิทธิ์ครับ ตั้งใจฟังให้ดีๆ ซึ่งรัฐบาลไทยสมัยรัฐบาลชุดพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยอมรับอำนาจศาลโลกให้ตีความด้วยการแสดงความเท่ ความหล่อ ไปสู้คดีที่ศาล ทั้งๆ ที่พวกเรา พวกผม พันธมิตรฯ ทั้งหลายคัดค้าน ไม่เห็นด้วย ไปยอมรับอำนาจการตีความได้อย่างไร เราต้องไม่ยอม แต่คุณอภิสิทธิ์ปฏิเสธ และก่อนที่จะเกิดคดีนี้ คุณอภิสิทธิ์ก็แอบเอา MOU  2543 ไปจดทะเบียนเป็นสนธิสัญญากับองค์การสหประชาชาติ ผมชอบใจ คุณอภิสิทธิ์กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งก็ได้ เพราะคุณอภิสิทธิ์จะต้องตอบคำถามพวกนี้ให้กับผม เพราะว่าของผม และของอาจารย์ปานเทพ และของท่านหลายคน นี่คือความจริง เราไม่ได้โกหก” นายสนธิกล่าว

ผลปรากฏว่าในปี 2556 ศาลโลกตัดสินตีความให้ประเทศไทยถอยเพิ่มเติมจนไปถึงเส้นประคือตีนเขาภูมะเขือ ซึ่งก็แปลว่าศาลโลกก็ไม่ได้ตัดสินว่าภูมะเขือเป็นของกัมพูชาด้วยซ้ำ


แต่ในปี 2551 เป็นต้นมากัมพูชาก็ได้รุกยึดภูมะเขือโดยอ้างแผนที่ 1 : 200,000 ซึ่งฝ่ายไทยก็ปล่อยเฉยมา 17 ปี จนกระทั่งพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในเวลานั้นประกาศยึดแผนที่ 1:50,000 โดยยึดขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำตามสมัยรัชกาลที่ ๕ ยึดภูมะเขือ และช่องอานม้ากลับมาเป็นของประเทศไทยในปีนี้ ปี 2568

เอกสารการจดทะเบียน MOU 2543 เป็นสนธิสัญญากับองค์การสหประชาชาติ ในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
TOR 2546 ล็อกสเปกแผนที่ 1:200,000

นอกจาก MOU 2543 จะกำหนดเอาไว้ให้ทำการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามแผนที่ 1 : 200,000 ในข้อ 1(ค) ของ MOU 2543 แล้ว ยังล็อกสเปกเอาไว้ในทุกขั้นตอนในสิ่งที่เรียกว่าแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ของการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี พ.ศ. 2546 หรือที่เรียกว่า TOR 2546

ซึ่งมีการกำหนดที่มีความชัดเจนมากขึ้นว่าให้ดำเนินการในการจัดทำแผนที่โดยใช้พื้นฐานจากแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว

อาจจะทำละเอียดขึ้นแต่ก็ให้ใช้ฐานของแผนที่ซึ่งผิดซึ่งกินลึกเกินกว่าสันปันน้ำและขอบหน้าผาเหมือนเดิม ผมยกตัวอย่างเช่น

ใน TOR ข้อ 1.1.3 ระบุอย่างชัดเจนว่าแผนที่ในการใช้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก จะใช้แผนที่ซึ่งให้เรียกว่า แผนที่มาตราส่วน 1:200,000


ข้อ 4 ได้กำหนดขั้นตอนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนว่า ภายหลังจากขั้นตอนแรกที่จะต้องทำการซ่อมแซมหรือแสวงหา หรือจัดทำหลักเขตแดนที่สูญหายไปแล้ว กลับระบุในขั้นตอนที่ 2 ต่อไปว่าให้ทำแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศโดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 25,000 สำหรับการสำรวจเขตแดน จะต้องเป็นไปตามกฎหมายที่ถูกอธิบายเอาไว้ในข้อที่ 1 ของ MOU ซึ่งก็หมายรวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 อยู่ดี


อันนี้แหละที่เขาเอาเรื่องภาพถ่ายทางอากาศแล้วดูระดับสันปันน้ำที่เขาเรียกว่า เทคโนโลยี LiDAR (หรือ Light Detection and Ranging) ซึ่งมีความละเอียดเทียบเท่าแผนที่มาตราส่วน 1:25,000 ทำให้สามารถสแกนและเห็นภูมิประเทศ LiDAR มาตรวจสอบ โดยอ้างว่าแผนที่จะละเอียดระดับ 1:25,000 แต่พอดูในรายละเอียด กลับล็อกสเปกให้เป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ซึ่งผิดและกินลึกเข้ามาในแผ่นดินไทยอยู่ดี !?!


ในขั้นตอนที่ 3 ยังกำหนดเส้นเขตแดนและบริเวณที่ทำหลักเขตแดน ตามที่ได้สำรวจและทำแผนที่ซึ่งใช้ตามพื้นฐานของแผนที่มาตราส่วน 1:200,000

กัมพูชาอาศัย MOU ข้อ 1(ค) ข้อ 5 และ ข้อ 8 รุกฆาตแผ่นดินไทย

แผนที่ 17 จุดชายแดน จ.ตราด ที่กองทัพเรือเคยออกมาเปิดเผยว่าพบกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทย
ด้วยเหตุผลของแรงจูงใจในการสร้างเรื่องจากแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทั้งใน MOU 2543 และ TOR 2546 ทำให้กัมพูชาจึงทำการรุกฆาต

รุกด้านที่หนึ่ง รุกล้ำแผ่นดินไทยทางกายภาพด้วยพลเรือนและทหารกัมพูชา หากประเทศไทยทำการประท้วงด้วยเอกสาร ก็ไม่สนใจและทำการรุกล้ำต่อไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่า

1. เป็นเส้นเขตแดนของกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งฉวยโอกาสจากการที่ศาลโลกไม่ได้ตัดสินตัวแผนที่ แต่สามารถอ้างแผนที่ซึ่งศาลโลกได้ใช้กฎหมายปิดปากมาตัดสินตัวปราสาทพระวิหารให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา กลับกลายเป็นแผนที่ซึ่งฝ่ายไทยยอมรับเป็นสนธิสัญญาที่ต้องสำรวจและทำหลักเขตแดนปรากฏอยู่ในข้อ 1.(ค) ใน MOU 2543

2. ถือว่าในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตามข้อ 5 ของ MOU 2543 ได้ห้ามเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการห้ามพลเรือนเข้ายึดพื้นที่ของแผ่นดินไทย ทหารเขมรจึงใช้พลเรือนบังหน้ารุกล้ำแผ่นดินไทย สร้างบ้านเรือน และสร้างบ่อน เหมือนที่หนองจาน หนองหญ้าแก้ว จ.ศรีสะเกษ, ท่าเส้น จ.ตราด และอีกเป็นสิบๆ จุด โดย MOU 2543 ข้อ 5 เขียนเอาไว้ว่า

ข้อ 5. เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

ส่วนไทยที่มาสร้างรั้วโดยภาครัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ กัมพูชาก็จะบอกว่าฝ่ายไทยผิดข้อ 5 MOU 2543 ทั้งสิ้น


3. หากเกิดข้อพิพาทใดๆ ก็ให้ใช้แนวทางสันติวิธีตามข้อ 8 ของ MOU 2543 จึงไม่สามารถผลักดันด้วยกำลังทหารได้ จึงทำให้ฝ่ายไทยได้แต่ประท้วงด้วย “กระดาษ” หลายร้อยครั้ง ดังนี้

รุกอีกด้านหนึ่ง หากไทยใช้กำลังทหารผลักดันก็จะอ้างว่าพลเรือนกัมพูชาถูกรังแก ก็จะอ้างเหตุปะทะขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือประเทศที่สามให้มาดูรายละเอียดของ MOU 2543 และ TOR 2546 เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยเป็นฝ่ายยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งได้เคยถูกอ้างด้วยกฎหมายปิดปากอันเป็นเหตุให้ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อปี พ.ศ. 2505

ดังนั้นนี่คือแรงจูงใจของกัมพูชาในการรุกล้ำแผ่นดินไทย เพื่อให้มีเรื่องแล้วเอานานาชาติมาแทรกแซง

ไพ่ที่ซ่อนอยู่ กัมพูชาอาศัยรัฐธรรมนูญคว่ำผลลัพธ์ของ MOU 2543

พวกฝันหวาน โลกสวย ว่าสักวันหนึ่งแผ่นดินไทยที่ถูกเขมรยึดไปจะได้คืนกลับมาเมื่อไทย-กัมพูชาตกลงเขตแดนแล้วเสร็จตาม MOU 2543

ลองคิดตามดูว่า กัมพูชาจะให้แล้วเสร็จทำไม ให้ขัดแย้งไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งยึดแผ่นดินไทยได้นานเท่านั้น และยังสร้างสิ่งปลูกสร้าง กาสิโน จากรุ่นสู่รุ่น และนับวันคนเขมรที่ยึดแผ่นดินไทยก็จะมากขึ้นไปเรื่อยๆ

สมมติว่าให้คนไทยตายใจเดินทางไปกับความเชื่อกัมพูชาแล้วเสร็จสักวันหนึ่ง อาจจะ 50-70 ปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นก็คงเต็มไปด้วยคนเขมรยึดแผ่นดินไทยมากกว่านี้อีกมาก กาสิโนอีกหลายแห่ง


แต่กัมพูชาก็จะคว่ำผลของ MOU ได้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยรัฐธรรมนูญของกัมพูชาเองคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ค.ศ.​ 1993 ได้บัญญัติเอาไว้ใน มาตรา 2 และ มาตรา 55 ดังนี้คือ

มาตรา 2 บูรณภาพแห่งดินแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาจะต้องไม่ถูกละเมิดโดยเด็ดขาดภายใต้เขตแดนของตน ตามที่กำหนดไว้ในแผนที่มาตราส่วน 1:100,000 ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1933-1953 และที่ได้ยอมรับในระดับนานาชาติระหว่าง ปี พ.ศ. 1963-1969

มาตรา 55 สนธิสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ที่ไม่สอดคล้องกับเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ความเป็นกลาง และความเป็นเอกภาพของชาติแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาจะถูกยกเลิก

โดยแผนที่มาตราส่วน 1:100,000 ตามที่กัมพูชากล่าวถึงในมาตรา 2 นั้น เป็นแผนที่ที่ได้จัดทำขึ้นจากการแปลงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 โดยการตรวจสอบและยืนยันอีกครั้งให้เป็นมาตราส่วน 1:100,000

ซึ่งหากไทยหลงเชื่อต่อไปว่าระหว่างที่กัมพูชากำลังรุกล้ำไปเรื่อยๆ จาก 25 ปีกลายเป็น 30, 50 หรือ 100 ปี แต่ก็ไม่เป็นอะไร เพราะวันหนึ่งไทยกำลังมีแผนที่ฉบับใหม่ในมาตราส่วน 1:25,000 ซึ่งในที่สุดก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาของแต่ละประเทศตามรัฐธรรมนูญ ถึงเวลาตอนนั้นเชื่อว่ากัมพูชาก็ล้มกระดานเพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 2 และ 55 ของกัมพูชาอยู่ดี ซึ่งก็ต้องล้มกระดานเพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญกัมพูชา

ถึงจุดนั้นกว่าประเทศไทยจะรู้ตัวว่าถูกหลอกมาหลายสิบปี หรืออาจจะเป็นร้อยปี ก็ต้องสูญเปล่า เพราะถึงเวลานั้นพลเรือนกัมพูชาได้รุกราน ยึดครอง และมีสิ่งปลูกสร้างบนแผ่นดินไทยมานานหลายสิบปีหรือร้อยปีแล้ว

เมื่อถึงเวลานั้นกัมพูชาคงจะมีเงินและอาวุธมากกว่านี้อีกมาก และถึงตอนนั้นประเทศไทยจะแก้ไขสถานการณ์ได้ยากกว่านี้มาก!!!

ตรรกะปิดท้าย กัมพูชามีแต่กอด MOU และแผนที่

มีคนกล่าวอ้างลอยๆ ว่า ฮุน เซนกลัวแผนที่ 1:25,000 LiDAR ที่จะมาแทน 1:200,000 ซึ่งผมได้จับในรายละเอียดแล้ว ไม่เป็นความจริงเลย เพราะหมากกลซ่อนเอาไว้อยู่หลายชั้น และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไมมีแต่ข่าวกัมพูชาไม่ยอมให้ไทยเลิก MOU ฝ่ายเดียว อ้างว่าทำไม่ได้ และมีแต่แถลงอ้างอิง MOU 2543 และให้ไทยยึดมั่นตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000


ข่าวจากเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยอ้างโฆษกกระทรวงยุติธรรมของเขมรออกมายืนยันว่า MOU ปี ค.ศ. 2000 หรือ MOU 2543 ไม่สามารถยกเลิกได้เพียงฝ่ายเดียว

นายเส็ง ดีน่า (H.E. Seng Dina) รัฐเลขาธิการและโฆษกกระทรวงยุติธรรม (กัมพูชา) ได้เน้นย้ำว่า บันทึกความเข้าใจระหว่างกัมพูชาและไทยว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 2543) ไม่สามารถยกเลิกได้โดยฝ่ายเดียว

มาตรา 60 อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 คือทางออก

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ 2568 ทหารกัมพูชาได้ยิงอาวุธจรวดใส่พื้นที่ของพลเมือง โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ อีกทั้งยังมีการวางทุ่นระเบิดทำร้ายทหารไทยอย่างต่อเนื่อง

เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นโอกาสของประเทศไทยที่มีความชอบธรรมอย่างยิ่งที่จะได้ทำการยกเลิก MOU 2543 อันเป็นการยกเลิกสัญญาได้ตามอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 ตามมาตรา 60 ด้วยเพราะมีการละเมิดบันทึกความเข้าใจอย่างรุนแรง ความว่า

มาตรา 60 การยุติหรือระงับการดำเนินการของสนธิสัญญาอันเป็นผลมาจากการละเมิดสนธิสัญญา

“1. การละเมิดสนธิสัญญาทวิภาคีอย่างร้ายแรงโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะทำให้ฝ่ายอื่นมีสิทธิอ้างการละเมิดดังกล่าวเป็นเหตุผลในการยุติสนธิสัญญาหรือระงับการดำเนินการทั้งหมดหรือบางส่วน”


ดังนั้น การยกเลิก MOU 2543 และ TOR 2546 จึงเหมาะสมและชอบธรรมที่สุดในเวลาที่ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดอย่างรุนแรง ยิงอาวุธสงครามใส่ประเทศไทยก่อน ใช้กำลังทหารและพลเรือนรุกล้ำแผ่นดินไทยก่อนโดยเพิกเฉยต่อการประท้วงของฝ่ายไทย เลือกใช้อาวุธสงครามที่ทำลายความเสียหายในวงกว้างโดยไม่มีความแม่นยำ ส่งผลทำให้กัมพูชายิงใส่โรงพยาบาลไทย ยิงใส่ร้านสะดวกซื้อของไทย กัมพูชายิงอาวุธสงครามทำให้พลเรือนไทยผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ต้องอพยพทิ้งบ้านเรือนที่เสียหาย กัมพูชายังวางทุ่นระเบิดใหม่ทำร้ายให้ทหารไทยต้องเสียชีวิต ขาขาด และพิการอย่างต่อเนื่อง มีพฤติกรรมโกหกใส่ร้ายประเทศไทยด้วยข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ และกัมพูชายังเป็นแหล่งอาชญากรรมออนไลน์หลอกลวงที่สร้างความเสียหายให้คนไทยตลอดแนวชายแดนไทย และทำร้ายผู้บริสุทธิ์ในประชาคมโลก

ถึงขนาดว่ากองทัพไทยได้ประกาศจะปิดด่านจนกว่ากัมพูชาจะสิ้นสภาพการเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย จะสร้างรั้วถาวรเพื่อไม่ให้กัมพูชารุกล้ำแผ่นดินไทยอีก และสู้เพื่อปกป้องอธิปไตย ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นว่า MOU 2543 ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว เพราะการสร้างรั้วก็จะทำให้กัมพูชาอ้างว่าฝ่ายภาครัฐไทยเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมละเมิด ข้อ 5 ใน MOU 2543 เสียเอง

อยู่ที่ว่าประเทศไทยจะใช้โอกาสนี้เป็นผู้ประกาศยกเลิกเพราะประเทศไทยเป็นผู้ถูกกระทำ หรือจะให้กัมพูชาชิงตัดหน้าว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายถูกกระทำกันแน่

เมื่อกัมพูชาละเมิดอย่างรุนแรงคณะรัฐมนตรีควรมีมติยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 ในทันที เพราะเป็นการแสดงท่าทีสู่สากลว่าเป็นเรื่องการละเมิดรุนแรงจริงและต้องทำทันที ไม่ใช่สร้างความไม่แน่ใจจึงต้องใช้เวลาและงบประมาณทำประชามติโดยประชาชน และไม่สมควรที่จะยกเลิกในภาวะที่ความสัมพันธ์กลับมาคืนดีกันแล้ว หรือเปิดด่านแล้ว

และเมื่อยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 ก็ให้กลับคืนมาอยู่ที่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาหรือ JBC เหมือนกับการที่ประเทศไทยและกัมพูชามีกลไกทวิภาคีก่อนมี MOU 2543 และกลับมาเจรจากันใหม่หากสามารถเจรจากันได้ตามเงื่อนไขที่กัมพูชาต้องสิ้นสภาพการการภัยคุกคามต่อประเทศไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น