จักรวาลภาพยนตร์เรื่อง ‘ขุนพันธ์‘ ทั้ง 3 ภาค (2559 - 2566) ที่เคยโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม ที่นอกจากจะสร้างความบันเทิงผ่านทางอรรถรสแนวแอ๊คชั่นให้ตื่นตาตื่นใจแล้ว ยังสร้างไอคอนิคและสะท้อนความเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมให้เป็นภาพจำของนายตำรวจตงฉินให้กับผู้ชมได้จดจำถึงคาแรกเตอร์ดังกล่าวเฉกเช่นเดียวกัน
มาในวันนี้ ก้องเกียรติ โขมศิริ กำลังเข็นหนังเรื่องใหม่ของเขา นั่นคือ ‘เสือ‘ ที่เป็นจักรวาลแยกเรื่องใหม่ ที่นอกจากจะเป็นหนังแอ๊คชั่น-แฟนตาซี ให้ตื่นตาตื่นใจกันอีกครั้งแล้ว ก็ยังเตรียมความพร้อมในการเป็นไอคอนิคเรื่องใหม่ และเตรียมสะท้อนเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์อีกด้าน ให้กับผู้ชมได้พิสูจน์กันในโรงภาพยนตร์ในเร็ววันนี้อีกด้วย
อยากให้คุณช่วยเล่าประสบการณ์ส่วนตัวกับหนังแอ๊คชั่นมาพอสังเขปหน่อยครับ
ก็ตั้งแต่เด็กๆ เรียกว่าโตมากับหนังแอ็คชั่น ทั้งในฐานะคนดู เอง ก็เหมือนกับเป็นเด็กผู้ชายทั่วไปที่ชอบหนังแอ็คชั่น ตั้งแต่หนังต่อสู้กันแบบจอมยุทธ เช่นแบบ มังกรหยก อะไรอย่างงี้ ส่วนตัวก็รู้สึก entertain กับการที่สมมุติว่าการได้ชมพลังวิเศษ นึกออกมั้ยครับ อย่างสมมุติว่า เราดูหนังจอมยุทธจีนเนี่ย วิชากระบี่นั่น วิชานู่น วิชานี่ มันมีความเหนือจริงของมันอยู่ แต่ว่าพอเราดูแล้วเรารู้สึกว่า เราหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง มันก็เลยทำให้รู้สึกว่า บางทีหนังแอ๊คชั่น มันทำหน้าที่ escape คนดูได้ในการแบบแน่นอนว่าเรื่องในนั้นน่ะ มันไม่ จริงหรอก แต่ความสุขในนั้นมันจริง เราก็รู้สึกว่า เราประทับใจสิ่งนี้ว่า ต่อให้เรื่องมันจะอภินิหารอะไร แฟนตาซี ใครจะว่าขี้โม้อะไรขนาดไหน แต่ถ้าสิ่งที่มันส่งต่อให้คนดูแล้วมันมีความสุข เรารู้สึกว่ามันก็มีคุณค่าไม่ต่างกันจากหนังที่ทรงภูมิปัญญาดีๆ สักเรื่อง อย่างน้อยมันก็พาเราออกไปจากโลกความเป็นจริงสักพักนึง มันก็เลยมาด้วยวิธีแบบนั้น ชื่นชอบมันมา
แต่ในชีวิตตัวเอง ก็ไม่ได้ทำหนังแอ๊คชั่นอย่างเดียว ก็ไม่ว่าจะดราม่า ผี หรือ งานเขียนบท คือเราเริ่มต้นอาชีพ จากการเป็นคนเขียนบท ไม่ว่าจะเป็นหนังรัก หรือหนังอะไร มันก็เขียนมาทุกประเภท บวกกับที่เราเรียนด้านละครเวที เราก็โตมากับการเรียนเรื่องเช็กเปียร์ หรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งในละครเวที มันก็จะโฟกัสในเรื่องความเป็นมนุษย์ เรื่องของคาแรคเตอร์ มีทั้งดำและขาวของชีวิตคน เพราะฉะนั้น ไอ้มิติสองด้านเนี่ย ถ้ามันมาเจอกันได้ เมื่อเรามีโอกาสทำหนังแอ๊คชั่น แล้วเราเอาสองมิติมาเจอกันได้ เราว่ามันน่าจะดีนะ ถ้ามันมีหนังแอ๊คชั่นซักเรื่องที่มันสามารถพูดถึงมิติของมนุษย์ ของสังคม หรือ ของอะไรได้ มันก็มีคุณค่าเพิ่มขึ้น อัน นั้นมันก็เป็นสิ่งเหล่านี้ไป มันก็เลยทำให้โตมาก็เป็นคนชอบดูงานแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็น action fantasy หรือว่าจะเป็นแบบ realistic และ thrller เรียกว่าดูทุกประเภทครับ แอ๊คชั่น คิวบู๊ องค์บาก ก็เสพหนังแอ๊คชั่นหลาก หลายลีลาครับ (ยิ้ม)
เหมือนกับว่าการคุณบอกมาเมื่อกี้ นอกจากเรื่องความบันเทิงแล้ว มันค่อนข้างจะเอามาประยุกต์ใช้กับงานก่อนหน้านั้น ประมาณอย่างนั้นด้วย
(นิ่งคิด) คืองานแอ๊คชั่น พูดง่ายๆ อย่างงี้ดีกว่า เรามีสิ่งที่เรียนรู้จากการทำหนังแอคชั่นว่า คนกระโดดเตะเนี่ยมันจะดูไม่รุนแรง ถ้าไม่มีคนโดนเตะ เพราะฉะนั้นคือ ชีวิตไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็แล้วแต่ ผลกระทบของชีวิตต่างหากที่มันอธิบายว่าคุณเจออะไร ถ้าถามว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากงานหนังแนวนี้ หรือหนังแอ๊คชั่นให้คุณค่าอะไรกับเรา เราก็ตีมันเป็นเรื่องแบบนี้ เพราะฉะนั้น เวลาเราทำหนัง หรือเราทำอะไรก็ตาม เราก็จะไปที่เรื่องผลของมัน ผลของมันว่า ไอ้สิ่งที่มันทำเหล่านี้ มันเกิดมาจากผลอะไร กับเรื่องกับตัวละครนั้นๆ
เหมือนคุณกำลังจะบอก จากที่คนทั่วไปดูหนังแนวนี้ ได้ความอรรถรส แต่ในมุมของคุณ กลับดูผลของการกระทำของตัวละครทำอะไรระหว่างก่อนหน้านั้นแทน
ใช่ครับ คือมันสำคัญนะ เราว่าหนังที่ดี มันควรจะมีหลาย layer ซึ่งแบบแรก แน่นอนมันก็คือความบันเทิง แต่ถ้าเราให้และเสิร์ฟมากกว่านั้น แล้วมันกลมกล่อมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้ เราก็รู้สึกว่า สิ่งที่เราทำลงไปมันมีมูลค่ามากขึ้น บางคนที่ชอบหนังแนวนี้ ก็ไม่อยากถูกมองว่ามันเป็นความไร้สาระ เรารู้สึกว่าทุกๆ อย่างที่ถูกตัดสินมันก็มีสาระอยู่ในนั้นได้ พูดง่ายๆ ถ้าเป็นยุคเมื่อก่อน คนรุ่นพ่อแม่ของเราก็ชอบว่า ลูกเอาแต่อ่านการ์ตูน แต่เราก็ได้เห็นเยอะแยะว่าการ์ตูนญี่ปุ่น มันมี layer ที่ว่าด้วยเรื่องของวัฒนธรรม และวิธีคิด สังคม วันเวลาอีกเยอะแยะมากมาย แล้ววันนี้ก็จะเป็นเรื่องของเกม ที่พ่อแม่ยุคปัจจุบัน บอกว่า วันๆ เอาแต่เล่นเกม แต่จริงๆ มันมี layer ดีๆ นั้นอยู่ ในนั้นอีกมากมาย ถ้าเราทำได้ในงานชิ้นหนึ่ง ไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหน ในหนังผี หนังตลก หรือ หนังอะไรก็ตาม ถ้ามันมีส่วนนี้ มันก็จะดี
เลยกลายเป็นว่า ผลจากที่ว่ามา มันมีนัยยะซ่อนตรงนั้น
มีอยู่ครับ คือมันมีอยู่ในหนังเกือบทุกเรื่อง หนังทุกเรื่องของเรามันจะมีความเป็นมนุษย์ คือมันอาจจะไม่ได้ถูกพูดออกมาในท่าทีที่ realistic แต่มันมีความเป็นมนุษย์คนนั้นนะ มนุษย์คนนั้นในจักรวาลนั้น ในมิตินั้น เรื่องนั้น แน่นอนว่า สำหรับเรา หนังยังต้องทำหน้าที่พาคนดูไปสู่ปรากฏการณ์ที่มันอาจจะไม่ได้คุ้นชินที่มันเป็นประสบการณ์ที่มันพิเศษกว่านะ เพราะฉะนั้น การพึ่งหาเทคนิค ความหวือหวา ความแฟนตาซี หรือความอะไรเหล่านี้ มันก็ถูกหยิบจับนำมาใช้ เพื่อเป็นทางที่จะไปพูด message บางอย่างที่มันต้องการสื่อออก
จนพอมาได้ทำหนังแอ๊คชั่นเอง ในช่วงแรก มันมีความยากและท้าทายจากแนวหนังก่อนหน้านี้ยังไง
คือหนังแอ๊คชั่น มันท้าทายทั้งหมด มันท้าทายตั้งแต่อุดมคติแรกว่า ‘อย่าทำเลย ทำไปก็สู้ฮอลลีวู้ดไม่ได้หรอก’ คือจุดเริ่มต้นอันนี้ ถ้าเราเลือกที่จะเชื่อแบบนั้น ก็อย่าไปทำจริงๆ มันก็คงไม่มี ถ้าทุกคนเชื่อแบบนั้น เราก็คงคิดว่า คือถ้าทุกคนยังคิดแบบนั้น เราก็คงไม่มี จา พนม (ทัชชกร ยีรัมย์) เราก็ไม่มีหนังเรื่ององค์บาก เราก็ไม่มี หนังเรื่องอินทรีแดง ของพี่วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ที่มันทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา พวกเขาผ่านกระบวนการความท้าทายนี้ไปแล้วแหละ ในแง่ของขั้นตอนที่หนึ่งนะ การต่อสู้กับทัศนคติขอผู้คน ซึ่งผลของมันทำให้เห็นว่า เฮ้ย ถ้ามันดีพอ คนก็พร้อมจะดู
คราวนี้ ในแง่ของการทำงาน คือโดย process ของงานแอ๊คชั่นน่ะ มันยากอยู่แล้ว มันไม่ใช่ หนังที่คน 2 คนนั่งคุยกัน องค์ประกอบของมันไม่ว่าจะเป็นทีมสตั้น ทีมเอฟเฟค ระเบิด ความปลอดภัย การซ้อมต่างๆ หรือในเรื่องเวลาทั้งหมด โดยเฉพาะความยากที่สุดคือเรื่องเวลา เพราะว่า ด้วยขนาดที่มันใหญ่ขึ้น นึกออกมั้ย และ (นิ่งคิด) เราไม่ได้มีเงินแบบฮอลลีวู้ด ถูกมั้ย เพราะฉะนั้น คือคุณก็อยากจะยิงกันแหละ แต่จะทำยังไงถึงจะยังรักษาเวลาได้ ทำให้มันเกิดขึ้นได้ ผมไม่อยากใช้คำว่า แบบแอ๊คชั่นแบบไทยๆ หรือ อะไรก็แล้วแต่ คือไม่อยากไปลิมิตมันน่ะ คือแค่อยากว่าแบบ โอเค กูจะทำด้วยการแม่นยำที่สุดเพื่อที่จะรักษาเวลาให้ได้ คือถ้าถามเรื่องความยาก มันก็รวมถึงเรื่องนี้ด้วยถาม แต่ว่ามันคือความ human น่ะ มันก็พร้อมที่จะมีความ error กันได้อยู่เรื่อยๆ
แต่จุดที่สังเกตอีกข้อ มันคือ การรักษาเวลาโดยความแม่นยำในตรงนั้นด้วย
ใช่ครับ อันนี้มันจึงต้องใช้การฝึกฝนโดยตัวเราเองแหละ คือเรากับทีมที่ต้องประสานกันจริงๆ หรือแม้กระทั่งฝั่งนัก แสดงที่มันต้องแบบ ซ้อมแล้วซ้อม ทำแล้วบ่อย เข้าใจวิธีคิดกันจริงๆ ว่า เฮ้ย เราไปอย่างงี้ นะ เราจะไม่มานั่งเถียงกันหน้างานว่า เอ๊ะ ทำไมมันต้องเป็นอย่างงั้นเป็นอย่างงี้ คือพอแนวทางมันชัดเจน เรา ก็ลุย แล้วทุกคนก็อยู่บนเงื่อนไขเดียวกันว่า เรามีเวลากันเท่าเนี้ย
ก็คือเรื่องเวลาที่ยากที่สุด
ยากที่สุด (เน้นคำตอบ) คือเทคนิคมันเรียนรู้กันได้ นึกออกมั้ย มันฝึกกันได้ ขึ้นชื่อว่า skill มันฝึกกันได้ ทุกอย่าง ทุกคนบนโลก มันถูกดีไซน์ให้ทำได้ในแง่ของทักษะนะ แต่เวลาเนี่ย เป็นเงื่อนไขที่เราไม่มีทางชนะมันได้ ต่อให้คุณเก่งยังไง แต่เวลามันก็มีเท่านี้ เวลามันก็เดินของมันไป อย่าลืมนะว่า วันนี้สิ่งที่มันมี คือเรื่องมนุษย์ และมันมีเรื่องจริยธรรมอยู่ในนั้น หมายถึงว่า จริยธรรมในการทำงาน เช่น เรามีการต่อสู้มาตลอดเวลาว่า หนึ่งคิว มันต้อง 12 ชั่วโมง เราจะไม่ทำงานแบบลากโหนกันจนแบบไปขับรถคว่ำหลับใน ซึ่งมันก็ไม่ใช่ปลายทางที่ดี หรือถ้ามันต้องโหนกันจริง ๆ มันก็ต้องมีค่าตอบแทน คือส่วนเหล่านี้ ค่าตอบแทนเอามาจากไหน มันก็เอามาจากงบรวมนั่นแหละ เพราะฉะนั้น งบรวม แทนที่เราจะไปขยายวันถ่ายเพื่อให้เราเกิดเวลาได้ แต่เวามันจึงไม่เคยขยายขึ้น เพราะว่างบมันมีอยู่เท่านี้ ซึ่งก็คือเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ ถาม ว่าทุกคนก็สู้กันทุกอย่าง ทุกอย่างของเรา หมายถึงว่า มันไม่ใช่ผู้กำกับฯ คนเดียวที่สู้กับเรื่องเวลา แต่ก็รวมไปถึง โปรดิวเซอร์ สตูดิโอ นักแสดง ทั้งหมด แต่ว่าความยากที่สุดก็คือเรื่องเวลา
หรือแม้กระทั่งเรื่องของ skill เนี่ย สมมุติว่าฉากแอ๊คชั่นของหบังต่างประเทศ เรามีทีมสตันท์แมน สมมุติว่าเป็นเรื่อง mission impossible มีตัวแสดงแทนของ ทอม ครูซ ทั้งหมด 4 คน คนนี้ทำแบบนี้ ส่วนอีกคน เหนื่อยลงนั่งพัก อีกคนนึงมาเสียบปึ๊บ ทุกอย่างพวกนี้มันคือเวลา แต่เราไม่มีแบบเขา เผลอๆ ของเราเนี่ย นักแสดงแทนที่เล่นแทนของคนๆ หนึ่ง จะต้องไปเล่นแทนเพิ่มอีกคนๆ หนึ่งด้วย คือมันก็เป็นเรื่องของเงื่อนไข
เลยกลายเป็นว่าเรื่องของเวลา กลายเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด เพราะว่าต้องใช้เวลาให้มันคุ้มค่ามากที่สุด
ใช่ครับ คือเราจะใช้เวลาได้คุ้มค่ามากที่สุดได้ยังไง ก็คือเราต้องแม่นยำที่สุด ค้องแม่นยำทุกฝ่าย ฝึกซ้อมให้ดี เพื่อไปถึงหน้างาน แล้วเราจะใช้เวลาให้มันแม่นยำที่สุด แม้กระทั่งต่อให้เรามีการวาง แผนให้แม่นยำที่สุด แน่นอน คนมันมีเป็นหลายร้อยคน มันก็มีความผิดพลาดได้ ซึ่งโอเค ตรงนั้นมันก็เป็นเรื่องขอหน้างานแล้ว มันก็ต้องแก้ปัญหากันไป
แต่ว่าในที่สุดแล้ว ในงานแอคชั่นที่ผ่านมา กลายเป็นว่า ก็ค่อยๆ เรียนรู้ กันไป
ใช่ครับ คือมันก็โตขึ้นเรื่อยๆ เอาอย่างงี้ ประสบการณ์ มันก็เป็นอีกหนึ่งใน skill ว่า โอเค วันก่อน เรารู้ว่ามันเป็นอย่างงี้นะ รู้ว่าแบบ เฮ้ย ระยะแบบนี้ บางทีเราต้องพึ่งพา CGI แล้ว อย่าไปยิงจริงนะ มันอันตรายนะ หรือ กระสุนแบบนี้ มันควรใช้แบบนี้นะ หรือการวางแผนในซีนที่อันตราย เราควรจะต้องทำแบบนี้นะ 1 2 3 4 5 เป็นต้น ทำให้เราก็มีประสบการณ์ขึ้น
จากจักรวาลขุนพันธ์ทั้ง 3 ภาคที่ผ่านมา โดยรวมตอบโจทย์ส่วนตัวของคุณในเรื่องการสร้างหนังแอ๊คชั่น ได้พอสมควรรึยัง
มันก็พอสมควรในแง่ของการสร้าง ถ้าถามว่าโจทย์เริ่มต้นของมันคือ เราพยายามจะสร้าง iconic ให้กับหนังไทย มันก็ทำwด้ เพราะว่ามันก็เกิด การจดจำในตัวละคร ขุนพันธ์ ขึ้น คือมันเป็นโจทย์ที่เรากับทางสตูดิโอ คุยกันด้วย ทำไมทางค่ายสหมงคลฟิล์มถึงเลือกเรา ก็ต้องบอกว่า ทางค่ายนี้เป็นสตูดิโอที่สร้าง iconic พวกนี้มาตลอดเวลา ไม่ว่าจะตั้งแต่ ตัวละครหลัก หรือ คาแรกเตอร์ ผู้กององอาจ ใน 7 ประจันบาน หรือ ไอ่ทิ้ง ใน องค์บาก ซึ่งเรามองว่ามันเป็นเสน่ห์ของวันเวลา และมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายๆ เพราะหนังบางเรื่อง มันผ่านมาแล้วมันก็ผ่านไป แต่หนังบางเรื่อง มันก็ทำให้เรายังจดจำตัวละครตัวนั้นๆ อยู่ อย่างทางค่ายสหมงคลฯ เขาก็ทำในลักษณะนี้ ก็คือการสร้าง iconic เหล่านี้ขึ้นมา
ส่วน ขุนพันธ์ มันก็ได้สร้างเส้นทางของมัน สร้างตัวละครแบบนั้นขึ้นมา หรือว่า ในเรื่องการทำในวิธีคิดที่ว่ามันไม่ได้เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงหรือบุคคลจริง มันมีความเป็นแฟนตาซี มันเป็นเรื่องราวที่มาผ่านมุมของไดคเตอ dilector แล้วก็สร้างจักรวาลมันขึ้นมาได้ ซึ่ง ขุนพันธ์ มันก็ทำได้ จนตอนนีมันเป็น เสือ ซึ่งเสือก็ไม่ใช่ขุนพันธ์ เพราะฉะนั้น เสือ จะไม่ได้อยู่ในร่มเงาของ ขุนพันธ์ มันอาจจะอยู่ในท่าที ของความเป็น แอ๊คชั่น-แฟนตาซี ที่เราเคยกรุยทางกันมานี่แหละ แต่เสือก็ไม่ใช่ตำรวจไง เพราะฉะนั้น เสือ ก็ มีทีท่าหรือวิธีการทำอีกแบบ การดีไซน์ การออกแบบ direction ที่มันเป็นอีกแบบหนึ่ง เรารู้สึกว่าเช่นกัน วันนี้มันเสร็จ mission ขุนพันธ์ แล้ว มันคงเป็น mission ต่อไปที่คือ การสร้าง iconic เสือ กลุ่มนี้ขึ้นมา คิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ได้ และมันยังคง entertain อยู่ ยังมอบความสนุกให้กับคนดูได้ ความประทับใจให้กับคนดูได้ เราว่ามันก็คุ้มค่า
มันเหมือนกับว่า จักรวาลขุนพันธ์ คือรวมองค์ประกอบทุกอย่างของความแอ็คชั่นแบบก้องเกียรติ ประมาณนั้นมั้ย
คือก็ไม่อยากใช้คำว่า แอ๊คชั่นนะ เรียกว่าเป็นกิ่งสาขานึงของก้องเกียรติแล้วกัน เราหก็ไม่ได้กำหนดตัวเองขนาดนั้น คือใน direction น่ะ มันมีหลายมิติ หลายวิธีการ อันนี้มันเป็น painting นึงแล้วกัน แต่ถ้าถามส่วนตัว เราก็อยากมี แอ๊คชั่น ที่มันแตกต่างแบบนี้ในหนังเรื่องอื่น มันอาจจะ reallistic ขึ้น มัน อาจจะจริงขึ้น คือไม่อยากทำให้ว่า แอ๊คชั่น มันมีอยู่มิติเดียว คือการทำหนังแอ๊คชั่น มันก็มีหลาย layer เหมือนกันนะ
คือจักรวาลขุนพันธ์ มันก็เป็นอีกสาขาหนึ่งของหนังแอ๊คชั่นแบบหนึ่ง
ใช้คำว่าเป็นรูปแบบหนึ่งที่เราสร้างมันขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้บอกนะว่ามีแค่รูปแบบเดียว ซึ่งแน่นอนแหละ มันก็มีกลิ่นอายรสชาติความเป็นตัวเรา มันก็อยู่ในทุกชิ้นงานแหละ อย่างลายเส้นทั้งหมดที่เวลามันทำออกไป มันปฏิเสธไม่ได้หรอก ว่า คือของพวกนี้ บางทีมันเป็นเรื่องของรสมือ มันเป็นแบบนั้น
ทีนี้ในมุมมองแอ๊คชั่นรูปแบบใหม่กับ เสือ ครับ
อธิบายอย่างงี้ดีกว่า ขุนพันธ์ เขาเป็นตำรวจ มีบุคคลตัวตนจริง ความเป็นตำรวจ คาแรคเตอร์เถรตรง ดุดัน มันทำให้การออกแบบ direction แอ๊คชั่น หรือกลิ่นอายบรรยากาศ รสชาติของเรื่อง มันจะค่อนข้างเข้มข้น ห่ำหั่น ดุเดือด ดิบ ต่อสู้กัน เพราะว่ามันต้องการอธิบายว่า คนตงฉินต้องไปเผชิญหน้ากับความเป็นเสือสาง หรือว่าความอยุติธรรมต่างๆ นานา เขาจะต้องลุยกับมันได้ยังไง การต่อสู้ทางอุดมการณ์ เขาจะต้องลุยกันได้ยังไง อันนั้นมันเป็นท่าทีแบบหนังแบบนั้น มันจึงให้ความตี่งและความเครียด
แต่ เสือ มันเป็นอีกแบบ เสือคือมันไม่มีกฎตำรวจไง เพราะฉะนั้น เสือ มันมีความอิสระกว่า มันผ่อนคลาย และ อาจจะเป็นความ chaos มากกว่า มีความไม่ได้เป็นเส้นเดียว เพราะความเป็นเสือเป็นโจร มันพร้อมจะหักหลังกันเมื่อไหร่ก็ได้ และความพลิกไปมา หรือคาแรคเตอร์ของแต่ละคน มันก็มีเหลี่ยมมุมที่มันกว่า อธิบายง่ายๆ ก็คือเหมือนว่า กัปตันอเมริกา ก็แบบหนึ่ง ท่าทีการนำเสนอมันก็แบบนึง แต่พอเขาทำ Guardian of Galaxy มันก็อีกแบบหนึ่ง ถามว่ามันอยู่ในจักรวาล Marvel ด้วยกัน คือมันก็อยู่ ไง แต่พอมันเป็นอีกกลุ่มนึง มันก็จะเป็นอีกวิธีการนึง เสือ มันก็เป็นลักษณะแบบนั้นแหละ
เผลอๆ ก็ คล้ายๆ เหมือนแกงสเตอร์ฮ่องกง
ก็มีความแบบนั้น เพียงแต่ว่า มันไม่ใช่หนังที่ไปยกพวกตีกันไง คอนเซปต์มันคือโจรทุกคน มันมีค่าหัว แล้วไอ้ค่าหัว เมื่อมันมีราคา มันไม่ใช่แค่ตำรวจ มาล่าฆ่าหัวโจร โจรมันก็ล่าฆ่าหัวกันเอง มันก็วุ่นอีรุงตุงนังกัน ว่ามันจะยังไงวะ แล้วคราวนี้ mission มันคืออะไร ก็ต้องไปดูในเรื่อง (ยิ้ม)
แล้วการทำงานเรื่องนี้กับ ผู้กำกับคิวบู๊ พี่ท็อป-วีระพล มีโจทย์แตกต่างจากเรื่องก่อนหน้ายังไงบ้าง
คงเป็นเรื่องเทคนิค คือเราก็พยายามหาเทคนิคของการทำงานแอ๊คชั่นในแบบใหม่ๆ เข้ามา เรื่องอุปกรณ์ เรื่องเทคนิค คิวแอ๊คชั่น และทำยังไงให้ได้ใช้นักแสดงจริงเล่นเองให้ได้เยอะที่สุด ในคิวที่มันยังคงสนุกสนานเนี่ยแหละ แต่จะทำยังไงเราถึงจะให้คนดูได้เห็นนักแสดงจริงเล่นเองให้ได้มากที่สุด ก็เป็นเรื่องแบบนั้นด้วย ในขณะเดียวกัน มันไม่ใช่แค่คิวนักแสดง กับ คิวแอ๊คชั่น แต่มันรวมถึงคิวกล้องด้วย ซึ่งกล้องเรื่องนี้ มันก็จะทำหน้าที่ในการต้องซ้อม กล้องต้องซ้อมคิวกับการถ่ายทำกันตั้งแต่ช่วง Workshop ว่าเมื่อเขาเตะมาถึงตรงนี้ เราต้องการให้ภาพมันทำหน้าที่นี้ไปถึงตรงนี้ คือมันจะเล่าเรื่อง dynamic ของมันไปเรื่อยๆด้วยกันของทุกเส้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแอ๊คชั่นบู๊ แทนที่จะบู๊ เตะต่อยกันไปเรื่อยๆ เราก็จะไล่ level ของ mood ว่าไอ้นี่ไปทำไอ้นี่ มันจึงตามเหตุปัจจัย เมื่อเกิดเหตุนี้ มันไปส่งผลไอ้นี่ แล้วมันก็ไปเกิดไอ้นี่ ในคิวแอ๊คชั่นจึงไม่ใช่กายกรรม แต่เรื่องมันต้องเดินด้วย direction มันต้องเดินด้วย แต่มันจะเดินได้ไง มันจะตื่นเต้นยังไง มันก็ต้องทำงานสอดประสานกันหมด กล้อง ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นมันก็ท้าทายขึ้นตรงนี้ ในแง่ของว่า เราก็ไม่ใช่แบบว่า เอะอะ เราจะถ่ายมาสเตอร์ ทำคิวมาซ้อมคิวกัน ถ่ายมาสเตอร์แล้ว เราก็เจาะกล้องเข้าแคบ อันนี้มันก็จะเริ่มซับซ้อนขึ้นอีกด้วยเทคนิคใหม่ๆ แต่ว่ามันก็สนุก ท้าทายคนทำ ยากขึ้นไปเรื่อยๆ ไป เขาหาว่าเราหาเรื่องไปเรื่อยๆ (หัวเราะเบาๆ)
แต่เทคนิคตรงนี้ มันต้องนัดแนะกันพอควรเลยนะครับ
นัดนะ (ตอบทันที) พลาดนิดเดียวก็หัวแตก สุดท้ายซ้อมกันยังไงก็หัวแตกถึงเลือด ถามว่ามันมีอุบัติเหตุมั้ย มันก็เกิดขึ้นจนได้ แบบจังหวะคนมันรุมกัน แล้วเข้าผิดนิดเดียว จนสันปืนเกี่ยวปากกัน มันก็เละแล้ว แต่โดยรวมไม่บ่อย ก็ถือว่านี่โชคดีนะ ซึ่งนี่คือข้อดีของการที่เราซ้อมนะ มันเลยเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ในการถ่ายทั้งเรื่อง แต่ถ้าเราไม่ซ้อมเลย มันอาจจะเละเทะไปกว่านี้ แล้วเราอาจจะไม่ได้ภาพอย่างที่เราอยากได้ด้วย คือมันเกิดขึ้นครั้งนึง มันก็ไม่ควรให้เกิดขึ้นหรอก แต่มันก็คืออุบัติเหตุ เรียกว่าเป็นความผิดพลาดที่ยอมรับได้
แต่สุดท้ายการทำงานของหนังเรื่องนี้ มันก็ flow ราบรื่นดี
flow นะ เพราะเรารู้สึกว่า ความแอ๊คชั่นของหนังเรื่องนี้ ไม่ได้ลดหย่อนลงไปเลย แต่เรียกว่าแทบจะเยอะขึ้นด้วยซ้ำ เรียกว่าไม่ได้ลดหย่อนไปกว่า ขุนพันธ์ 3 หรืออะไรที่เคยทำ แต่เรารู้ตัวเลยว่า เป้ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) ยังบอกเราเลยว่า หรือว่าการทำงานในเรื่องนี้พี่โขมชิลขึ้น คือมันคุ้นชินกับ จังหวะต่างๆ กลิ่น ระเบิด มันบรรลุแล้ว แต่เราจะเอามันอยู่ยังไง เพราะฉะนั้นมันจะไม่แบบล่ก แต่มันจะโอเค ค่อยๆ รู้แล้ว 1 2 3 4 มันก็จะมีสเต็ปของมันอยู่ หรือการไม่ประสาทแตกกับการที่สมมุติเราเราจะทำสิ่งนี้แล้วเราไม่ได้ เราก็ไปต่อได้โดยอีกทางนึง โดยไม่มานั่งจมจ่อมอยู่กับไอ้สิ่งที่มันพลาดไป มันก็ทำให้ทุกอย่างมัน flow
การเปลี่ยนถ่ายเนื้อหาโดยภาคนี้ที่มีโจรเป็นตัวนำ คุณกำลังจะสะท้อนว่า ต่อให้เป็นโจร มันก็มีอารมณ์ทุกด้านของมนุษย์ด้วยมั้ย
ใช่ครับ จริงๆ เสือมันก็คือมนุษย์ แต่ทำไมถึงต้องเป็นโจร โจรมันก็มีหลายประเภท ไอ้พวกแค่ปล้นเขาอย่างเดียวก็มี หรือแบบปล้นคนรวยแล้วเอาไปให้คนจน สมัยก่อนมันก็มี อย่างคำว่า เราจะปล้นความเป็นเรากลับคืนมา เพราะฉะนั้นมันก็มีที่มาที่ไปว่า ใครปล้นใครกันก่อน บางทีความเป็นมนุษย์ของเราอาจจะถูกปล้น เราจึงต้องลุกเป็นโจรเพื่อที่จะไปต้นความเป็นของเราคืน มันก็มีมิติที่มันจะไปได้ คือคนทั่วไปอาจจะมองโจรว่าเป็นด้านเดียว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วนะ แต่มันจะเป็นเรื่องว่าไม่มีใครอยากที่จะเป็นเสือหรอก
อย่างเรามีลูกสาว คุณหมอเคยพูดกับลูกว่า การที่ลูกกลัวเสือนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะเสือมันไม่ใช่แมว มนุษย์ควรรู้ว่าอะไรน่ากลัว ไม่ใช่ว่าพอไปเล่นด้วยแล้วมันจะมีนิสัยน่ารักและเป็นสิ่งที่ดีขึ้นมา มันก็ไม่ใช่ เพียงแต่ว่ามันอาจจะมีเหตุและผลที่เขาต้องกลายเป็นแบบนั้น ถ้าพูดว่าโจรคนดี มันก็ยังอันตรายต่อสังคมอยู่ดี เพราะฉะนั้นทั้ง 4 คนนี้ในหนังก็ไม่ได้บอกว่าเป็นคนดีนะ มันก็ไม่ได้พยายามมาโปรว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นฮีโร่ มันก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ไม่สนคนอื่นอยู่เหมือนกัน คือโจรก็ยังเป็นโจร ยังมีความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ซึ่งไม่ใช่พยายามที่จะบอกว่านี่คือคนดีนะ แต่มันก็ยังมีบทเรียนของเขา เพียงแต่ว่ามันก็ยังมีคนที่เลวกว่า
อีกด้านหนึ่ง ก็สะท้อนถึงหน้าที่ของมนุษย์ในทุกอาชีพ เช่นเดียวกัน
ต้องเรียกว่าเป็นการที่ลุกขึ้นสู้ดีกว่า เสือแน่นอนว่าจะต้องพูดในเรื่องของการลุกขึ้นสู้และการปล้น และจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ คือทุกคนก็ต้องทำตามหน้าที่แหละ แต่มนุษย์มันไม่ได้มีแค่เฉดเดียวไง คนมันก็ไม่ได้มีแบบขาวจัดกับดำจัด ซึ่งตรงเฉดนี่แหละ ที่มันสร้างความวุ่นวายให้กับมนุษย์เรา ต่อให้เป็นคนดี หรือว่านักการเมือง มันก็ถูกเขียนมาตั้งแต่ในบทภาพยนตร์แล้ว ที่ตัวละครจอมพลพูดกับเสือฝ้ายประมาณว่า คุณนี่คิดเหมือนนักการเมืองเข้าไปทุกทีแล้วนะ แล้วเสือฝ้ายก็ตอบกลับจอมพลว่า นักการเมืองกับโจรนี่คิดเหมือนกันแล้วหรอครับ ซึ่งประโยคนี้ก็อธิบายความเป็นหนังเรื่องนี้เลยว่า บางทีคำว่าปล้น มันมีอยู่หลายแบบ อย่างใส่สูทปล้น ปล้นทางนโยบาย หรือปล้นทางจิตวิญญาณ ปล้นความเป็นคน แล้วไอ้ความเป็นเสือ มันก็กระตุ้นกลับมาว่า เราเป็นเสือเมื่อเราลุกขึ้นสู้ เราเป็นเสือเมื่อเราไม่ยอมให้เขาเอาเปรียบ เหมือนใครที่เราบอกว่าสวมหัวใจสิงห์ คำว่าบางครั้งถ้าเราเป็นกระต่าย เราก็จะเป็นเหยื่อ เขาก็จะเป็นผู้ล่า แต่ถ้าวันนึง เราเป็นเสือ เราอาจจะต้องลุกขึ้นล่าบ้างแล้วนะ มันก็คือสิ่งที่หนังพูดถึง
ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีจะก้าวหน้าขึ้น แต่ก็ยังมีอคติที่ว่า ซีจีบ้านเราก็ยังตามหลังที่อื่นอยู่ดี ทุกวันนี้คุณมองเรื่องนี้ยังไงบ้าง
CG ก็เป็นมนุษย์แบบเดียวกับเราๆ นี่แหละ ว่าเขาอยู่ด้วยเงื่อนไข ทั้งหมดมันเป็นเหตุปัจจัย อย่าไปพูดเรื่อง skill ในฮอลลีวูด มีคนไทยทำเพียบเลยนะ เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่เรื่องของชนชาติหรือของใคร นึก หรือ คุณรู้มั้ยว่าที่ฮอลลีวูด หรือ เมืองไทย หรือ ประเทศไหน หนังในโลก แทบจะ 70% บนโลกนี้ เขาส่งไปทำ CGในฟาร์มที่อินเดีย คือมันไม่ใช่เรื่องของใคร แต่มันเป็นเรื่องของเวลา และเรื่องของเหตุปัจจัยทั้งหมด
คุณมีเงินแค่ 3,000 บาท แต่จะไปซื้อนาฬิกาโรเลกซ์ได้ที่ไหนล่ะ มันไม่ได้ใช่มั้ย แต่วิธีการทำไง ถ้าคุณอยากได้ คุณไปซื้อมีดแล้วไปปล้นเขา อันนี้คือได้ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น คุณจะไปคาดหวังอะไรว่าถ้าคุณมีเงินให้เขา 3,000 บาท แล้วคุณจะบอกว่ามาตรฐานโลกมันมีแบบเดียว โอ้โห ยังคิดเรื่องแบบนี้อยู่อีกเหรอ มันไม่ได้สิ มันขึ้น อยู่กับเหตุปัจจัย ง่ายๆ เลย คุณมีเงินเท่านี้ แล้วคุณจะกินอาหารให้มันได้เลิศหรูสเต็ก จานละพัน ได้ ยังไงล่ะ แล้วคุณจะมาบอกว่า เฮ้ย เราทำสเต็กสู้เขาไม่ได้หรอก เราก็เห็นคนไทยเหล่านี้เห็นมาเยอะแล้ว บางคนก็เก่งกว่าด้วย สรุปแล้วมันก็คือเหตุปัจจัยไง
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : สหมงคลฟิล์ม