xs
xsm
sm
md
lg

เรียนรู้-ดูแล-ใส่ใจ ยลผลงานนักจัดสวนในตู้ ‘พลานนท์ จันทร์เซียน’ แห่ง Curve Studio

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


‘พลานนท์ จันทร์เซียน’ ผู้ก่อตั้ง Curve Studio


“…ตู้ที่ใหญ่ขึ้น งานระบบก็มากขึ้นด้วย การติดตั้งงานระบบ การทำงานของมัน ค่าแสงที่เหมาะสม อุปกรณ์ที่คุณจะใช้
พันธุ์ไม้ที่คุณต้องมี ความรู้ในการเลือกสิ่งเหล่านี้จะสอดคล้องกันเป็นเส้นใยแมงมุม มันจะConnect มันจะRelate กันทั้งหมดเลย…ลักษณะป่าที่คุณชอบก็เกี่ยวโยงกับ Layout ที่คุณต้องจัด มันจึงเป็นศาสตร์ที่รวมกันหลายๆ อย่าง”

“ตู้ประเภท Vivarium ไม่ได้ตามใจคนจัด แต่ตามใจ ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่เราให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ เช่นคุณจะเลี้ยงกบหรือกิ้งก่าก็ตาม ไม่ว่าคุณจะจัดเป็นป่าดิบชื้นหรือเป็นทะเลทราย แต่เมื่อคุณจัดด้วยความคำนึงถึงสิ่งมีชีวิตในตู้ที่สุด นั่นก็จะถือเป็น Vivarium ซึ่งมันค่อนข้างคลุมเครือ บางคนจึงเรียกเป็น Paludarium หรือ Terrarium ก็ไม่ได้ผิด แต่ในศาสตร์ ในรายละเอียดจริงๆ เมื่อพบว่าจัดสวนนี้ขึ้นมาเพื่อสิ่งมีชีวิตแล้ว ก็จะถือว่านั่นคือ Vivarium”

“…สำหรับผู้สนใจทำงานประเภทนี้นะครับ พยายามไม่ Fail กับตัวเองเมื่อมันไม่รอด เมื่อตู้หรือขวด ไม่รอด เมื่อเกิดเชื้อรา หรือตาย แต่คุณต้องไปศึกษาเรื่องค่าแสง อุณหภูมิห้องที่เหมาะสม ความชื้นที่เหมาะสมเพิ่มเติม บางชิ้นงาน มันอาจจะมีทั้งดีและไม่ดี บางอันอาจจะรอดแล้วไปตายตอนหน้าร้อนก็มี เพราะอากาศเปลี่ยน เราก็ต้องพยายามอยู่กับตัวเองให้ได้ว่าลองใหม่ เมื่อประสบภาวะนี้ แล้วคุณไม่ได้ท้อ จึงจะบอกได้ว่าคุณเริ่มชอบมันจริงๆ แล้วคุณสามารถทำต่อไปได้”



พันธุ์ไม้ต่างๆ ที่ได้รับการจัดเรียงอย่างมีมิติ ราวกับผืนป่าในขวดแก้วใบย่อมจนถึงตู้กระจกใบใหญ่ การรังสรรค์สวนเหล่านี้ขึ้นมา ดูราวกับงานศิลปะชิ้นหนึ่งก็ว่าได้ ความชุ่มชื้นของผืนป่าจำลองขนาดเล็กที่ปรากฏตรงหน้า ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ปลุกสำนึกรักษ์และชวนให้ใกล้ชิดธรรมชาติได้มากกว่าเคย

Terrarium, Paludarium, Vivarium ประเภทต่างๆ ของสวนในตู้ สวนขวด ที่น่าเรียนรู้, กระบวนการทำงานอันละเอียดลออ,
การคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่ล้วนส่งผลต่อพันธุ์ไม้และสิ่งมีชีวิตในตู้ ไม่ว่า ค่าแสง อุณหภูมิ ขนาดของตู้หรือขวด
ค่าความชื้น หมอก การให้น้ำ ความแตกต่างกันของพันธุ์ไม้แต่ละชนิด และสิ่งสำคัญคือ การใส่ใจดูแล การศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ 

ทั้งหลายทั้งปวง คืองานจัดสวนในตู้ สวนขวด ที่ชายคนหนึ่งหลงรักและใช้ชีวิตอยู่กับงานแขนงนี้มานานหลายปี และมั่นใจว่ามันคืองานที่เขาสามารถทำได้อย่างมีความสุขไปอีกยาวนาน

‘พลานนท์ จันทร์เซียน’ ผู้ก่อตั้ง Curve Studio
ผู้จัดการออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษ ‘พลานนท์ จันทร์เซียน’ ผู้ก่อตั้ง Curve Studio ถึงทุกประเด็นที่กล่าวมา

‘พลานนท์ จันทร์เซียน’ ผู้ก่อตั้ง Curve Studio
ความเป็นมา Curve Studio

ก่อนก่อตั้ง Curve Studio อย่างเป็นทางการ พลานนท์เล่าว่า เดิมที เขาไม่ได้คิดจะทำสายงานนี้เลย แต่เผอิญในช่วงหนึ่งของชีวิต เขามีภาวะที่รู้สึกว่าแม้จะทำงานอื่นเป็นงานหลักอยู่แล้วแต่เครียดมาก จึงหางานอดิเรกทำไปเรื่อยๆ อาทิ ลองไปปั้นเซรามิก ปั้นปูน ทำงานไม้ ทำงานอื่นๆ แต่ก็ยังไม่ประทับใจกับงานไหนเป็นพิเศษ

“ผมลองทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่งานที่เราทำอยู่ตอนนั้น เป็นการทำเล่นๆ แล้วก็ได้มาลองจัดสวนขวดเล็กๆ คิดขึ้นมาว่า ลองอะไรที่เราไม่ชอบบ้างก็ได้” ในห้วงขณะนั้น การจัดสวนขวดไม่ใช่งานอดิเรกที่เขาชอบนัก แต่ในเวลาต่อมากลับส่งผลต่อชีวิตอย่างมาก ด้วยตระหนักว่า การจัดสวนนี่เอง คือสิ่งที่เขาอยู่กับมันได้อย่างแท้จริง

“พอได้ลองจัดสวนเสร็จแล้ว ลองแบบไม่มีความรู้เลยนะครับ เปิดคลิปดู แล้วก็เริ่มทำ ตอนที่เรานั่งทำ เหมือนเราได้อยู่กับตัวเอง อยู่กับความคิดบางอย่างที่มันผุดขึ้นมาว่าเราลองเปลี่ยนวิธีการไหม ขวดหน้าเราลองทำแบบนี้ไหม แล้วก็มีความคิดเกี่ยวกับการทำขวดใหม่ๆ ขึ้นมา เหมือนเราเห่ออะไรใหม่ๆ แล้วเราก็ทำไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีคือเริ่มทำไปนานเป็นเดือนแล้ว เราเริ่มทำต้นไม้มากขึ้น พยายามศึกษาและเข้าใจมันมากขึ้น ลองทำไปกระทั่งกลายเป็นระยะเวลานานหลายปี จนรู้สึกว่า เราไม่อยากทำงานที่เราทำอยู่ ตอนนั้นแล้ว อยากจะฉีกตัวออกมาทำสิ่งนี้อย่างจริงจัง”


“ผมรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เราทำได้ตลอดเวลาเลยจริงๆ จึงเริ่มทำจริงจังแล้วก็เริ่มขายเป็นร้านเล็กๆ ในห้างก่อน ตอนนั้น ผมเริ่มทำเหมือนคนอื่น คือหาสถานที่ขาย หาโลเคชั่นขาย ขาย Mass Products แต่แล้วก็เกิดโควิดช่วงปี 2019 ผมจึงต้องกลับมาทำที่บ้าน แล้วได้มาทำสวนตู้แบบอันต่ออัน ตามที่ลูกค้าสั่งแบบ 1 ต่อ 1 หรือ Made to Order ซึ่งมันลงลึกรายละเอียดได้ดีกว่า รวมทั้งจัด Workshop แบบ Private มีทั้งแบบกลุ่มและตัวต่อตัว"

"เราก็ได้รู้ตัวเองว่า กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่เราทำแล้วมีความสุข มันทำให้เราได้มาเจอตัวเองด้วยจึงทำเป็นร้านและเป็นกิจกรรมจริงจังขึ้นมา เป็นกิจการเล็กๆ ทำที่บ้าน ทำทีละอันๆ เราแฮบปี้กับมัน มันก็ค่อยๆ โตไปทีละขั้น ไม่ได้รีบอะไรครับ กล่าวได้ว่า Curve Studio เปิดช่วงปี 2019 แต่ผมทำมาก่อนหน้านั้นแล้ว 2-3 ปี”


ทักษะและความรู้ที่จำเป็น

ถามว่าเมื่อทำงานด้านนี้ จำเป็นต้องมีความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ หรือความรู้ด้านการจัดสวนมากน้อยแค่ไหน
พลานนท์ตอบว่า “ถ้าเป็นตอนเริ่ม ผมไม่มีความรู้ด้านนี้เลย แต่เมื่อมาทำแล้วเราชอบ เราก็จะศึกษามันไปเรื่อยๆ แต่ปัจจุบัน เมื่อเราทำจริงจังทำเป็นอาชีพก็ต้องศึกษาเพิ่มมากขึ้น เพราะผมไม่ได้จบมาทางด้านนี้เลย แล้วก็ต้องขอบคุณลูกค้าด้วย ลูกค้าที่มา Workshop แต่ละช่วงเวลา บางคนก็ให้คำแนะนำผมด้วย บางคนเค้าถนัดเรื่องพฤกษศาสตร์ เรื่องระบบนิเวศมากกว่าผมด้วยซ้ำ แต่เค้าต้องการคนมาช่วยเรื่องวัสดุอุปกรณ์ในการใช้งาน เรื่องการออกแบบ เรียกว่าเราก็มีทักษะในส่วนของเรา เค้าก็มีทักษะในส่วนของเค้า ก็ได้มาแลกเปลี่ยนกัน"

"ดังนั้น สำหรับผม ถ้าคิดจะทำเป็นอาชีพจริงๆ ยังไงก็ต้องศึกษาเรื่องนี้ให้มาก เพื่อทำให้มันถูกวิธีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกวันนี้ผมก็ยังถือว่าลองผิดลองถูกอยู่ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ครับ”

พลานนท์เล่าว่า เมื่อทำไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มหาความรู้ในแนวทางที่สนใจ เช่น ตัวเขาชอบป่าดิบชื้น ก็จะดูสารคดีเหล่านี้ หาข้อมูลเหล่านี้ บางคนที่ชอบแนวอื่นๆ ก็ไปหาความรู้ในเรื่องนั้นๆ เช่น บางคนชอบแนวลำธาร ทิวเขา ก็ย่อมจัด Composition ที่ต่างออกไป เพราะฉะนั้น จึงต้องมีความรู้บ้างและต้องค้นพบตัวเองว่าชอบแนวไหน อยากลงลึกเรื่องไหน รวมถึงทักษะที่ต้องมี


“เมื่อทำมาเรื่อยๆ ก็จะมีความรู้ด้านพฤกษศาสตร์บ้างครับ แต่ว่า สิ่งที่ต้องมีอีกเรื่องคือทักษะของงานช่าง เพราะตู้ที่ใหญ่ขึ้น งานระบบก็มากขึ้นด้วย การติดตั้งงานระบบ การทำงานของมัน ค่าแสงที่เหมาะสม อุปกรณ์ที่คุณจะใช้ พันธุ์ไม้ที่คุณต้องมี ความรู้ในการเลือกสิ่งเหล่านี้จะสอดคล้องกันเป็นเส้นใยแมงมุมเลย มันจะConnect มันจะRelate กันทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น จะเกี่ยวโยงกันหมดทั้งอุปกรณ์ พันธุ์ไม้ ลักษณะป่าที่คุณชอบก็จะเกี่ยวโยงกับ Layout ที่คุณต้องจัด แล้วการออกแบบก็จะตามมา มันเป็นศาสตร์ที่รวมกันหลายๆ อย่าง”




สวนในตู้ สวนขวดประเภทต่างๆ

ถามถึงประเภทของการจัดสวนในตู้ สวนขวด ว่ามีอะไรบ้าง
พลานนท์อธิบายว่า หลักๆ ได้แก่ Terrarium, Paludarium และ Vivarium




“สำหรับ Terrarium ไม่ว่าสวนขวดเล็ก ขวดใหญ่หรือสวนในตู้ก็ตาม ไม่ว่าจะปิดหรือเปิด ซึ่งเปิดในที่นี้ คือเปิดฝาระบายอากาศหรือมีตะแกรงที่อากาศผ่านเข้าได้ ก็เรียกเปิดได้เหมือนกัน การจัดแบบ Terrarium จะไม่มีน้ำ มีสัดส่วนที่เป็นบก เป็นพืช หรือสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้”




“Paludarium เป็นตู้ประเภทกึ่งบกกึ่งน้ำ แต่สัดส่วนบกจะเยอะกว่าน้ำ สัดส่วนตรงนี้ มาจากการที่ผมหาข้อมูลต่างๆ ตามหลักสากลด้วย สากลเขาถือว่า บก 80% น้ำ 20% แบบนี้ก็เรียก Paludarium แล้ว แต่ก็จะมีความแตกต่างกันไป บางคนก็อาจจะถือว่า บก 60% น้ำ 40% เขาก็จะตีความว่าเป็น Paludarium เช่นกัน ซึ่งก็ไม่ผิด”


“ส่วน Vivarium มันมีนิยามที่กว้างกว่า ลงลึกในรายละเอียดมากกว่า Vivarium เป็นศาสตร์ที่เราต้องจัดตู้ให้เหมาะกับสิ่งมีชีวิตในตู้ ไม่ว่าเราจะจัดแบบ Terrarium หรือ Paludarium เราก็ต้องจัดให้เหมาะกับสิ่งมีชีวิตในตู้ นี่คือความหมายที่กว้างของ Vivarium ครับ”


“เพราะฉะนั้น ตู้ประเภท Vivarium ไม่ได้ตามใจคนจัด แต่ตามใจ ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่เราให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ เช่นคุณจะเลี้ยงกบหรือกิ้งก่าก็ตาม ไม่ว่าคุณจะจัดเป็นป่าดิบชื้นหรือเป็นทะเลทราย แต่เมื่อคุณจัดด้วยความคำนึงถึงสิ่งมีชีวิตในตู้ที่สุด นั่นก็จะถือเป็น Vivarium ซึ่งมันค่อนข้างคลุมเครือ บางคนจึงเรียกเป็น Paludarium หรือ Terrarium ก็ไม่ได้ผิด แต่ในศาสตร์ในรายละเอียดจริงๆ เมื่อพบว่าจัดสวนนี้ขึ้นมาเพื่อสิ่งมีชีวิตแล้ว ก็จะถือว่านั่นคือ Vivarium”




พืชและสัตว์ในการจัดสวน

ถามถึงกระบวนการในการเลือกพืชและสัตว์ในการจัดสวนบ้าง ว่ามีหลักการอย่างไร
พลานนท์ตอบว่า เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงการรู้จักวัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ ค่าแสง อุณหภูมิ ทั้งการให้น้ำ ความชื้นในตู้ เมื่อรู้ทุกอย่างเหล่านี้ เราจะรู้ว่าเราต้องใช้พืชประเภทไหน เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้เรื่องพันธุ์พืช เราจะรวมสิ่งเหล่านี้เข้าไปในตู้ได้อย่างเชื่อมโยงกัน

“ Concept ของผม ผมจะไม่ใช้อะไรที่มัน Contrast กันมาก เช่น ถ้าไม้ชื้น แล้วชอบแสงประมาณนึง ถือว่ายังอยู่ด้วยกันได้ แต่ถ้าเลือกไม้แดด 100% มาอยู่กับไม้ชื้น แล้วถ้าตู้เราไม่ได้มีขนาดใหญ่พอ เราจะแบ่ง Section ให้มันอยู่ลำบาก มันจะ Contrast กันเกินไปในพื้นที่เล็กๆเมื่อเรามีความรู้เรื่องเหล่านี้บ้าง จะทำให้เกิดการดูแลที่ง่ายขึ้น แต่ถ้าจัดแบบ
Contrast ต้องมีการใส่ใจดูแลที่ละเอียดขึ้น ถี่ขึ้น”

อดถามไม่ได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่คุณใส่เข้าไปในการจัดสวนตู้มีอะไรบ้าง
พลานนท์ตอบว่า “ผมเลี้ยงเองด้วยผมก็จะเลือกที่ผมชอบ ผมชอบปูแวมไพร์อินโดนีเซีย หรือ Vampire Crab (หมายเหตุ ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Geosesarma dennerle ) ปูเหล่านี้เป็นปูที่อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำและอยู่ในเงามืด เพราะฉะนั้น มันเหมาะกับตู้แบบ Paludarium ที่ผมทำ ผมก็ใส่เข้าไปได้ แต่ก็ต้องจัดพื้นที่ให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของเค้าด้วย เช่น มีที่ให้หลบ"



"นอกจากปูแล้วก็มีกบที่ผมเลี้ยง กบต้นไม้ หรือ Tree frog ผมก็ต้องจัดตู้ แนว Terrarium ให้เหมาะกับกบที่เลี้ยง แล้วก็ต้องมีถาดน้ำไว้ให้เค้าได้ลงไปแช่ รวมทั้งมีการใส่ตัววัดความชื้นในตู้ การใช้โคมไฟที่มีค่า UVB สักหน่อย เพื่อเพิ่มแคลเซียม การให้อาหารก็ต้องมีการให้แคลเซียมด้วยนอกจากนั้นก็มีตุ๊กแกขนตา Crested Gecko ก็จะอยู่ในตู้ Terrarium เหมือนกัน ที่ผมเลี้ยงเองนะครับ เพราะผมชอบ แล้วก็มี Gargoyle gecko (หมายเหตุ พบได้ทางตอนใต้สุดของเกาะ New Caledonia ซึ่งเป็นกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ )ที่ผมเลี้ยงเค้า เพราะเมื่อผมจัดตู้ ผมต้องการให้ตู้มีชีวิตขึ้นก็เลยเลือกมา แล้วเราก็ชอบสิ่งมีชีวิตประเภทนี้อยู่แล้วครับ” พลานนท์เลี้ยงสัตว์เหล่านี้ด้วยความชอบส่วนตัวเท่านั้น ไม่ได้มีไว้ขายแต่อย่างใด ลูกค้าที่ต้องการเลี้ยงสัตว์ในสวนตู้ ต้องหามาเอง


กระบวนการทำงาน

ในขั้นตอนของการทำงาน นับแต่แรกเริ่ม พลานนท์ต้องไปถึงสถานที่บ้าน ที่ทำงานของลูกค้าเพื่อไปวัดขนาดสำหรับทำตู้ด้วยตนเอง

“ส่วนมากลูกค้าเราอยู่ในกรุงเทพ อย่างบางคนเค้าก็บอกพื้นที่มาแล้ว แต่ผมมีคำถามในใจ ผมก็จะขอเข้าไปดูพื้นที่จริง บางสถานที่ผมต้องไปดู เพราะว่า ถ้าตู้ใหญ่ ผมก็ต้องไปดูว่ามีตำแหน่งที่เหมาะจะวางแค่ไหน แสงเข้าเยอะเกินไปไหม การระบายอากาศของตู้ในจุดนั้นจะส่งผลต่อเฟอร์นิเจอร์เค้ามั้ย
ถ้าตู้ใหญ่ ความชื้นสูง ก็ต้องเข้าไปดู ส่วนมากเค้าก็ให้เราเข้าไปดู เพื่อประเมินราคาก่อนอยู่แล้วครับ”


กระบวนการทำงานทั้งหมดนับแต่เริ่มต้นจนจบ พลานนท์ทำด้วยตัวเองคนเดียวทั้งหมด
“ผมไม่มีพนักงานครับ เป็นร้านที่เล็กมาก (หัวเราะ) ผมทำเองทุกอย่างครับ และมีแฟนคอยช่วยบ้างบางเรื่อง เช่น ให้แฟนช่วยวิจารณ์งานให้หน่อย ก็มีบ้างครับ แต่ว่าในกระบวนการทำตู้ทั้งหมด ผมทำตั้งแต่เริ่มจนจบ”

การจัดสวนให้ลูกค้า มีรายละเอียดมากมายที่ต้องคำนึงถึง
ในคอนโด ในบ้านที่มีเครื่องปรับอากาศและไม่มี ก็ส่งผลต่างกันค่อนข้างเยอะ

“อุณหภูมิในพื้นที่ธรรมชาติจริงๆ ก็ย่อมต่างจากในกรุงเทพ ผมขอยกตัวอย่างกรุงเทพ เพราะผมอยู่ในกรุงเทพและทำส่งลูกค้าในกรุงเทพเป็นหลัก เมื่ออุณหภูมิสูง อุณหภูมิห้องที่ไม่มีแอร์ แล้วในตู้ ในขวดที่เป็นระบบปิด ในตู้ที่ไม่มีการระบายเลยคือปิดสนิท มันก็จะร้อนกว่าอุณหภูมิห้อง เพราะมันไม่มีการระบายเลยก็จะทำให้เลี้ยงยาก มีความเสี่ยง กรณีนี้การเลี้ยงแล้วรอดอาจจะมีน้อย ขณะที่คนเลี้ยงในห้องแอร์ หรือในห้องที่มีการถ่ายเทอากาศ เช่น อุณหภูมิ 25-28 องศา ในตู้ก็มีอุณหภูมิไม่เกิน 30 แบบนี้ก็มีโอกาสฟื้นตัวและสดชื่นมากกว่า เพราะมวลรวมในห้องดีกว่า”

“ถ้าพื้นที่ที่มีความร้อนมากกว่า ก็อาจจะเลี้ยงยาก เพราะฉะนั้น ผมจะคุยกับลูกค้าก่อน ว่าห้องเขา ในพื้นที่ที่จะเลี้ยง มีการเปิดแอร์กลางวันไหม ถ้าไม่เปิด ผมก็จะถามว่า ห้องที่ไม่มีแอร์ มนุษย์ธรรมดาอย่างเรา ถ้านั่งอยู่ แล้วปิดห้องทั้งหมด นั่งในตอนกลางวัน เหงื่อออกไหม ถ้าเหงื่อออก นั่งไม่ได้ เราอย่าคาดหวังว่าในตู้จะเลี้ยงได้"

"ถ้าเขายังอยากจะเลี้ยง เราก็ต้องหา Solution เท่าที่จะหาได้ เช่น ผมก็จะปรับให้ว่าเป็นตู้ประเภทนี้มั้ย ต้นไม้ประเภทนี้มั้ย หรือเป็นตู้ประเภทเปิดมั้ย อาจจะมีการระบายได้หน่อย แล้วต้นไม้ที่คุณคาดหวังอาจจะไม่ได้ใส่ลงไป แต่ว่าจะเป็นไม้อีกประเภทนึง เท่าที่ทำได้ครับ และมันยังมีข้อดีข้อด้อยในแต่ละแบบด้วย ผมจะชี้แจงเรื่องนี้และต้องคุยกันก่อนเสมอ อันนี้ในเชิงการขายนะครับ อันไหนที่ทำไม่ได้จริงๆ ผมก็ไม่ได้ทำตู้ให้ มันก็เป็นที่มาของการทำ 1 By 1 นี่แหละ”


ในส่วนของกระบวนการหลังการขาย พลานนท์เล่าว่ามีให้ลูกค้าเป็นเรื่องปกติ

“ในตู้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่เขาก็จะถามมา แต่เราก็จะถามย้อนขึ้นไปอีกนิดว่า การตั้งค่าต่างๆ ทำไว้เหมือนเดิมหรือเปล่า เพราะตอนอยู่กับผม ตู้ก็อยู่ในค่าความชื้นอุณหภูมินึง เมื่อส่งตู้ให้เขา ค่าเหล่านี้มันก็ย่อมมีเปลี่ยนไปบ้าง เพราะสถานที่ต่างกัน คุยกันแล้ว เราก็อาจปรับความเข้มแสง ปรับให้แสงอ่อนลง หรือเพิ่มปริมาณการฉีดน้ำ เพิ่มหมอกให้หนาขึ้น เรื่องเหล่านี้ก็ต้องคุยกัน แล้วคนที่มาซื้อกับผม หรือคนที่มาเรียน ผมก็จะมีวิดิโอให้ สอนวิธีการล้างรากต้นไม้ การใส่ต้นไม้เข้าไปในตู้ การล้างพืชพันธุ์ก่อนเอาเข้าตู้ มีคลิปเหล่านี้ให้ เค้าก็สามารถนำไปเปิดดูแล้วทำตาม แล้วมีปฏิสัมพันธ์กับตู้ได้เองครับ
ส่วนมากที่ซื้อไป เมื่อลูกค้ามีคลิปที่ผมให้ไป แล้วลองทำดู เขาก็เริ่มเล่นกับตู้ แล้วก็ต่อยอด Activity ของตัวเองไป”

ถามว่าในแต่ละเดือนมี Order เข้ามาเท่าไหร่
พลานนท์ตอบว่า ส่วนใหญ่มีเข้ามาทุกๆ เดือน บางเดือนก็ 4-5 ตู้ บางเดือนมีเป็นสิบตู้ก็มี บางเดือนก็อาจหายไปเลย แต่ก็มีคนมาเรียน Workshop อยู่เรื่อยๆ


“สินค้าของผมไม่ได้มีฤดูขายที่แน่นอน ในส่วนของผม ลูกค้าอาจจะเงียบช่วงวันหยุดยาว เพราะคนไปเที่ยวหมด เขาไม่มาลงเรียน ย้อนศรกับเรื่องวันหยุดท่องเที่ยว ก็ตอบยาก บางทีจำนวนน้อย แต่ตู้ใหญ่ บางรอบตู้ใหญ่ไม่มี แต่มีตู้เล็กๆ มาเยอะ จึงตอบเป็นปริมาณที่ชัดเจนลำบาก ผมก็ไม่นับจริงจัง แต่มันโตขึ้นทุกปี ผมรับทำต้นไม้จำลองด้วย ไม้จริงด้วย เริ่มทำหินเทียมด้วยในช่วงปีนี้ครับ ก็มองว่า งานนี้มันโตขึ้น ด้วยตัวมันเอง”

สำหรับขนาดของตู้ที่พลานนท์ทำให้ลูกค้า ขนาดที่เป็นที่นิยมโดยเฉลี่ยเยอะที่สุด 
ได้แก่ ขนาด ยาวXกว้างXสูง คือ 30X30X45 ซม.
นิยมรองลงมาคือ 45X45X60 ซม. และ 60X45X60 ซม.
“มี 3 ไซส์นี้ครับ ที่ขายดี แล้วก็ถ้าใหญ่ที่สุดที่เคยทำมาคือ 2.50X1X2.50 เมตร เป็นพื้นที่ใต้บันไดของบ้านลูกค้าครับ”

ถามถึงระยะเวลาที่ใช้ในการทำงานแต่ละตู้
พลานนท์ตอบว่า ถ้าเป็นตู้เล็กก็ใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ ตู้ใหญ่ก็ประมาณครึ่งเดือน-1เดือน

“ผมไม่เคยส่งมอบงานพร้อมกัน เมื่อเราทำแบบ 1 ต่อ 1 จึงคุยกับลูกค้าค่อนข้างง่าย บางคนเค้าฝากเราไว้ก่อน ให้เราเลี้ยงไปก่อน 1-2 เดือน เพื่อให้ระบบนิเวศนิ่งแล้วค่อยส่งให้เค้าแบบนี้ก็มี ช่วงเวลาจริงๆ ที่ทำงาน คือ 7-14 วัน
ผมจะเลี้ยงเพื่อดูให้มันแข็งแรงก่อน ในช่วงนั้นถ้ามีอาการ ผมก็จะปรับเปลี่ยนให้ฟรี หรือต้องดูว่ามีเชื้อราขึ้นในตู้ไหม ผมก็อาจขอดูอีกสัก 2-3 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน รวมทั้งค่าแสง ค่าอุณหภูมิ Loop การให้น้ำ ผมก็จะต้องสรุปข้อมูลเหล่านี้ให้เค้าด้วย เพื่อให้ง่ายในการส่งต่อ แต่ถ้าไม่มีการพักตู้ไว้ที่ผม ผมก็จะไม่มีข้อมูลตรงนี้”




แนะแนวทางจัดสวนขวด สวนในตู้

อยากให้ยกตัวอย่างกรณีที่เป็นการจัดสวนขวด ถ้าคุณจะทำ จะใส่อะไรบ้าง และเลี้ยงสิ่งมีชีวิตได้ไหม

พลานนท์ตอบว่า ถ้าเป็นสวนขวดที่ทำทั่วไป มีฝาแก้วปิด โดยฝาก็ต้องเลือกว่าจะมีเรื่องของการระบายอากาศหรือไม่ มี seal กับไม่มี seal ต่างกัน เราก็เลือกขวดที่เราต้องการ เราต้องเข้าใจตั้งแต่ Physical ข้างนอกเลย ว่าขวดที่เราเลือกมาลักษณะรูปทรงขวดเป็นยังไง ฝาระบายอากาศดีหรือไม่ดี เพราะมันส่งผลต่ออุณหภูมิภายในขวด

นอกจากนั้น ต้องเข้าใจเรื่องของวัสดุปลูกพืชด้วย วัสดุปลูกตัวนี้เก็บความชื้นดีแค่ไหน พันธุ์พืชที่เหมาะสมมีอะไรบ้าง ซึ่งปกติที่นิยมกันก็มีพวกเฟิร์นแล้วก็ไม้เลี้อยเช่น ตีนตุ๊กแกแคระ เป็นพื้นฐานแบบง่าย




“เราต้องรู้ทั้งเรื่องรูปทรงของขวด วัสดุปลูก อะไรดีอะไรด้อย แล้วเราค่อยมาจับคู่กับต้นไม้ที่เราจะใส่ แต่ถ้าคุณเลือกจากต้นไม้เป็นหลัก คุณก็ต้องรู้ว่าต้นไม้ชนิดนั้นชอบพื้นที่ สภาพแวดล้อมลักษณะไหน แล้วก็เอาสภาพแวดล้อมนั้นมาจำลองในพื้นที่เล็กๆ ว่าเป็นไปได้แค่ไหน”


นอกจากสวนขวดแล้ว การทำสวนในตู้ คุณต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

พลานนท์อธิบายให้เห็นภาพว่า “ถ้าเลี้ยงเอง ผมจะคำนึงถึงพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ก่อน ว่ามันเหมาะกับรูปแบบตู้ที่เราอยากทำแค่ไหน แล้วมีอะไรที่เหมาะบ้าง เพราะผมออกแบบโครงสร้าง เช่นพวกขอนไม้ด้วย ถ้าสิ่งมีชีวิตนั้นไม่เหมาะ เราก็ปรับเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นแทน เราจะไม่ไปฝืนเค้า แล้วเราก็เลือกพันธุ์ไม้ ให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่เราจะใช้ในตู้ๆนั้น ตำแหน่งอุปกรณ์ ค่าแสง อุณหภูมิห้อง แล้วก็อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตัวให้ความชื้น รวมถึงพฤติกรรมส่วนตัว เช่น ผมเป็นคนขี้เกียจ ผมก็จะเลือกพันธุ์ไม้ที่ไม่ต้องดูแลทั้งวัน ทุกวัน ทิ้งๆ บ้างก็ได้ ผมก็จะเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะกับพฤติกรรมของผม”

“แต่ถ้าเป็นของลูกค้า ผมต้องถาม ผมต้องรู้พฤติกรรมเค้าก่อน ว่าพฤติกรรมเค้า กับอุปกรณ์ที่เค้าจะลงทุนซื้อกับมัน มันจะเป็นไปได้มั้ย วิธีการดูแล สิ่งที่เค้าอยากเลี้ยง งบประมาณของเค้า พฤติกรรมของเค้า เราก็ต้องคุยกันก่อน มีเวลาดูแลได้น้อยกับมากของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนคำว่า ‘น้อย’ หมายถึง เดือนนึงเลยไม่ต้องไปดูได้มั้ย บางคนหมายถึง ดูแลอาทิตย์ละครั้ง นี่ถือว่าน้อย" 

"เพราะฉะนั้น การทำตู้แต่ละตู้ให้ลูกค้าที่มีความแตกต่างกัน ผมต้องถามเรื่องเหล่านี้กับเขาก่อน แล้วค่อยไปเลือกพันธุ์ไม้ให้เหมาะสมกับคำว่าน้อยของเขา เท่าที่เราทำได้นะครับ แต่ผมก็ต้องบอกเขาตรงๆ ว่าต้นนี้ ในอนาคตมันจะมี Effect อะไร เพราะขนาดตู้มันอาจไม่รองรับ หรือคุณภาพแสงที่เลือกมาใน Budget นี้มันใช้ไม่ได้ ก็ต้องมาคุยกัน นี่คือวิธีการทำงานของผมครับ”




สิ่งสำคัญคือลองเปิดใจ

ขอคำแนะนำสำหรับผู้สนใจอยากจะจัดสวนแบบคุณบ้าง ว่าต้องเริ่มอย่างไร
พลานนท์ตอบว่า “ต้องเริ่มเปิดใจที่จะลอง ถ้าเป็นสวนขวดแก้วเล็กๆ นับว่าง่ายที่สุดแล้ว เพราะไม่ได้มีงานระบบอย่างตู้เลี้ยงที่ซับซ้อน สวนขวดแก้วคุณก็เลือกขวดใส มีฝาใสๆ ที่ให้แสงผ่านได้ แล้วก็เริ่มทำได้เลย แต่สิ่งที่ต้องมีคือการเปิดใจ และความอดทน เมื่อคุณเริ่มทำขวดแรก มันคงไม่รอด 100% หรอก เมื่อมันไม่รอด เราต้องอดทน ถ้าอยากลองทำอีกในขวดที่ 2,3,4 ในขวดถัดๆ ไป คุณจะรู้ตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วคุณชอบมันหรือไม่ นี่สำหรับผู้สนใจทำงานประเภทนี้นะครับ" 

"พยายามไม่ Fail กับตัวเองเมื่อมันไม่รอด เมื่อตู้หรือขวด ไม่รอด เมื่อเกิดเชื้อรา หรือตาย แต่คุณต้องไปศึกษาเรื่องค่าแสง อุณหภูมิห้องที่เหมาะสม ความชื้นที่เหมาะสมเพิ่มเติม บางชิ้นงาน มันอาจจะมีทั้งดีและไม่ดี บางอันอาจจะรอดแล้วไปตายตอนหน้าร้อนก็มี เพราะอากาศเปลี่ยน เราก็ต้องพยายามอยู่กับตัวเองให้ได้ว่าลองใหม่ เมื่อประสบภาวะนี้ แล้วคุณไม่ได้ท้อกับการทำ จึงจะบอกได้ว่าคุณเริ่มชอบมันจริงๆ แล้วคุณสามารถทำต่อไปได้ สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับผู้ที่สนใจ ผมว่าคือการเริ่มทำเลย แต่ยังไม่ต้องเริ่มจากอะไรที่ใหญ่มากแล้วก็อุปกรณ์ยังไม่ต้องเยอะมาก อย่าไปกลัวเรื่องความผิดพลาด ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ”




คำถามสุดท้าย มีความท้าทายอะไรใหม่ๆ ในการจัดสวนตู้ที่คุณอยากลองทำ

ผู้ก่อตั้ง Curve Studio ตอบว่า “เป็นเรื่องของพันธุ์ไม้แปลกๆ ที่ยากขึ้นแล้วก็การทำระบบให้เหมาะกับผู้เลี้ยงในแต่ละพื้นที่ในบ้านเค้าจริงๆ พันธุ์ไม้แปลกๆ ในมุมของผม หมายถึงพันธุ์ไม้ที่ผมไม่ชำนาญ เช่น ผมไม่ถนัดเรื่องไม้กินแมลง หรือไม้ตระกูลกล้วยไม้ อันนี้เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่ผมจะพยายามศึกษาเพิ่มเติม"

"รวมถึงพฤติกรรมผู้เลี้ยงที่เค้าหันมาใส่ใจต้นไม้มากขึ้น เช่น เมื่อเค้าเอาตู้นี้ไป เค้าต้องดูแลมันอย่างไร ต้องปรับพฤติกรรมอย่างไร การที่เค้าเริ่มชอบ เริ่มเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้น เหล่านี้ก็คือสิ่งที่ท้าทายครับ”
นักจัดสวนในตู้ผู้นี้ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ



Text By : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
Photo By : พลานนท์ จันทร์เซียน, Curve Studio, รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
เอื้อเฟื้อสถานที่ : 60 space café & workshop ซอยแบริ่ง 25
ช่องทางติดต่อ Curve Studio
FB : curvestudio.bkk
IG : curvestudio.th
TikTok : curvestudio
www.curvestudiobkk.com