เปิดความจริง ตบหน้า “ติ่งลุงตู่” ที่นำโดย “ต้อย สนธิญาณ” จับแพะชนแกะปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ อ้างว่าเป็นคนสั่งระงับสร้างบ่อน “ทมอดาซิตี้” ช่วย “วีระ” พ้นคุกเขมร ทำความดีจน “แม่ทัพกุ้ง” เดินตามรอย โมเมว่าทำให้คดีเหมืองทองอัคราฯ จบสวยงาม แต่ความจริงเป็นอีกอย่าง อ้างว่า 8 ปีเป็นนายกฯ ทำเรื่องดีๆ มากกว่าเรื่องไม่ดี ที่แท้สร้างตราบาปให้ประเทศมากมาย
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงขบวนการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารเพื่อปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เจ้าของเพจเดอะคริติก (The Critics),The TRUTH และสถาบันทิศทางไทย ซึ่งทำตัวเป็น “องครักษ์พิทักษ์ลุงตู่” ในลักษณะทำผิดให้เป็นถูก กลับดำเป็นขาว กลับขาวให้เป็นดำ เพียงเพื่อปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จากการถูกวิพากษ์วิจารณ์
ทั้งนี้ ที่ผ่านมานายสนธิญาณ ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “ต้อย” นามสกุลเดิม “หนูแก้ว” เคยทำธุรกิจสื่อทั้งสำนักข่าว INN, สำนักข่าว TNEWS, เคยเป็นประธานกรรมการเครือเนชั่นก่อนเกิดความขัดแย้งและลาออกไปทำ Top News แต่ก็มีปัญหาจนแยกทางอีกครั้ง
จากนั้นหันมาทำเพจ The Critics และสถาบันทิศทางไทย ในแนวทางอนุรักษนิยมสุดโต่ง ผลิตคอนเทนต์โดยเน้นไปที่พาดหัวหวือหวา โลดโผน และวิพากษ์วิจารณ์แบบรุนแรง จนมีปัญหากรณีที่เดอะคริติกไปงับคลิปบนโซเชียลฯ ที่อ้างว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบอกให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นนั่งลง โดยพูดว่า “นั่งลงลูก” ทั้งที่ความจริงพูดว่า “นั่งลงครับ” กระทั่งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดี ข้อหาเผยแพร่ข่าวอันเป็นเท็จตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
สถาบันทิศทางไทย, The Critics, The TRUTH พากันอวย พล.อ.ประยุทธ์ แบบจับแพะชนแกะในหลายประเด็น ที่เห็นชัดเจนได้แก่
ประเด็นแรก เพจ “เดอะ คริติก” นำเสนอวิดีโอคลิปหัวข้อ “เกียรติยศนักรบ! แม่ทัพภาค 2 บุคคลแห่งปี ตามรอยบิ๊กตู่ ยืนหนึ่งพิทักษ์ชาติ-ไม่ก้มหัวให้ใคร” กล่าวถึงกรณีที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ในขณะนั้น ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศบุคคลแห่งปี เนื่องในวันสถาปนาของสถาบันพระปกเกล้า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา
โดยอ้างว่า พล.ท.บุญสินตามรอย พล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้รางวัลเดียวกันนี้เมื่อปี 2559 ทั้งที่ความจริงแล้วการที่ พล.ท.บุญสินได้รับรางวัลหรือเป็นที่ยอมรับแก่ประชาชนอย่างไรนั้น ไม่จำเป็นต้องตามรอยใคร แต่เป็นเพราะความสามารถในการบัญชาการรบปะทะกับฝ่ายกัมพูชาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สามารถควบคุมพื้นที่ 11 จุดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้ ซึ่งถือเป็นผลงานอันเป็นที่ประจักษ์
ในทางกลับกัน พล.อ.ประยุทธ์รับรางวัลโล่เกียรติยศบุคคลแห่งปีจากสถาบันพระปกเกล้า หลังรัฐประหารมา 2 ปี แม้กระแสในตอนนั้นสังคมจะมองว่าบ้านเมืองสงบลง แต่ในขณะเดียวกันได้ปล่อยให้กัมพูชารุกล้ำดินแดนไทย ละเมิด MOU 43 ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันกว่า 695 ครั้งโดยที่ฝ่ายไทยไม่ทำอะไรเลยนอกจากประท้วง ขนาดชาวบ้านที่ถูกเขมรยึดที่ดินเดินทางมาร้องเรียนถึงทำเนียบรัฐบาลก็ยังไม่ทำอะไร เพราะฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์เทียบไม่ได้กับ พล.ท.บุญสิน แม้แต่นิดเดียว
บรรดาสื่อ อย่างสถาบันทิศทางไทย The Critics, The Truth พากันอวย จับแพะชนแกะ ว่าแม่ทัพภาคที่ 2 ตามรอยบิ๊กตู่ จริงๆ แค่รับรางวัลเดียวกัน บรรดาติ่งตู่ก็ดีใจกัน
ประเด็นที่สอง เพจ “เดอะ คริติก” นำเสนอวิดีโอคลิปหัวข้อ “เงิบ! กาสิโน “บุนรานี” สร้างในยุคยิ่งลักษณ์! ลุงตู่งัดสั่งระงับก่อสร้าง” อ้างว่า 3 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุสรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกาสิโนทมอดา
เอาเนื้อหาข่าวที่กล่าวถึงการเปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2557 มาอ้างว่าเป็นพิธีเปิดกาสิโน แล้วบอกว่าเปิดก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 แต่ความจริงคือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้าทำรัฐประหารเข้าควบคุมอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่บิดเบือนไม่ได้ คือภาพถ่ายผ่านดาวเทียม GOOGLE EARTH ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2552 พบว่าด่านท่าเส้น-ทมอดา ยังมีสภาพเป็นป่า ไม่มีบ้านคนอาศัยอยู่ แต่เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างเป็นกาสิโนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 สมัยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นผู้บัญชาการทหารบก เป็นทหารสายบูรพาพยัคฆ์ คุมพื้นที่ภาคตะวันออก
หลังจากนั้น มกราคม 2560 อาคารกาสิโนทมอดาเริ่มสร้างเสร็จเป็นรูปเป็นร่าง แต่ตอนนั้นมีเพียงแค่อาคารหลักในฝั่งกัมพูชาเท่านั้น ยังไม่มีอาคารอีกหลังหนึ่งที่รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย
มาถึงปี 2562 ถึงได้เริ่มเห็นการก่อสร้างอาคารเพิ่มอีกหลังหนึ่งที่รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย แล้วเริ่มเห็นอาคารเป็นรูปเป็นร่างมาถึงปัจจุบัน
หนำซ้ำ ปีงบประมาณ 2563 ยังมีการก่อสร้างถนนสายท่าเส้น-ทมอดา เริ่มต้นจากถนนสุขุมวิท ถึงด่านช่องทางการค้าบ้านท่าเส้น ระยะทาง 6.6 กิโลเมตร มีบางส่วนก่อสร้างเป็นถนนสี่เลน 1.9 กิโลเมตร เป็นโครงการของแขวงทางหลวงชนบทตราด งบประมาณกว่า 51 ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 ยุคสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เพราะฉะนั้นที่อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์สั่งระงับก่อสร้างกาสิโนทมอดาซิตี้ จึงเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง
อีกหลักฐานหนึ่ง คือ หลังการรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2557 โดยมีรายงานจากโพสต์ทูเดย์ระบุชัดว่า ในการพบหารือกับนายฮุน เซน มีการพูดคุยถึงการค้าการลงทุน การสร้างความเชื่อมโยงด้านคมนาคม และการเปิดด่านชายแดนหลายจุด รวมทั้งบ้านท่าเส้น-ทมอดา และช่องสายตะกู โดยประเด็นเส้นเขตแดนถูกเลี่ยงไม่พูดถึง แต่การผลักดันเปิดด่านถูกยกขึ้นมาเป็นวาระหลัก
ต่อมาในวันที่ 29 สิงหาคม 2558 กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีมหาดไทยในรัฐบาล คสช. ได้สานต่อนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 5 ข้อกับสมเด็จซอร์ เค็ง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทยกัมพูชา เนื้อหามุ่งเน้นการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดน การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม และการเปิดหรือยกระดับจุดผ่านแดนถาวร 5 แห่ง ซึ่งรวมถึง บ้านท่าเส้น-ทมอดา และช่องสายตะกู อย่างชัดเจน
เพราะฉะนั้น คำกล่าวที่ว่ากาสิโนแห่งนี้ สร้างในยุคยิ่งลักษณ์เป็นความจริง แต่ที่ว่าลุงตู่สั่งระงับก่อสร้างกาสิโนนั้น ไม่มีมูลความจริง ในทางตรงกันข้าม พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล คสช. ถึงรัฐบาลพรรรคพลังประชารัฐ และมี พล.อ.อนุพงษ์ เป็น รมว.มหาดไทย มีการผลักดันเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าเปิดด่านเพื่อการค้า ถึงขนาดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานฝั่งไทยเพื่อเชื่อมตรงเข้าสู่กัมพูชา ที่พบว่าบางจุดมีกลุ่มทุนสีเทาคุมอยู่
ประเด็นที่สาม อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ ช่วย “วีระ สมความคิด” พ้นคุกเขมร
ตอนที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ถูกทหารเขมรจับตัว (ที่บ้านหนองจาน) ไปติดคุกที่กรุงพนมเปญ เมื่อปลายปี 2553 นายวีระได้รับการร้องขอจาก ส.ส.พนิช วิกฤติเศรษฐ์ ให้ไปช่วยนำทางไม่ได้ไปเองโดยพลการ และเห็นว่าเป็น ส.ส.ของรัฐบาล จึงยอมไปด้วย
ตอนถูกจับอยู่ในคุกเขมร นายวีระยืนหยัดปกป้องอธิปไตย ไม่ยอมรับสารภาพว่าล้ำแดนเพื่อได้รับการปล่อยตัว ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ.ขณะนั้น ปล่อยให้ทหารเขมรจับนายวีระ และคณะคนไทยรวม 7 คนโดยไม่ช่วยอะไร ไม่ปกป้องอธิปไตยไทย ซึ่งวันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า จุดที่ถูกจับนั้นอยู่บนแผ่นดินไทย
แต่กลายเป็นว่า FC ลุงตู่ ไปด่านายวีระสาดเสียเทเสีย ว่าดันทุรังไปให้ถูกจับเอง
ความจริงคือมีการร้องขอให้ไปนำทาง และ พล.อ.ประยุทธ์ ตอนเป็นนายกฯ (คสช.) ได้ให้สัมภาษณ์สื่อพาดพิงนายวีระด้วยความไม่พอใจ หลังจากที่ไปดักคอเรื่องการเจรจาเรื่องผลประโยชน์พลังงานกับเขมร และมีการพูดทวงบุญคุณ อ้างว่าเป็นคนช่วยกลับไทย
“อย่าลืมว่าผมเป็นคนไปขอให้เขาออกมาจากคุก ไม่ได้มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่าง ออกมาได้ก็เอาล่ะ พูดว่าเขาไปตกลงอะไรกันไว้ พลังงานในทะเล มันน่าปล่อยให้เน่าตายนะไอ้นี่” นี่คือคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ในช่วงนั้น
ไม่น่าเชื่อว่าคำคำนี้จะหลุดออกมาจากปากคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี หรือว่าที่นายวีระ ไปพาดพิงเรื่องแบ่งผลประโยชน์พลังงานกับเขมรไปแทงใจดำใคร จนทำให้หลุดแสดงกำพืดออกมาประจานตัวเองแบบนี้
และเบื้องหลังคนที่ช่วยเหลือนายวีระจริงๆ คือ พล.อ.สูไช่โฮ่ว ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารของกองทัพจีน เป็นรองของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง คือผู้เจรจาเรื่องนี้ ฮุน เซน เกรงใจจีนจึงปล่อยตัวนายวีระ
ประเด็นที่สี่ อ้างว่า “สมัยลุงตู่” ทำเรื่องดีๆ เยอะกว่าเรื่องไม่ดี
“ติ่งลุงตู่” มักอ้างว่า สมัย พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทำเรื่องดีๆ มากกว่าเรื่องไม่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมัย พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ได้สร้างตราบาปไว้กับประเทศหลายเรื่อง ไล่เรียงไปเป็นข้อๆ ดังนี้
หนึ่ง ปี 2559 พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปลดล็อกผังเมือง ทำให้โรงงานไปตั้งที่ไหนก็ได้ ความซวยก็ไปตกอยู่กับประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่ง คสช. 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 โดยฉบับแรกให้ยกเว้นการบังคับใช้ผังเมืองรวมในกิจการบางประเภท ประกอบด้วย
1. โรงไฟฟ้า
2. โรงผลิตก๊าซซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติ ส่งหรือจำหน่ายก๊าซ
3. โรงงานปรับปรุงคุณภาพของรวม (โรงบำบัดน้ำเสีย/เตาเผาขยะ)
4. โรงงานคัดแยกและฝังกลบ
5. โรงงานเพื่อการรีไซเคิล
ส่วนอีกฉบับ คือฉบับที่ 3/2559 เรื่อง “การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” โดยให้ยกเว้นกฎหมายผังเมืองและกฎหมายควบคุมอาคารในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งให้ยกเลิกข้อบัญญัติท้องถิ่นต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดของการห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย และใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร ซึ่งพอมีผลบังคับใช้ทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ จะสามารถสร้างโรงงานประเภทต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในคำสั่งในพื้นที่ใดก็ได้ นั่นหมายความว่ากฎหมายผังเมืองที่ประชาชนพยายามผลักดันเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจะไม่มีความหมายอีกต่อไป โรงไฟฟ้าจะเกิดขึ้นในพื้นที่สีอะไรก็ได้
หลังจากนั้นในปีต่อมา คือปี 2560 ขยะพิษก็ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากเป็นสิบเท่า จากเดิมนำเข้าอยู่ปีละ 50,000 ตัน ก็เพิ่มเป็นปีละ 500,000 ตัน
และพลเอก ประยุทธ์ ในฐานะประธานบีโอไอ ยังอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติซื้อที่ดินได้สูงสุด 35 ไร่ทั่วประเทศ พวกนักลงทุนต่างชาติจึงกว้านซื้อที่ดินตั้งโรงงาน และโดยเฉพาะชาวจีน
นี่เองเป็นสาเหตุที่ “โรงงานขยะจีน” จึงผุดขึ้นมาทั่วภาคตะวันออก สร้างปัญหาให้ชุมชน ตอนนี้ที่ จ.ระยอง จ.ปราจีนบุรีกำลังถูกรุกหนัก
สอง ยุค พล.อ.ประยุทธ์ ป่าไม้ไทยถูกทำลาย เพราะนักการเมืองทั้งรุกป่า ออกกฎหมายแจกพื้นที่ป่า ทำให้ป่าไม้ไทยเหลือน้อยลงทุกวัน
โดยเฉพาะกรณี 7 บริษัทน้ำมันลักลอบขุดน้ำมันในที่ ส.ป.ก. ศาลปกครองมีคำสั่งระงับ แต่ประยุทธ์ไปใช้ ม.44 หักล้างคำสั่งศาล และแก้กฎหมายให้ขุดน้ำมันในที่ ส.ป.ก.ได้ และให้ทำเหมืองแร่ได้ และไม่เรียกค่าเสียหายนับหมื่นล้านจากผู้กระทำความผิด
ป่าต้นน้ำชั้น 1A (หมายถึง พื้นที่ป่าที่ยังคงสภาพอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ) รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังอนุมัติให้ทำเหมืองแร่ได้ เดิมทีผู้ริเริ่มขอผ่อนผันให้ใช้ป่าลุ่มน้ำชั้น 1A ทำเหมืองแร่ คือปี 2546 ในยุคทักษิณ และมีมติเห็นชอบและอนุมัติในยุคนายกฯ ประยุทธ์
หลังจากนั้นก็ไฟเขียวให้ บ.ปูนซิเมนต์ไทย ทำเหมืองหินปูน 3 พันไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เป็นเวลา 18 ปี
สำหรับ บ.ปูนซีเมนต์ไทย ก่อตั้งโดยรัชกาลที่ ๖ พระคลังข้างที่ถือหุ้น 55% ส่วนอีก 45% ผู้ถือหุ้นคือฝรั่งชาวเดนมาร์ก ผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้ง บ.ปูนซิเมนต์ไทย ต่อมารายชื่อผู้ถือหุ้นก็มีการเปลี่ยนแปลง หลังจากมีการถวายคืนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แก่ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน เมื่อปี 2561 ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เหลือถือหุ้น บ.ปูนซิเมนต์ไทย 33% ส่วนอีก 67% ก็ไม่พ้นนักการเมืองเป็นส่วนใหญ่
นี่เป็นข้อมูลจาก Thai PBS ทีมข่าว The Active เฉพาะมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ช่วง 2 ปี คือ ปี 2562 และ ปี 2563 ที่เกี่ยวข้องกับการขอผ่อนผันใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 พบว่าปี 2562 มีมติอนุมัติให้ผ่อนผันการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 จำนวน 11 โครงการ ส่วนปี 2563 อนุมัติจำนวน 12 โครงการ โดยทั้งหมดนี้้เป็นการทำเหมืองแร่ของเอกชนมากถึง 21 โครงการ ที่เหลือเป็นการดำเนินงานโดยภาครัฐ มีทั้งโครงการชลประทาน โครงการวางสายส่งไฟฟ้า รวมทั้งก่อสร้างถนนตัดผ่านเขตป่า
สาม เหมืองทองอัครา ไม่ใช่ “จบสวย” แต่ความจริงคือ “จบไม่สวย” และส่อเจตนาขายชาติด้วย
FC ลุงตู่พยายามปั้นเรื่องว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำให้ไทยชนะคดีเหมืองทองอัคราฯ แต่ความจริงเป็นอีกอย่าง
บ.อัคราฯ เป็นบริษัทลูกของ บ.คิงส์เกต จากออสเตรเลีย ที่ฟ้องเรียกค่าโง่รัฐบาลไทย
บ.อัคราฯ เปิดเหมืองทองครั้งแรกปี 2544 ที่ จ.พิจิตร โดย นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดด้วยตัวเอง แสดงว่าให้ความสำคัญ โดย รมว.อุตสาหกรรมขณะนั้นคือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มี นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช เป็นปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
ต่อมา นายจักรมณฑ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ ปตท. ที่มีข้อมูลชี้ชัดว่า ทักษิณคือตัวพ่อ ขณะที่ต่อมาในสมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายจักรมณฑ์เข้าไปเป็นกรรมการ บ.อัคราฯ
ถ้าฟังข่าวสารตรงนี้ก็มองได้ว่า “ทักษิณ” น่าจะเกี่ยวข้องกับ “บริษัทเหมืองทอง” และนายจักรมณฑ์ก็คือตัวแทนทักษิณ
ไฮไลต์อยู่ตรงที่ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก็มีนโยบายเหมืองทองคำ 1 ล้านไร่ 11 จังหวัด
ต่อมาไม่นาน นายจักรมณฑ์ลาออกจากกรรมการ บ.อัคราฯ ผ่านไปเพียง 12 วัน พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม ทันที
หลังรับตำแหน่งเพียง 3 เดือน นายจักรมณฑ์ได้อนุญาตคำขอประทานบัตร โอนประทานบัตร, อาชญาบัตรพิเศษ และอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ 200 แปลง
ปี 2558 ตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย ตรวจสอบพบเส้นทางการเงินสินบนข้ามชาติของ บ.คิงส์เกต (บริษัทแม่ของ บ.อัคราฯ) กว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ถูกส่งมาให้รัฐมนตรี 2 คนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียส่งหลักฐานมาให้ตลาดหลักทรัพย์ไทย และได้ส่งต่อมาให้ ป.ป.ช.
นายวิชา มหาคุณ เลขาธิการ ป.ป.ช.ในขณะนั้น ได้ตั้งกรรมการสอบ นายประเสริฐ บุญชัยสุข อดีต รมว.อุตสาหกรรม และ นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ อดีต รมว.มหาดไทย แต่ปลายปีนั้น อาจารย์วิชาหมดวาระ เรื่องนี้ก็ถูกดองอยู่ที่ ป.ป.ช.ยาวมาจนถึงวันนี้
ทั้งๆ ที่ถ้าตรวจสอบเอาผิด ประเทศไทยก็ไม่ต้องกลัวถูกบริษัทคิงส์เกตฟ้องร้องให้จ่ายค่าโง่ และไม่ต้องไปเจรจายอมความใดๆ
ในปีต่อมา คือปี 2559 พล.อ.ประยุทธ์สั่งปิดเหมืองทองอัคราฯ หลังจากชาวบ้านรอบเหมืองทองเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีการใช้ไซยาไนด์จำนวนมากในการสกัดทอง และรั่วไหลลงแหล่งน้ำ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีการเดินหน้าไล่ยึดที่ดินทำกินชาวบ้านในหลายจังหวัด เพื่อยกให้ บ.อัคราฯ แสดงถึงความไม่จริงใจของ พล.อ.ประยุทธ์
ต่อมา บ.คิงส์เกตได้ฟ้องเรียกค่าโง่รัฐบาลไทย 3 หมื่นล้านบาทจากการสั่งปิดเหมืองทอง
เข้าใจว่าการฟ้องร้องเป็นการบีบคนไทยให้ยอมรับการเปิดเหมืองทอง ไม่อย่างนั้นก็ต้องจ่ายค่าโง่ เป็นการสมรู้ร่วมคิดกันของบริษัทเหมืองทองและผู้มีอำนาจฝ่ายไทย
ในปี 2564 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้แจกใบอนุญาตสำรวจทองคำให้ บ.อัคราฯ 4 แสนไร่ ทั้งที่ยังมีเรื่องสินบนข้ามชาติ และ บ.คิงส์เกต ยังใช้นอมินีถือหุ้น บ.อัคราฯ
ส่วน บ.อัคราฯ ก็ทำผิดกฎหมายป่าไม้ 15 คดี และลักลอบขุดทองบนถนน 13 เส้น แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กลับไม่ดำเนินการเอาผิดอย่างเด็ดขาด ทั้งที่พยานหลักฐานครบถ้วน เรื่องถูกดองไว้ที่ ป.ป.ช., อัยการ, ดีเอสไอ
ก่อนยุบสภาเลือกตั้งใหม่ในปี 2566 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ยังได้อนุมัติทิ้งทวนให้ บ.อัคราฯ เปิดเหมืองทองครั้งใหม่ ทั้งที่คดีทุจริตเพียบร่วม 30 คดี
การกระทำเช่นนี้ เปรียบเท่ากับการ “ขายชาติ” หรือไม่
สี่ นโยบายเศรษฐกิจพิเศษ 10 จังหวัด เบื้องหลังคือการ “รับใช้นายทุน เหยียบย่ำประชาชน”!
หนึ่งในพื้นที่ที่เข้าข่าย “นโยบายเศรษฐกิจพิเศษ 10 จังหวัด” นั้นคือที่ อ.แม่สอด จ.ตาก มีชาวบ้านหลายตำบลต้องถูกไล่ออกจากที่ดินทำกิน เพื่อให้นายทุนต่างชาติเช่ายาวนาน 99 ปี และยังใช้พื้นที่ป่าสงวนอีกราว 2 พันไร่
ป้ายผ้าข้อความจากใจชาวบ้านเกษตรกรคนจนๆ บ่งบอกได้ถึงความรู้สึกที่อึดอัดคับแค้น คนอยู่ทำกินมาทั้งชีวิต แต่ต้องถูกไล่ออกไปจากบ้าน จากที่ดินตัวเอง ต้องจากเพื่อนบ้าน จากชุมชน บรรยากาศรอบข้างเดิมๆ ไม่มีอีกแล้ว คงเจ็บปวดสุดบรรยาย การไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่นในขณะที่อายุมากแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย
ห้า แอบเกี่ยวก้อย ยืนเคียงข้าง “ทุนพลังงาน”
สมัยรัฐบาลทักษิณ บ.อพิโก้ (โคราช) จำกัด ได้รับสัมปทานขุดและสำรวจปิโตรเลียมหลุมเจาะดงมูล ต.กรุงเก่า อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านนามูล ดูนสาด จ.ขอนแก่น ราว 1-2 กิโลเมตร
ต่อมาหลังการยึดอำนาจ มกราคม 2558 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) บ.อพิโก้จะเริ่มดำเนินการขุดเจาะ ชาวบ้านนามูล ดูนสาด จึงได้ออกมาต่อต้าน เพราะเขาเห็นบทเรียนจากบ้านคำไผ่ จ.กาฬสินธุ์ และบ้านโนนสง่า จ.อุดรธานี จากการลงไปทำวิจัยพบว่าชาวบ้านประมาณ 200 คนป่วยด้วยก๊าซพิษไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งก๊าซพิษนี้มีอันตรายมาก หากตกค้างในร่างกายเพียง 800 ppm ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ทันที
ชาวบ้านพยายามหยุดยั้งการขุดเจาะสำรวจครั้งนี้หลายหนทาง ได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึง 9 หน่วยงาน เช่น ศาลปกครองกลาง ศาลปกครอง จ.ขอนแก่น ที่ว่าการอำเภอกระนวน ฯลฯ แต่ไม่เป็นผล
จนถึงวันที่รถบรรทุกขนอุปกรณ์ขุดเจาะเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านได้รวมกลุ่มกันนั่งบนถนนขวางเพื่อไม่ให้เข้าไปในหมู่บ้าน
แต่รัฐบาลก็ส่งคนมากดดันชาวบ้าน ยกทัพมาเป็นโขยง ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และชายฉกรรจ์ใส่หมวกผ้าปกปิดใบหน้า ราวกับว่าไปสู้รบกับข้าศึกที่ไหน สุดท้ายชาวบ้านก็ต้องพ่ายแพ้อำนาจรัฐ
ถือเป็นอีก 1 ตัวอย่างที่ทำให้เห็นธาตุแท้ พล.อ.ประยุทธ์ ว่ายืนข้างทุนพลังงาน เหยียบย่ำประชาชน
นี่คือผลงานอัปยศช่วง 8-9 ปีของลุงตู่ที่จับต้องได้ และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ใครจะเชื่อไม่เชื่ออย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของตัวเอง
“ท่านผู้ชมครับ ติ่งลุงตู่ครับ คุณสนธิญาณ ครับ ทุกครั้งที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มักจะมีบรรดาพวกคุณทั้งหลายเข้ามาคอมเมนต์ในรายการผม สังเกตจะมีชุดภาษาซ้ำๆ วนเวียนอยู่ที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว ที่สำคัญที่สุด เรื่องเหล่านี้คือเรื่องจริง เป็นข้อเท็จจริง มีหลักฐาน วัน ว. เวลา น. ระบุตลอด ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผมสร้างขึ้นมาเอง จับแพะชนแกะเหมือนพวกคุณ ขบวนการ IO ของพวกคุณนับวันยิ่งออกทะเล เผยให้เห็นถึงธาตุแท้ว่าคุณมันไม่ใช่สื่อ ไม่ใช่ประชาชนที่หวังดีต่อประเทศชาติ แต่เป็นคนรับจ้างซักล้าง รับจ้างฟอกขาว และติ่งที่โง่งมงายไม่ต่างกว่าติ่งเสื้อแดง หรือติ่งพรรคการเมืองที่โง่งมกับบรรดานักการเมืองที่ขายชาติเลยแม้แต่นิดเดียว” นายสนธิกล่าว