จากปรากฎการณ์ซิงเกิล ‘ไกลแค่ไหน คือ ใกล้’ ในช่วงปี 2012 ที่นอกจากจะกลายเป็นอีกหนึ่งเพลงฮิตประจำปีนั้น ก็ยังส่งผลให้ “getsunova” ที่มีสมาชิก ได้แก่ เนม-ปราการ ไรวา (ร้องนำ) ปณต คุณประเสริฐ (คอรัส/มือกีตาร์//ซินธิไซเซอร์ และนักแต่งเพลง) นาฑี โอสถานุเคราะห์ (กีต้าร์) และ ไปรท์-คมฆเดช แสงวัฒนาโรจน์ (กลอง) ได้แจ้งเกิดในวงกว้าง จนกลายเป็นวงดนตรีที่เอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นภาพจำของนักฟังเพลงไทยเรื่อยมา
หลังจากที่ผลงานของทางวงในช่วงก่อนหน้านี้ พวกเขาได้ทดลองทำแนวดนตรีต่างๆ หลายรูปแบบ เพื่อสะท้อนพัฒนาการทางดนตรีของวง รวมไปถึงได้ร่วมงานกับศิลปินมาหน้าหลายตาเกือบทุกรุ่น ในที่สุดพวกเขาก็ได้เดินทางกลับมาสู่แนวดนตรีที่พวกเขาแรกเริ่มอีกครั้ง กับผลงานอัลบั้มชุดใหม่ อย่าง 'The Grateful Sorrow' กับสังกัดเดิม White Music ในเครือ GMM Music ที่จะนำพาให้ทั้งแฟนเพลงของวง และนักฟังเพลงไทย ให้กลับมาได้ยินสุ้มเสียงท่วงทำนองที่คุ้นเคยอีกครั้ง...
อยากให้วงช่วยพูดถึง 2 ซิงเกิลล่าสุด หน่อยครับ
เนม : วงก็เพิ่งปล่อย 2 เพลงล่าสุดนะครับ ซิงเกิลแรกมีชื่อว่า ความทรงจำที่ไม่อยากจำ ก็ปล่อยมาพร้อมกับเอ็มวีเลย เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่อยู่ในสต็อกเพลงเก่าเพลงนึงของพวกเรานี่แหละ ที่ก็หยิบมาอยู่ในอัลบั้มชุดนี้นะครับ ก็เป็นเพลงที่เรียกว่าเป็นสไตล์เดิมของวงแล้วกัน คือจะมี sound หรือว่าสไตล์ที่เหมือนกับช่วงที่วงเราทำมาเริ่มแรกเลย และเป็นสไตล์ที่ทุกคนจำได้ แล้วก็เพลงนี้ เหมือนจะเป็น Back to basic back to original เอาเพลง เอาทำนอง เอาการเรียบเรียงเพลงของวง ที่ทุกคนคุ้นหูกันมา มารวมอยู่ในเพลงนี้ครับ ก็เป็นเพลงซึ้งๆ เพลงนึงครับ แล้วก็มีมิวสิควีดีโอได้ปล่อยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เป็น MV ที่กินใจคนดูหลาย ๆ คน ดู แล้วก็มีน้ำตาหลายคนด้วยครับ
ไปร์ท : ส่วนซิงเกิล คิดถึงเป็นประจำ ที่ได้พี่ดัง - พันกร มา featuring ด้วย ผมว่ามันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นนะ เราไม่ได้ฟีทอะไรกับใครมาสักพักนึงแล้ว คือจริงๆ มันมีความบังเอิญนะ คือมีวันหนึ่ง เราได้นั่งคุยสังสรรค์กัน แล้วก็นั่งเปิดเพลงต่างๆ ฟังด้วยกัน ซึ่งไม่ค่อยเป็นกิจกรรมที่ทางวงได้ทำร่วมกันซักเท่าไหร่ จนมาถึงเพลงของพี่ดังพอดี พี่เนมก็ร้องตามได้ ซึ่งทางวงก็เติบโตมาด้วยเพลงของพี่เขาอีกหนึ่งศิลปินอยู่แล้ว พวกเราก็มีการถามกันเองเล่นๆ ว่า ซิงเกิลนี้ พี่ดังป่ะล่ะ ลองมั้ยล่ะ พอทางวงโอเคเรียบร้อย ก็เลยตัดสินใจ direct message หาพี่เขาเลยครับ แล้วพี่ดังก็ตอบรับกลับมา จนได้มา collab กันในเพลงนี้ครับ ซึ่งก็เป็นความสนุกและน่าตื่นเต้นดีครับ
ด้วยแนวเพลงของพี่ดังเขาถือว่าชัดพออยู่แล้ว แล้วพอดึงพี่เขาให้มาร่วมสไตล์เดียวกับวง มันเป็นยังไงบ้างครับ
ไปรท์ :จริง ๆ ผมว่ามันก็เข้ากันได้ดีมากเลยนะ เพราะว่าถ้าไปฟัง เสียงร้องของทั้ง พี่เนม กับ เสียงร้องพี่ดัง มันไม่เหมือนกันเลย พี่ดังก็มีสไตล์การร้องของเขา ที่พี่ๆ หลายๆ คน มีสไตล์การร้อง แบบยุคนั้น แล้วพอมาร่วมส่วนการร้องของพี่เนม เรียกว่า มันเป็นการ contrast ที่ที่เข้ากันได้พอดี และเข้ากับเพลงของวงด้วย แต่ถามว่ามีกลิ่นของแนวร็อคมั้ย จริงๆ เพลงนี้ก็ไม่เชิงเพลงร็อคซะทีเดียว แต่มันจะเป็นในแง่ของวิธีการร้องของพี่ดังมากกว่า ที่เป็นสไตล์การร้องของพี่เขาเลย คือถ้าโตมากับเพลงพี่เขามายังไง ก็จะได้ยินแบบเดียวกันกับเพลงนี้เลย
กลับมาที่ตัวเอ็มวี ความทรงจำที่ไม่อยากจำ ที่ยอดวิวล้านวิวเป็นที่เรียบร้อย คอนเซปต์ของเอ็มวีตัวนี้ มีลักษณะยังไงครับ
เนม : จริงๆ ก็เริ่มมาจากตัวผู้กำกับเอ็มวีตัวนี้เลย (นาราธิป ไชยณรงค์) คือเขาเป็นผู้กำกับที่มีสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทางวงก็อยากจะร่วมงานกับพี่เขาด้วย ทางวงก็ได้ส่งเพลงไปให้แกฟัง แล้วแกก็ชอบแล้วก็เอาไปคิดเรื่องราวในภาพในหัวของเขา บวกกับของผมเพิ่มเข้าไป จากนั้นก็นำมาเสนอในเรื่องราวรูปแบบอย่างที่ทุกคนได้เห็น ซึ่งก็ ค่อนข้างที่จะดีมากๆ แล้วก็มันเกินกว่าสิ่งที่เราคิดเอาไว้มากๆ คือมันทำได้ดีมาก ๆ แล้วก็ส่งเสริมให้เพลงนี้ยิ่งไปกินใจคนเข้าไป ยิ่งอยู่กับเอ็มวีเพลงนี้ มันยิ่งดีขึ้นไปทั้งคู่ด้วยกัน
ปณต : ผมว่าพี่เขาทำให้เพลงที่มันค่อนข้างจะตรงไปตรงมาตอนแรก มันมีมิติมากขึ้นแล้วกัน เพราะแน่นอนว่าถ้าแค่ฟังเพลงเดี่ยวๆ มันอาจจะไม่ได้นึกถึงเรื่องราวแล้วก็มีมิติที่มันมีความลึกซึ้งขนาดนี้ แค่ประโยคเริ่มต้นที่เขาใช้ในเอ็มวี ว่าถ้าเราต้องจากกัน ใครจะไปก่อนไปหลัง ตอนที่เขาพูดคอนเซปต์นี้มา มันเป็นสิ่งที่ แบบสัมผัสได้เลย แล้วผมก็มั่นใจว่า หลายๆ คน หลายๆ คู่ในชีวิต มักจะพูดเรื่องนี้ หรือถ้าไม่ใช่คู่ของตัวเองก็จะได้ยินรุ่นพ่อแม่ หรือรุ่นปู่ย่า ที่แบบเคยผ่านเรื่องราวเหล่านี้มา มันเลยแบบว่าทำให้เพลงนี้ จากแค่แบบเป็น เพลงรักของ คู่รักชายหญิง หรือของเพศตรงข้ามที่ดึงดูดกันน่ะ มันเติบโตมากกว่านั้น มันออกไปไกล มากกว่านั้น ครับ
แล้วยอดวิวผลตอบรับในปัจจุบันนี้ แค่ล้านวิวแรกก็สำเร็จแล้ว ซึ่งต่างจากก่อนหน้านั้นเยอะมาก ทางวงเองมองมุมนี้ยังไงบ้าง
ปณต : สำหรับยอดวิวเอ็มวีในปัจจุบันนี้เหรอครับ ผมว่าทุกวันนี้ หลังๆ คนไม่ค่อยดู MV มากเท่าไหร่แล้ว แต่พอสำหรับเพลงนี้ พอมันเป็นเอ็มวีที่มันดึงดูดตนเนี่ย เรารู้สึกแปลกใจเหมือนกัน เพราะในใจผมนะ เอาจริง ๆ ตั้งแต่สัก 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมเริ่มตัด probability ที่คิดว่าเอ็มวีจะเป็นจุดที่ทำให้เพลงมันกลับมาดังได้ แล้วในปัจจุบันนะ เพราะส่วนใหญ่คนเราในปัจจุบันจะเสพ TikTok หรือ เสพคอนเทนต์ เน้นเสพแบบเรื่องราวสั้นๆ แบบนั้นมากกว่า แม้จะเป็นเรื่องราวยาวๆ ก็รู้สึกว่าเอ็มวี มันก็ยังเป็น depart ของการทำเพลงอยู่ เหมือนกันจริงๆ นะเนี่ย ประมาณนี้ครับ
เรียกว่ามันก็ยังจำเป็นสำหรับการทำเพลงหรือซิงเกิลในปัจจุบัน
ปณต : ถามว่าจำเป็นมั้ย คือถ้ามันสามารถที่จะพาไปอีกมิตินึงได้จริงๆ ผมก็ว่าโอเคนะครับ แต่สำหรับบาง เพลง ทุกวันนี้ก็อาจจะไม่จำเป็นแล้วก็เป็นไปได้
ในมุมหนึ่ง ก็มีความรู้สึกว่าการมีเอ็มวี มันก็เหมือนกับมีลายเซ็นของตัวเพลงนั้น
ปณต : อันนั้นก็จริง สำหรับพวกเรา เราว่าเราโตมาจากยุคที่เราซึมซับ แล้วก็รับกับการมี visual การมีเอ็มวีอยู่แล้วล่ะ แต่อันนี้ก็ต้องถามเด็กรุ่นใหม่ว่าเขารู้สึกยังไงเหมือนกัน
แล้วอัลบั้มใหม่ชุดนี้ มีที่มาที่ไปยังไงครับ
ปณต : อัลบั้มใหม่ก็คือ ตอนนี้เราก็มีซิงเกิล ความทรงจำที่ไม่อยากจำ, คิดถึงเป็นประจำ และเราจะรวบรวมเพลงที่ปล่อยมาก่อนหน้านี้ อย่าง “ไม่ต้องมีที่ที่ให้ฉันอยู่ แต่ขอแค่มีฉันอยู่ก็พอ” และ ยินดีให้กับความเสียใจ เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม คือทางวงก็รู้สึกว่า เราก็ห่างหายกันไปนาน จากการทำอัลบั้มที่ให้ทุกคนเห็นเป็นภาพใหญ่กัน นี่ตอนนี้ก็ปล่อยกันมาหลายเพลงแล้วหลายซิงเกิลแล้ว พอมาทำเป็นอัลบั้ม ก็จะรวบรวมซิงเกิลที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ ให้มาเป็นอัลบั้ม ให้ได้เห็นเป็นภาพใหญ่กัน เพราะแน่นอนว่า ต่อให้มันปล่อยเพลงมาแล้วหลายเพลง แล้วรวบรวมมาเป็นอัลบั้ม มันจะได้รับความรู้สึกถึงความเป็นหน้าที่และบริบทของแต่ละเพลง มันทำเพื่ออะไร แล้วก็ทำไมมันถูกมัดรวมกันแล้วมันถึงได้แบบว่ากลมเป็น getsunova ในยุค 2025 นี้
เหมือนกับว่าจากที่เราคุยมาเมื่อกี้คือเป็น concept โดยรวม คือ back to basic อย่างนั้นด้วย
ปณต : ค่อนข้างจะเป็นอย่างนั้นนะครับ เพราะว่าอย่างที่เราพูดกันไปแล้วว่า เรากลับมาแบบเป็นตัวเอง ในลายเซ็นที่คุ้นเคย มันก็เลยรู้สึกว่า อยากจะทำอัลบั้มที่ให้ความรู้สึกนั้นไปเลย
แล้วการทำงานของอัลบั้มชุดนี้ เป็นยังไงบ้างครับ
ปณต : การทำงาน ผมก็เลยรู้สึกว่า พอมัน back to basic ก็ค่อนข้างง่ายนะครับ มันจะเป็นแบบว่า (นิ่งคิด) คิดอะไร อยากทำอะไร แบบทำเลย ไม่ต้องพะวงเยอะ ไม่ต้องห่วงมากว่าจะดังหรือไม่ดัง ทำแบบอะไรทำกัน ซึ่งมันก็เป็นผลดีนะครับ ทางค่ายเองก็ชอบการทำงานในลักษณะนี้เช่นกัน พี่อาร์ม ก็เห็นชอบด้วย ซึ่งจริงๆ มันควรจะกลับมาแบบเบสิคตั้งนานแล้วล่ะ (หัวเราะ) แต่พวกเราก็มัวแต่ไปร้องรำทำเพลงประมาณนึง แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ไง มันเหมือนเป็นการเดินทางของมันอยู่
แล้วพอได้ไปทดลองนู่นนี่นั่นมา ทางวงได้ผลลัพธ์และคำตอบยังไงบ้างครับ
ปณต : จริงๆ การได้ทดลองมันก็มีความสนุกอยู่นะครับ ได้ทำอะไรหลายๆ แบบเลย เพียงแต่พูดแบบว่า เรื่องราวของเพลงที่มันฉีกออก อย่างพวกชุดก่อนๆ เช่นซิงเกิล อนุบาล ซึ่งจริงๆ อันนั้นมันก็ success ในแบบ ของมันนะ คนก็รู้จักเพลงนี้ รวมถึงก็เป็นไวรัลใน TikTok ด้วย แต่ถามว่า มันเป็นเรื่องแบบปกติที่ทางวง ออกมาพูดเลยมั้ย มันก็อาจจะมีมุมภาษาอะไร ที่มันแปลกแตกต่างออกไป ภาพทางเอ็มวี มันก็เป็นแบบมีการ แต่งตัวแบบคอสเพลย์เยอะๆ คือถ้าไม่ได้อยากแปลกแหวกแนว ก็คงไม่ได้ทำ ประมาณนี้ครับ แต่ก็อย่างที่บอก มันก็เสริมสีสันเข้าไปในการเดินทางของวง
ในมุมหนึ่ง มันก็เหมือนกับว่า ทางวงก็ได้ก้าวข้ามการทำงานในเซฟโซนของตัวเองด้วย
ไปร์ท : (พยักหน้า) น่าจะใช่ จริงๆ ผมว่าทางวงก็พยายามที่จะก้าวข้ามมานานแล้ว ถ้าย้อนไปอย่างที่บอกว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางวงก็พยายามทดลอง ทำแบบนู่น แบบนี้ พูดในเนื้อหานี้ ดนตรีแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ อันนั้นแหละ มันคือการพยายามก้าวออกมาจากอะไรเดิม ๆ ที่เคยเป็น ณ ยุคแรกๆ ก็คือการทดลองอะไร ใหม่ๆ นั่นแหละ พอได้ทดลองมาแล้ว มันก็กลับมาสู่สิ่งเดิมๆ กลับมาสู่ comfort zone มันเหมือนได้กลับบ้านมากกว่า ได้ไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ มาเรียบร้อยแล้วขอกลับมาบ้านบ้าง
เนม : แล้วรอบหน้าเตรียมจะไปนอกโลกแล้วเตรียมตัวๆ (หัวเราะทั้งวง)
เราติดใจตรงที่ว่า back to basic อยากให้วงช่วยขยายความหน่อยว่า ทำไมถึงคอนเซปต์กับอัลบั้มนี้ด้วย
เนม : เพราะว่าพวกเราก็อยู่ในวงการเพลง มาสักพักนึงแล้ว ในตลอดทุกช่วงเวลาก็จะมี เพลงใหม่ ๆ ใน ซาวด์ดนตรี หรือในดนตรีที่มันเข้ามาเรื่อยๆ ในตลอดเวลาที่เราทำงานมา เราก็พยายามจะนำมาประยุกต์สิ่งพวกนี้เข้ามาในเพลงเราบ้าง ทำการทดลองแบบนี้บ้าง แบบนั้นบ้าง ตามกระแสตามสีสันไป แต่พอมาเป็นชุด ใหม่นี้ เราก็รู้สึกว่า เราอยากจะกลับมา รากของดนตรีของพวกเรา ว่าจริงๆ แล้ว วงเราเป็นวงร็อคนะ มีเบส กีตาร์ กลอง เบสิคดิบๆ เลย ก็หยิบ element พวกนี้กลับมาใช้ ในแบบที่หลายๆ คนรู้จัก พวกเรา
การที่กลับมาสู่จุดเริ่มต้นของท่วงทำนองของวง back to basic เนี่ย มันค่อนข้างเหมือนกับว่า เราคล้ายๆ การคืนสู่เหย้าในท่วงทำนองดั้งเดิม ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ ประมาณนั้นเช่นเดียวกันมั้ย
ปณต : เราเหมือนกับในช่วงที่ผ่านมาเกือบ 10 ปี เราได้ทดลองอะไรหลายๆ อย่าง ก็มีทั้งแบบตามเทรนด์บ้าง นอกลู่นอกอะไรไปบ้าง แล้ว ณ วันนี้ เรารู้สึกคิดถึงการแบบทำอะไรที่ไม่ต้องคิดเยอะ เป็นตัวเอง ออกมาจากสัญชาตญาณกันเลย อีกอย่าง ผมคิดว่าแนวเพลงยุคนี้ เทรนด์มันเริ่มย้อนกลับแล้ว ซาวด์ดนตรี เมื่อประมาณ10 กว่าปีที่แล้ว หรือซาวด์ดนตรีแบบยุค 1990 และ ยุค 2000 ก็เริ่มกลับมาแล้วเหมือนกัน ซึ่งมันก็เป็นจุดที่ก็เป็นเราเองเลยนี่หว่า เป็นมู้ดที่แบบว่าไม่ต้องไปขวนขวาย ไม่ต้องศึกษาอะไรใหม่แล้วก็เป็นตัวเองกันได้เลย ก็รู้สึกว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ถูกแล้วที่จะกลับมาทำกับแบบซาวน์ของวงที่ทุกคนคุ้นเคยกัน เราเองก็รู้สึกสนุกที่จะแบบว่า ได้ทำอะไรที่แบบว่าเคยทำมา ณ วันนี้อีกทีนึงอะไรอย่างงี้ครับ
เรียกว่าพอกลับมาทำซาวน์ที่ว่านี้ เคาะสนิมนานมั้ย
ปณต : เคาะสนิมไม่นาน แต่ในการโปรดักชั่น ทุกคนมันจะมีความแบบว่า เป็นลายมือ หรือลายเซ็นนี้อยู่แล้ว อย่างแบบเมโลดี้ร้อง พี่เนมร้องไป ก็จะคุ้นเคยกับวิธีการนี้อยู่แล้ว และเมโลดี้เหล่านี้อยู่แล้ว ส่วนไปรท์ ก็จะมีรูปแบบจังหวะกลองที่คุ้นเคย แต่ก็อย่าลืมว่าต่อให้เราอาจจะไม่ได้ออกสไตล์นี้มาสักพัก แต่ว่าเวลาที่เรา ออกไปเล่นโชว์ ออกไปแบบทำการแสดงคอนเสิร์ต มันก็ยังคุ้นมือกับเพลงเหล่านี้อยู่ คือเราเล่นมายังไง 10 ปี ที่ผ่านมา เราก็ยังเล่นแบบนั้น เป็นตัวเอง มองในมุมนี้มากกว่าครับ
แล้วประสบการณ์เพิ่มเติมจากการที่ได้ร่วมงานกับศิลปินท่านอื่นๆ ละครับ
นาฑี : อย่างพี่ดัง - พันกร ก็น่ารักมากครับ เราก็รู้สึกว่า จากที่เราได้สัมผัสกับพี่เขา ตั้งแต่ที่เรายังไม่ได้เป็นศิลปิน ก็คิดว่าจะได้มีโอกาสเจอและมาร่วมงานกับพี่เขา ซึ่งตอนแรกเราก็รู้สึกเกร็งๆ อยู่เหมือนกัน แต่ปรากฎว่าพี่เขาใจดีมากครับ พี่เขาก็ชวนคุยชวน ชวนอะไรก็รู้สึกประทับใจครับ
เนม : ส่วนศิลปินท่านอื่นๆ ที่เคยร่วมงาน featuring ในก่อนหน้านี้ ก็มีหลายท่าน หลายแนว ก็ไล่กลับไปตั้งแต่ น้องๆ วง 4eve ซึ่งก็จะเป็นอีกแนวดนตรีนึงไปเลย และน้องๆ ก็ทำงานเป็นมืออาชีพกันอยู่แล้ว แล้วก็ มีความสดใส ร่าเริง รวมถึงท่านอื่นๆ เช่น ถ้าเป็นน้องๆ เจนนี้ ก็จะเป็นน้องวี-วิโอเลต, วง three man down , ยังโอม หรือถ้าเป็นเจนยุคก่อนหน้า ก็จะมีทั้ง พี่เบิร์ด-ธงไชย, พี่น้อย พรู,พี่ต่าย-อรทัย คือทางวงก็ได้ทำงานกับทุกคนที่เราอยากจะร่วมงานกันหมดแล้ว ก็รู้สึกว่า แต่ละคนก็มีความเป็นมืออาชีพกันทุกคน ทางวงก็ได้เรียนรู้อะไรต่างๆ จากพวกเขาเหล่านี้ด้วย การได้ทำงานในลักษณะนี้ก็มีความสนุกสนานครับ ความตื่นเต้นอีกอย่างหนึ่งที่ได้จากการร่วมงานกับศิลปินท่านอื่น ก็คือ การได้ input จากเขามา และได้ผสมผสานอะไรบางอย่างด้วยกันครับ ให้มาอยู่ในเพลงเดียวกันจากการทำงานในแต่ละซิงเกิลที่ได้ร่วมงานกับศิลปินท่านต่างๆ ครับ
นอกจากการ input ต่างๆ แล้ว ก็รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่ได้รับมา ประยุกต์เข้ากับตัวทางวงด้วย
เนม : ใช่ครับ อย่างเวลาที่ทำงานร่วมกับศิลปินท่านต่างๆ เช่น น้องๆ วง 4eve ปณตก็แต่งเพลงและเนื้อหาที่บางคนก็มองไม่เห็น หรือทางวงก็มองไม่เห็นในตอนแรกๆ เช่นกันว่า ทางวงจะมาพูดเรื่องอะไรแล้วคนมันจะมาเข้าใจและไปด้วยกันได้ เพราะถ้าเราไปหาเนื้อเรื่องและแนวเพลงดนตรีที่พูดแล้วไม่เคอะเขินกัน พูดเรื่องเดียวกันได้โดยที่มันไม่ดูแปลก ก็เป็นแต่ละโจทย์ แต่ละศิลปินที่ไม่เหมือนกัน
แล้วในฐานะคนแต่งเพลงเป็นหลัก อย่างปณตเอง มีความยากง่ายยังไงบ้าง กับ โจทย์แต่ละเพลงที่ต้องมาแต่งให้เข้ากับศิลปินท่านอื่นๆ ทั้งในเรื่องคอนเซปต์และช่วงวัย
ปณต : อย่างในเรื่องความยากง่าย จริงๆ ไม่น่าจะยากอยู่แล้วครับ เพราะว่า จริงๆ อย่างที่พี่เนมบอกเลย ก็คือมันแค่หาความพอดี ระหว่าง 2 ศิลปินมารวมกัน อยู่ด้วยกัน และรู้สึกกลม จนมันไม่โดดไปฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาเกินไป แล้วมันกลับง่ายขึ้นซะอีก เพราะว่า เราได้เปิดประตูเพิ่มอีกบาน ในสิ่งที่ปกติที่ทางวงอาจจะไม่ได้ พูดเท่าไหร่ สมมติว่า เรามี วง three man down มาร่วม เราสามารถพูดเรื่องนี้ได้สบายใจขึ้น หรืออย่างมีพี่ดัง - พันกร มาร่วม พวกเราก็สามารถพูดเรื่องที่มันโตขึ้นได้ อะไรประมาณนี้ มันก็จะมีประตูที่เราเปิดขึ้น ทำให้งานมันทำงานง่ายขึ้น อย่างเวลาที่แบบมีคนมา featuring คนมาทำงานร่วมกัน และแน่นอน เวลาที่เขามีไอเดียมาให้เรา ก็จะมีความรู้สึกว่า เออ ไม่ต้องคิดกันแค่กลุ่มเดียว ไม่ต้องคิดกันแค่คนเดียว แต่ถ้าเป็นเพลงของวงเอง หรือไปทำอะไรใหม่ ก็จะรู้สึกแบบ เอาไงกันต่อดีวะ รอบนี้ ก็ทำกันมาเยอะแล้วนะ แต่ถ้ามีคนใหม่เข้ามาช่วยหรือเข้ามาเสริมมันก็ดี (ยิ้ม)
คล้าย ๆ กับว่าเป็นการผ่อนคลาย ในเรื่องการงาน ของวงเองเพียวๆ ล้วนๆ ด้วยมั้ย
ปณต : อย่าเรียกว่าผ่อนคลายเลยครับ เรียกว่า มันก็เป็นการเปิดอีกมุมมองมากกว่าครับผม ซึ่งมันก็เป็นงานที่ซีเรียสเหมือนกันนะครับ ไม่ได้อยากใช้คำนั้น
เรียกว่าได้สกิลในการทำงานเพลงที่ไปร่วมกับศิลปินท่านต่างๆ ประมาณอย่างนั้น
ปณต : ใช่ครับ
แน่นอนว่า จากปรากฏการณ์ ในซิงเกิล ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ เมื่อ 13 ปีที่แล้ว มาจนถึงปัจจุบันนี้ สมาชิกแต่ละคนมีชีวิตและมีการผ่านเรื่องราวต่างๆ ยังไงบ้างครับ
นาฑี : ก็ผ่านมาเยอะนะครับ ก็รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วมาก รู้สึกว่าตอนนั้นเรายังติดเต้นกับการที่ เราได้มีคนมาฟังเพลงของพวกเราซะที เพราะก่อนหน้านั้น เราก็ปล่อยไปตั้งเกือบ 10 ซิงเกิลเลย แต่ว่าตั้งแต่ตอนนั้น มาจนถึงวันนี้ มันก็มีหลายเรื่องที่มันเกิดขึ้นกับพวกเรา ทั้ง 4 คน เยอะมาก ทั้งด้วยเรื่องเพลง เรื่องชีวิต ด้วย มันไม่สามารถที่จะพูดได้ร้อยเรียงออกมาได้
ปณต : ผมว่าเรื่องนี้สนุก สำหรับพวกเรา 13 ปี จากซิงเกิลนี้ ก็คือการได้ออกไปทัวร์ทั้งประเทศ แล้วก็ได้ไปต่างประเทศด้วย มันทำให้เปิดโลกจริงๆ นะ เพราะตอนแรก เราก็คือคนที่แค่รักเสียงดนตรี รักที่จะเล่นคอนเสิร์ตอย่างเดียว ตอนหลังมันหล่อหลอมให้เรารู้สึกว่าเราชอบพาร์ทนี้ของประเทศเรา ชอบมุมไหนของ โลกบ้าง culture ที่แตกต่าง การได้พบกับผู้คน ได้พบเพื่อนๆ พี่น้อง ทางดนตรี ได้พบแฟนเพลงด้วย บางทีทั้งผู้ประกอบการ เจ้าของร้าน หรือ โบรกเกอร์ต่างๆ คือแบบรู้สึกว่า แค่เพลงของเรา แล้วก็มันพาเราไปเจอ กับผู้คนมากมาย ได้ connection ดีๆ แล้วก็ได้เพื่อนดีๆ เยอะมากๆ เลยครับ จาก 13 ปีที่ผ่านมา
เนม : สำหรับมุมของเราเหรอครับ ก็คือ ถ้านับการทำงานในช่วงก่อนหน้านั้น และได้เรียนรู้รสชาติในการเป็นศิลปิน มาตั้งแต่ อายุประมาณ 18-19 เราก็จะโตกว่าวงนี้ มาประมาณกว่า 2 ปี ซึ่งมันก็มีความแตกต่างที่เยอะมาก เพราะว่า ตอนที่เราออกผลงานเดี่ยวก่อนหน้านั้น เมืองไทยก็ยังมีระบบการทำงาน แค่ค่ายที่เราสังกัด (จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่) ก็เปลี่ยนไปเยอะมากๆ เราอยู่ค่ายนี้มาตั้งแต่ ยุคตึกซีมิค และก็อยู่ในยุคที่ผ่านการทำเพลง ที่เป็นอัลบั้มเลย และยังมีทั้งเทป ซีดี และ มี วีซีดีคาราโอเกะ ทั้งอัลบั้ม อะไรอย่างงี้ คือระบบการทำงาน การสื่อสาร การโปรโมทเพลง คือถ้าไม่นับเรื่องการเดินสายโปรโมตเพลงที่ยังเหมือนเดิมอยู่ การโปรโมทเพลง ก็ถือว่าเป็นคนละเจน คนละยุคแล้วนะครับ แล้วการทำงานก็น่าจะต่างกันมาก พอสมควร
ตอนนั้นก็ไม่มีโซเชียลมีเดียอะไรใดทั้งสิ้น และอินเทอร์เน็ตก็ไม่ได้เป็นที่โปรโมทเท่าปัจจุบันนี้ แต่ก็ยังมีทีวีนีแหละ ผ่านทางรายการต่างๆ เช่น Five Live หรือช่อง Channel V Thailand ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ก็ไม่มีแล้ว มันก็เปลี่ยนไปเยอะนะครับ อย่างที่พูดไป เรามีการเปลี่ยนผ่าน ไล่ไปตั้งแต่ แผ่นซีดี จนมา เอ็มพี 3 เป็น iPod รุ่น แรก มันก็เปลี่ยนไปตามโลกพร้อมกันเลย ซึ่งคนเจนเราถือว่าโชคดีนะ เพราะเราได้อยู่ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงเยอะ นับตั้งแต่ที่เราเติบโตมาได้ใช้ชีวิต ได้เห็น VHS เห็น ได้เห็นมาตั้งแต่ยุคของอนาลอกเลย ทั้งให้คนเจนเรา จะได้ทั้ง 2 แบบเลย
แล้วเด็กยุค 90 ที่เราเติบโตมา 90 ส่วนตัวเราว่าเป็นเจนวัยที่ได้เห็นโลกจริงๆ เพราะสมัยนี้ มันมีแบบคลิปที่ ชอบ เห็นใน TikTok ประมาณว่า เอาเกมบอยให้เขาดู แต่เป็นคนวัย 20 ที่ไม่รู้ แล้วว่านี่คืออะไรประมาณนี้ หรือว่าเอาโทรศัพท์ที่เป็นแบบปุ่มกด พูดง่ายๆ คือเราโชคดี พูดง่ายๆ ก็คือ เราผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างที่บอกไปแต่คนเจนเราก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ได้ใช้ชีวิตอยุ่กับสิ่งนี้ได้ตลอด
ไปรท์ : 13 ปี กับซิงเกิล “ไกลแค่ไหน คือ ใกล้” ในมุมผม ทั้งเพลงนี้และวงนี้ ถือว่าเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตดีกว่า เพราะว่าถ้าไม่มีเพลงนี้ มันก็คงไม่ ได้พาผมไปในที่ต่างๆ เจอทั้งประสบการณ์และผู้คนแบบนู้นแบบนี้ อีกทั้งได้เรียนรู้ ได้วิเคราะห์กับสิ่งต่างๆ ที่ได้เจอในระหว่างทางที่เราเดินทาง มันก็ทำให้ผมคิดได้หลายๆอย่าง แล้วก็เป็นตัวเองที่เป็นอยู่ ในทุกวันนี้ครับ ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีเพลงนี้ ก็คงจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ เพลง นี้มันได้นำพาเราไปเจออะไรต่างๆ มากมาย และได้สอนอะไรได้เยอะแยะเต็มไปหมดเลย ส่วนตัวเลยรู้สึกว่าเพลงนี้ มันเป็นครูที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในชีวิตของผมครับ
ทางวงเคยบอกในลักษณะว่า เส้นทางดนตรีของวงมันคล้ายๆ แบบ roller coaster ขึ้นสุดลงสุด คล้ายๆ ว่าในมุมนึง ทางวงก็เข้าใจในสัจธรรมของการเป็นวงดนตรี ประมาณหนึ่งด้วยมั้ย
ไปรท์ : ก็อย่างที่บอกไปครับ มันผ่านมา 13 ปีแล้ว ทางวงก็ได้ผ่านหลายๆ เหตุการณ์ หลายๆ รูปแบบ ทั้งขึ้นทั้งลงมา จนรู้สึกว่า อ๋อโอเค ชีวิตมันก็เป็นอย่างงี้แหละ แล้วผมว่าในสิ่งหนึ่งที่พวกเราพยายามจะทำกันอยู่ ในตอนนี้คือ ไม่ได้หวังว่ามันจะขึ้นหรือลงกว่านี้ แต่ก็อยากที่ไปได้เรื่อยๆ ของมัน มันจะมีขึ้นจะลง บางครั้งทางเราก็กำหนดมันไม่ได้ แต่แค่รู้สึกว่า ก็ทำให้มันดีที่สุด ณ วันนี้ก็พอ ทางเราก็พยายามไปเรื่อยๆ ของมัน ตราบใดที่เรายังอยากทำ แล้วก็ยังมีคนอยากฟังอยู่ครับ (ยิ้ม)
เนม : เราว่าเราได้ทำความเข้าใจกับวงการเพลงมาแล้วว่า อย่างตอนที่ยุคที่เราปล่อยซิงเกิล “ไกลแค่ไหน คือ ใกล้” อาจจะเป็นยุคที่ศิลปินไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเยอะเท่าทุกวันนี้ แล้วก็คนฟังเพลงในเจนที่เราเติบโตมา คือคนฟัง รุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรา ซึ่งก็คือวัยรุ่นในยุคนั้น คือมันก็มีเพลงเฉพาะกลุ่มประมาณนึง แต่ว่าบางเพลงที่มัน mainstream จริงๆ ก็จะเป็นในส่วนใหญ่ เป็นคนหมู่มาก คือก็จะเจาะแบบว่า ทุกคนก็จะฟังเพลงนี้ และวงนี้ ก็คือมันไม่ได้มีตัวเลือกที่ถูกเข้าถึงได้ง่ายเท่าทุกวันนี้
อย่างเมื่อก่อน มันก็ถูกมองว่าเป็นเพลงอินดี้ หรือไม่ก็ mainstream ไปเลย อาจจะแบ่งหมวดหมู่ตามแนวดนตรีบ้าง เช่น hip-hop แต่เดี๋ยวนี้มันมีเยอะ แล้วมันก็มี การ crossover กัน กับบางวงในตอนนี้ก็เป็น mainstream หรือบางวงก็ไม่ได้เป็นแล้ว เราไม่สามารถที่จะแบบไม่หวังเลยว่า เราจะทำเพลงแล้วมันจะฮิตได้ เพราะว่า การที่เราจะทำความเข้าใจกับกลุ่มคนฟังในยุคนี้ มันก็ยังยากเลยว่า จริงๆ แล้วเขาชอบอะไรกันแน่ เขาแค่ชอบเพลงนี้ เพราะกระแสมันมา ก็เข็นเยอะ หรือเขาที่ตัวเพลงในศิลปินนั้น จริงๆ เด็กสมัยนี้ หรือคนเจนผมว่าเข้าใจค่อนข้างยาก แล้วก็ซับซ้อนกว่าคนรุ่นเรามากๆ เลย เพราะว่า เขาจะกล้าพูด กล้าแสดงออก กล้าที่จะยกมือถาม ก็จะมีความคิดเห็นเป็นตัวของตัวเองมาก ไม่เหมือนคนยุคเราที่ถูกสอนมายังไง ก็ให้จำไป อย่างงั้น แต่เด็กสมัยนี้ เขามี access ได้มากกว่าเราในสมัยที่เราโต เพราะฉะนั้นเราก็แค่เข้าใจและยอมรับ
ปณต : แต่ถ้าพูดในเชิงเรื่อง cycle นะ คือไม่รู้ละว่ามันเป็นยังไง แต่ส่วนตัวผม ผมชอบแค่อย่างเดียว คือชอบแค่วันที่พวกเราโด่งดังที่สุดแค่นั้นเลย คือผมขอบคุณ cycle นี้ตลอดนะ คือมันมีบางวงที่มีความพีคสุด มันก็เริ่มทำให้วงแตก หรือทำให้นิสัยของแต่ละคนเริ่มเปลี่ยนไป มันทำให้ อะไรหลายๆ อย่างตรงนั้น มันแตกหักได้ตรงนั้น ผมเลยดีใจที่เราเคยพีคในจุดนึง แล้วมันพีคแค่นั้นพอ แล้วมันก็ลงมา แล้วมันก็ขึ้นไปใหม่ ผมรู้สึกว่าพอมามองกลับไป มัน appreciate แล้วก็ดีใจที่มันเป็นประมาณนี้ แบบที่มันผ่านมา เพราะว่าใครอาจจะไปรู้ว่า ถ้ามันพีคมากเกินไป ผมอาจจะไปติดยาแล้วเลิกเล่นดนตรีไปแล้วหรือเปล่า หรือเพื่อนอาจจะมี ใครไป ผมเลยรู้สึกว่า ขอบคุณที่แบบผ่านมา แล้ว มันทำแค่นี้ เพราะประสบการณ์ที่มันผ่านมา มันเห็นได้ว่า บางคนที่มันขึ้นสุดจริงๆ หรือมันดิ่งลงสุดจริงๆ มันทำลายชีวิตคนได้เลย เวลาที่มาอยู่ใน cycle นี้ ก็ดีใจ ที่แบบเราผ่าน cycle นี้มาก็ยังอยู่ใน 4 คน
นาฑี : ผมกะจะตอบแบบเมื่อกี้เลย (หัวเราะทั้งวง) ผมก็รู้สึกว่ามัน appreciate ว่าเป็นแบบนี้ เพราะว่าอย่างที่พูดถ้าขึ้นเกินไปแล้วอยู่นานมากไปแล้วถ้ามันร่วงลงมาทีเดียว มันก็ให้พวกเรา 4 คน ไม่สามารถอยู่ได้เพราะว่า มันหายากมากที่วง original member อยู่ได้ครบทุกคน ซึ่งผมคิดว่านี่นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่อาจจะ ช่วยให้เราอยู่ด้วยกันได้แบบนี้ เพราะว่า เราก็ไต่ขึ้นไปแต่ไม่ต้องถึงต้องถึงข้างบนที่สุด แล้วก็ตกลงมา แล้ว ก็ค่อยๆ ขึ้นไปใหม่ แล้วเราก็จะรู้ว่า การที่อยู่ข้างล่าง กับ ข้างบนมันเป็นยังไง เหมือนกับทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เคยอยู่บนภูเขามาตลอด แล้ววันหนึ่ง มันก็ตกลงมา แล้วมันจะไม่ชินไง จนทำให้แฟนทีมก็มีการป่วยจิตกันบ้าง (หัวเราะทั้งวงอีกครั้ง)
ถ้าเป็นในเรื่องของเจนแก็ประหว่างวัย เรื่องช่องว่างทางดนตรีที่แต่ละคนเจอ ระหว่างเด็กรุ่นใหม่ ยุคปัจจุบัน แต่ละมีการประสบพบเจอยังไงบ้าง
นาฑี : อย่างยุคนี้ ผมรู้สึกว่ามันอาจจะมีมันไม่ใช่แค่เพลง แต่อาจจะพูดถึงเอ็มวี คือผมในตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้ดูเอ็มวีเยอะ แต่มีความรู้สึกว่า ถ้าเพลงมันเพราะ มันก็คือเป็นเพลงที่ดี รู้สึกว่ารุ่นนี้ ยุคนี้คือมันจะต้องทำหลายอย่างเหลือเกินที่แบบเพลงๆ นี้จะประสบความสำเร็จ ซึ่งมันเลยทำให้ผมคิดว่า เพลงยุคนี้มันอาจจะไม่ได้ไม่ได้มีคุณภาพหรือมีความเพราะเท่ากับเพลงสมัยก่อน เพราะว่าโฟกัสมันไม่ได้อยู่แค่การทำเพลงให้มันเพราะ คือมันอยู่ที่แบบ เดี๋ยวไปถ่ายวิดีโอ เดี๋ยวไปถ่ายคอนเทนต์ไปทำนู่นทำนี่ ส่วนตัวผมรู้สึกว่าผมชอบในช่วงตอนเด็กๆ มากกว่า ก็คือเพลงปล่อยมาทางวิทยุ เพลงนี้เพราะ เพลงนี้ดัง ส่วนเอ็มวีก็เป็นตัวช่วยของเพลงเฉยๆ แต่นอกจากนั้นก็จบ ก็คือเป็นเพลงที่มีประสิทธิภาพ มันไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ที่ต้องทำหลายๆ อย่างเพื่อทำให้เพลงนี้ดัง ซึ่งเราไม่รู้ว่า เพลงนี้มันดัง เพราะว่าคนนี้มันเต้นเก่งใน TikTok หรือว่า เขาถ่ายวีดีโอตัวเองใน Instagram เก่ง ประมาณนี้
ปณต : สำหรับผม ผมรู้สึกว่าเพลงสมัยนี้ รู้สึกว่ามันหลากหลายขึ้นนะ แต่ละสไตล์เขาก็มีกลุ่มของที่แยกกันไปชัดเจนเลย ทำให้รู้สึกว่ามันสนุกดีสำหรับผู้ฟัง ก็คือเลือกได้เลยว่าอยากจะฟังที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร แต่ถ้า เป็นสมัยก่อน มันเป็นระบบทาง เดียว ก็คือแน่นอนมีวิทยุหรือทีวี หรือ แบบกว่าเราจะได้ฟัง แบบที่เราชอบ จริงๆ ก็ต้องรอขอทางวิทยุคลื่นต่างๆ หรือต้องมาลุ้นทางรายการทีวีต่างๆ ซึ่งทำให้ เมื่อก่อน การฟังเพลงนึง อาจจะมีความ appreciate มากๆ รวมถึงกว่าจะได้ซีดีแผ่นนั้นมา แต่ทุกวันนี้ มันก็อาจจะง่ายขึ้น ก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่างเพลงยุคเก่าๆ ก็รู้สึกว่าเพลงเคยมีมูลค่าเยอะมากๆ แต่สำหรับเด็กวันนี้ เพลงมันแค่อยู่ปลายนิ้ว เราได้ฟังเลย แต่การได้ฟังเลยก็คือข้อดี ได้ฟังเยอะ แล้วก็หาตัวตนได้ง่ายกว่าครับ
เนม : ผมคิดว่าดนตรีโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นในตัวศิลปิน การ accessibility มันง่ายขึ้นครับ ซึ่งถ้าผมพูดในเชิง import export ของทั้งคนไทย หรือว่าของต่างประเทศ ผมว่าการที่เราจะชื่นชอบศิลปินวงใดวงนึง ไม่ว่าจะมาจากประเทศไทย อย่างสมมุติว่าเป็นคนไทย แล้วเราเป็นคนที่อยู่ในต่างประเทศ รู้สึกว่าการที่ศิลปินไทยได้ถูก export ถูกพูดถึงจากที่อื่น เท่ากับว่ามันมีคนที่ฟังเพลงไทยจากประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยที่อยู่ในประเทศนั้นๆ หรือเป็นคนในประเทศนั้นเองก็ตาม เขาได้มีโอกาสที่จะได้เจอตัวศิลปินจากประเทศนั้นๆ ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน แล้วก็มีการยอมรับศิลปินไทยในต่างประเทศมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน โดยที่ไม่ได้แบบว่ามันเป็นเรื่องยาก ที่แบบสมมุติว่าเราชอบวงนี้ของเมืองไทย แล้วแบบมันไกลตัวเรามากเลย หรือว่าสมมุติว่าเราเองชอบศิลปินเกาหลีที่เป็นวงอินดี้วงนึง เดี๋ยวนี้เขาสามารถมีกลุ่มแฟนคลับเพียงพอที่จะทำให้ทางวงนั้นสามารถมาเล่นในเมืองไทยได้ มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ คือพูดง่ายๆ เมืองไทยกลายเป็นประเทศที่ศิลปินทั่วโลกอยากที่จะมา แล้วก็มาได้ง่ายมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ประเทศอื่นๆ ก็จัดงานคอนเสิร์ต หรือมีแฟนคลับมากพอที่ศิลปินจากเมืองไทย จะได้ข้ามไปหาเขาได้มากขึ้นเช่นเดียวกันครับ เพราะฉะนั้น ผมมองว่าตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี สำหรับวงการเพลงไทย และ คนอื่นๆ ที่แบบอยากจะเข้าไปหาศิลปินที่เขาชื่นชอบได้ง่ายมากขึ้น
ไปรท์ : ผมว่าอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกสำหรับเพลงยุคใหม่ๆ ทุกวันนี้ คือ ด้วยพฤติกรรมการเสพเพลงของคน ผมรู้สึกว่าเขารักง่าย แล้วก็เลิกง่ายเหมือนกัน รักเพลงนึงง่าย แต่เขาก็ลืมเพลงนั้นเร็วเหมือนกันนะ ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เพลงยุคก่อนย้อนไปสมัยเก่าๆ เลย การจะมีเพลงฮิตสักเพลงนึง อาจจะฟังได้ ตลอดทั้งปีเลยนะ และอาจจะมีงานร่วมทั้งปีพ่วงด้วย แต่สมัยนี้ มันมีความไม่แน่นอน ดูง่ายๆ คือเพลงฮิตตอนช่วงสงกรานต์ในแต่ละปี แต่พอผ่านไป เพลงเหล่านั้นอาจจะเริ่มดรอปลงแล้วก็ได้ แล้วมันก็จะมีเพลงใหม่ขึ้นมาแทนที่ เพราฉะนั้น ผมว่าตลาดเพลงไทย มันก็ยากขึ้นเหมือนกันนะ นอกจากจะหาเพลงฮิตให้ได้แล้ว จะทำยังไงให้มันอยู่ได้นานที่สุด ให้มันทำงานได้นานที่สุด แล้วก็อีกอย่าง นอกจากที่ผมบอกไป แต่ละเพลง เช่นมีอายุเวลาอยู่ประมาณ 3-4 เดือน เราก็ต้องพยายามหาเพลงฮิตใหม่อีกแล้ว เพื่อที่จะต่อเติมเรียนรู้ตัวเองให้มันอยู่ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็เป็นอีก challenge นึง ที่ผมว่าในยุคสมัยนี้ มันก็ค่อนข้างยากเหมือนกันสิ่งที่วงการเพลงไทยเป็นอยู่ในตอนนี้
แล้วในเรื่อง Performance ในการที่วงได้เริ่มไปเล่นที่ต่างประเทศพอสมควร มุมมองแต่ละคน มันมีความแตกต่างยังไงบ้าง
ไปรท์ : สำหรับการไปเล่นที่เมืองนอก จริงๆ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีครับ เพราะว่าที่ผ่านมา บางครั้งอยู่แต่ประเทศไทย เราก็จะพอรู้อยู่แล้วว่า คนไทยชอบประมาณไหน ฟังเพลงอะไรยังไง หรือแน่นอน แม้แต่ในเรื่องของอุปกรณ์ทุกอย่าง เราเอาไปเองหมดทุกอย่างอยู่แล้วถ้าอยู่เมืองไทย แต่พอไปเมืองนอก มันก็ต้องมี การแบบไปใช้อุปกรณ์ที่นู่นบ้าง ต้องรีเควสอุปกรณ์ไป ในแง่ของการเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์ เตรียมความพร้อมก็ต้องเตรียมไปให้มากขึ้น หรือแม้แต่พฤติกรรมการฟังเพลงของคนในต่างประเทศอาจจะไม่ได้เหมือนกับคนไทยเป๊ะ อะไรอย่างงี้ครับ เราก็ต้องทำการบ้านในเรื่องของการเตรียมเพลงไปเล่น การจัดเซทลิสต์เพลงใหม่ๆ ก็รู้สึกว่า มันก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ในทุกๆ ประเทศที่ไปมาครับ
เนม : ของผม ก็ง่ายๆ เลย คือความประทับใจครับ มันเห็นความแตกต่าง เวลาที่เราเหมือนเป็นแขกที่ไปเยี่ยม ประเทศที่เราได้ไปเล่น ก็จะมีคนมาต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี ดูแลเทคแคร์เรา เหมือนเราเป็นแขกมาเยี่ยมบ้านเขา หรือในเรื่องของพฤติกรรมของคนดู ที่เราได้สัมผัส อย่างเวลาที่เราไปร้องเพลงต่างประเทศ ก็รู้สึกว่า เขาตั้งใจมากๆ จริงๆ แล้วก็รอคอยจริงๆ คนที่ไปคือที่จะเจอพวกเราตัวเป็นๆ และร้องเพลงของพวกเราจริงๆซึ่งความพยายาม ความตื่นเต้น ความเตรียมพร้อมทุกอย่าง มันประทับใจ มัน touch พวกเรามาก มันทำให้เรารู้สึกว่า การที่เราได้ทำเพลงไทย ร้องเพลงภาษาไทย แล้วมันเข้าถึงเขาได้ แล้วมัน appreciate มากพอที่จะอยากมาเชียร์พวกเรา มาให้กำลังใจพวกเรา มันเป็นอะไรที่ซาบซึ้งมากๆ แล้วก็มีความสุขทุกครั้ง ที่ได้ไปทัวร์ที่ค่างประเทศ
ปณต : สำหรับผม ถ้าได้ไปทัวร์ต่างประเทศ จริงๆ มันมีในเรื่องของการเพิ่มทักษะในการจัดการค่อนข้างเยอะมากเลยนะ อย่างผมจะเจอบ้าง แบบ อยู่ๆ ก็ cancel โชว์ แล้วเราจะต้องตีตั๋วบินไปแล้ว จะเอายังไงต่อดี ก็มองหน้ากัน คือจองโรงแรมเอง หาที่เล่นเอง search หา live house ทำให้มันเกิดขึ้นได้ ส่งบอกให้แฟนคลับมาจัดเก็บเงินยังไง เราจะขายยังไง เพื่อให้มัน cover ค่าเดินทาง ค่าอยู่กินของ 10 กว่าคนได้ ซึ่งมันจะมีพวกโจทย์ในลักษณะนี้ทุกครั้งที่เวลาที่เราไปเล่นที่ต่างประเทศ ซึ่งมันก็รู้สึกทุกครั้งที่กลับมา ก็มีทั้งสนุก แล้วก็ทั้งเหนื่อย แล้วก็ได้สกิลที่มันแบบว่าแตกต่างกันออกไปจากการที่เราไปเล่นต่างจังหวัด ที่มันมีทุกอย่างพร้อม อย่างเวลาที่ไปเล่นที่ต่างประเทศ ก็มักจะเกิด accident อะไรบางอย่าง เช่น มีคนนึงวีซ่าไม่ผ่าน มือเบสไม่ไป แล้วใครจะมาเล่นแทน มันจะมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเยอะมากๆ เลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
นาฑี : ส่วนตัวก็รู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้ไปเจอคนที่ตั้งใจมาดูเราใหม่ แล้วก็ยิ่งดีใจที่มันไม่ได้มีแค่คนไทย เพราะว่า อย่างภาษาเรามันยาก ในเวลาที่เราทำเพลง แล้วมันก็มีแค่คนไทยกับเพื่อนบ้านแหละที่เข้าใจว่ามีปัญหาอะไรซักอย่าง เวลาไปประเทศไหนที่เรารู้ว่าเขาไม่รู้ภาษาไทย แต่ว่าเขาชอบเพลงเราแล้วร้องเพลงเราได้ มันก็รู้สึกดีใจแล้ว ก็นอกจากนั้น ก็รู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้ไปแล้ว ผมรู้สึกดีใจ หรืออย่างเรามีทีมงานชุดใหญ่ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วันแรก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเปลี่ยนทีมงานเท่าไหร่ แล้วก็รู้สึกว่า เราได้พาพวกเขาได้ไปเที่ยวกับเรา ได้พาเขาไปประเทศนู้นประเทศนี้ เหมือนกับรู้สึกภูมิใจกับตัวเองกับวงมาก ที่สามารถพา ครอบครัวของทีมงาน ที่เหมือนกับอีกครอบครัวหนึ่งของเรา ไม่ใช่เพราะแค่พวกเรา 4 คน แต่ว่าได้พาทีมงานไปประเทศต่างๆ ก็รู้สึกภูมิใจส่วนตัวด้วยครับ
จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของวง คือ ความย้อนแย้ง ในเรื่องนี้ ในมุมมองของตัวเองว่าเป็นยังไง
เนม : มันก็เป็นสิ่งที่วงเราสามารถเคลมได้ในระดับนึงแล้วกันว่า ผมไม่รู้นะว่าเมื่อก่อนในประวัติศาสตร์วงการดนตรีไทย มันมีเพลงที่ใช้คำย้อนแย้งเป็นชื่อเพลงกี่เพลง อันนี้ผมไม่แน่ใจ (หัวเราะทั้งวง) ไม่รู้ว่า เราเป็นต้นแบบในประวัติศาสตร์เพลงไทยในการเขียนเนื้อ หรือแต่งชื่อเพลงหรือเปล่า แต่ก็ยินดีที่จะยอมรับไว้ละกัน (หัวเราะทั้งวงอีกครั้ง)
ปณต : แต่เราอาจจะเป็นวงแรกที่มีชื่อเพลงและเขียนเนื้อร้องในลักษณะนี้ที่มีเพลงดัง คือจริงๆ ความย้อนแย้ง มันมาจากตัวคาแรคเตอร์ของพี่เนมด้วยส่วนนึงที่แบบ เดี๋ยวจะซ้ายจะขวา หรือเดี๋ยวจะบุกหรือจะหลบ พอช่วงนั้นที่กำลังค้นหาตัวตนกันอยู่ มันก็เป็น gimmick ที่เรารู้สึกว่า มันเหมาะกับการเอาความนิสัยใจคอแบบนี้ออกมาพิเศษหน่อย เรียกว่าเป็น pack line ที่ติดมาตลอด แล้วเราก็เคยมีช่วงนึงที่แบบว่า อาจจะเลิกกันไปบ้าง หายๆ กัน ไปบ้าง แต่พอช่วงอัลบั้มล่าสุด เรารู้สึกว่าอยากกลับมาเป็นความเบสิค ความย้อนแย้งแบบ ที่ทุกคนคุ้นเคย ก็เลยนำกลับมในอัลบั้มล่าสุดครับ
กับการก้าวข้ามจากวงวัยรุ่น เข้าสู่วงรุ่นกลางในวงการ แต่ละคนมีความรู้สึกกับตรงนี้แตกต่างกันยังไงบ้าง
ไปร์ท : สำหรับผม ผมดีใจมากๆ เลยด้วยซ้ำครับ เพราะว่าในมุมผม มันก็มีหลายๆ คนที่ก็ก้าวมาไม่ถึงก็มี มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่จะยืนระยะอยู่ได้ยาวขนาดนี้ ไม่ว่ามันจะได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหน หรือยังไงก็ตาม แต่ก็ดีใจและภูมิใจทุกครั้งที่พวกเราก็ยังได้ยืนอยู่ตรงนี้ ได้ทำในสิ่งที่เรารัก ในสิ่งที่เราชอบมาโดยตลอด รู้สึกดีใจ แล้วก็ grateful ที่ได้อยู่ตรงนี้ครับ
เนม : รู้สึกดีใจเหมือนกับไปร์ทนะครับ แล้วก็รู้สึกเป็นเกียรติมากเหมือนกัน ถ้าพูดถึงวงในยุคที่เราเรียกว่าพวกเขาเป็นรุ่นพี่ของเราละกัน เช่น tattoo colour หรือ lomosonic หรือวงที่เกิดมาพร้อมไล่เลี่ยกับพวกเรา อย่างวง klear และยังอยู่ ที่เรามองว่าเขาเป็นรุ่นพี่ของพวกเรามาตลอด เรายกมือไหว้พี่ๆ เหล่านี้มา ตั้งแต่ได้เริ่มทัวร์ในเวลาไล่เลี่ยกัน (ปณต : บางคนก็อาจจะเลิกไหว้แล้ว (หัวเราะทั้งวง)) ก็รู้สึกดีใจที่เหมือนตอนนี้หลายๆ คน อาจจะมองว่าเราก็อยู่ในเจนเดียวกับพวกพี่ๆ เขาแล้วกัน แล้วพี่ๆ เขาก็ยังอยู่ในวงการด้วยกันยังไม่ไม่ได้มีแบบหายไปไหน พวกเขาก็ยังอยู่ทำงานกัน ทุกวันนี้จะเจอก็ทักทายกัน พูดถึงเรื่องในอดีตที่เราเคยไปทัวร์ เมื่อก่อนอยู่หลังเวทีเฮฮาอะไรยังไงกัน เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะไม่มากเหมือนเมื่อก่อน แต่พอได้มาเจอกันทุกครั้ง มันก็จะมีความทรงจำดีๆ พวกนั้นตลอดมา ที่แบบได้รำลึกถึงแล้วก็ร่วมพูดคุยกัน ได้เล่าสู่กันฟัง ก็เป็นความรู้สึกที่ดี แล้วก็เป็นความทรงจำที่ก็คงจะเก็บไว้ตลอดเวลาทุกครั้งที่เจอกัน และก็จะมีความรู้สึกดีๆ ร่วมกันครับ (ยิ้ม)
ปณต : สำหรับผม คือเรียกว่าเทิร์นมาเป็นรุ่นกลางแล้วกัน เพราะปัจจุบันก็มีรุ่นใหม่มาแล้ว เรารู้สึกว่า เราชอบประเพณีของวงการดนตรีไทยนะ ทั้งไม่ว่าจะเป็นเดี่ยวหรือว่าเป็นแบบไอดอล เรารู้สึกว่าทุกคนในวงการที่พอเข้ามาแล้ว แล้วรุ่นต่อๆ มา ทุกคนให้ความเคารพกันได้ดีมากๆ เลย คือถ้าเป็นต่างประเทศ มันจะ มีการขิงกัน ประมาณแบบวงรุ่นใหม่ด่าวงรุ่นเก่า ว่ามันกระจอกแล้ว มันจะมีอาการอะไรอย่างงั้นอยู่ ที่ยังมีแบบความเฟียสอะไรเหล่านั้น แต่เรารู้สึกว่าวงการเพลงไทยเป็นวงการที่น่ารักมากๆ แบบรุ่นน้องมาน่ารักกับรุ่นพี่ รุ่นพี่ก็ดูแลรุ่นน้องกลับ มีอะไรก็ช่วยเสริมกัน ไม่ได้มีอีโก้ใส่กัน เท่าที่ผมรู้สึกนะ ซึ่งผมกล้าพูดได้ ในวงกว้าง คือวงการดนตรีไทย ศิลปินเป็นคนน่ารักต่อกันมากๆ เลย ก็ดีใจที่ได้อยู่ในวงการแล้วก็เป็นผู้กราบที่คอยไหว้รุ่นพี่ แล้วก็ดีใจที่ต้อนรับรุ่นน้อง ทุกๆคน ขึ้นมาครับ
นาฑี : ก็ดีใจอยู่แล้วครับ แต่ว่าสำหรับผมแล้ว คือ เราอาจจะเป็นวงที่อยู่มานาน แล้วก็ประสบความสำเร็จใน ระดับนึง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังรู้สึกว่า ก็ยังมีพี่ๆ หลาย วง ที่เราฟังมาตั้งแต่ เด็กๆ แล้วเวลาเรามองพวกเขาก็ เป็นรุ่นใหญ่สำหรับเรา ซึ่งเรารู้สึกว่า เราก็ยังไม่ใช่รุ่นใหญ่แบบพวกเขา เราก็ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นชื่อ เราเล่นเวทีใหญ่ คอนเสิร์ต บิ๊ก เมาท์เท่น และได้เล่นเวทีเดียวกับพวกเขา หรือว่างานอะไรก็ตามที่เราได้เล่นกับวงพี่ๆ ส่วนตัวก็ยังตื่นเต้นทุกครั้ง ยังตื่นเต้นเวลาที่จำชื่อวงเหล่านั้น ว่า โหแต่ก่อนเราฟังเพลงพี่ๆ เขา เดี๋ยวนี้ พี่ๆ เขาทักเราและเรียกชื่อเราได้ เราแบบขอพี่ๆ เขาถ่ายรูป หรือเอาซีดีผลงานของพวกเขาไปให้พี่ๆ เขาเซ็น จนถึงทุกวันนี้ เพราะเรายังรู้สึกว่า เรายังไม่ใช่แบบพี่ๆ เขา เราแค่เป็นรุ่นน้องของพี่ๆ วงรุ่นใหญ่เขาอีกทีดีกว่าครับ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี