เบื้องหลัง “ซอมบี้การเมือง” พรรคสีส้มผสมพันธุ์สีน้ำเงิน เปิดทางรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับกระทบสถาบัน แลกกับการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ของ “อนุทิน” ฟอกขาวคดีฮั้ว ส.ว.-เขากระโดง ย้อนคำพูด “ธนาธร” นี่คือโอกาสที่ต้องคว้าไว้ให้ได้ หลังตั้งพรรคการเมืองมาแล้ว 7 ปี
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงข้อตกลงกันระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ในการสนับสนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแลกกับการเปิดทางไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น นับเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ของประเทศไทย เพราะก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่แทบจะจินตนาการไม่ได้เลยว่าพรรคประชาชนที่แสดงจุดยืนว่าเป็นพรรคปฏิกษัตริย์นิยม หรือ Anti-Royalist จะสามารถจับมือกับพรรคภูมิใจไทยที่แสดงตัวว่าเป็นพรรคนิยมสถาบันกษัตริย์ หรือ Royalist ได้
เจตนารมณ์ที่แท้จริงของพรรคประชาชนนั้นถูกเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ในงานเสวนาเรื่อง “4 เดือนนี้ ชี้ชะตาการเมืองไทย” ส่วนหนึ่งของกิจกรรมรำลึกครบรอบ 19 ปี การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และครบรอบ 5 ปี การชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงของกลุ่มเยาวชน 19 กันยายน 2563 ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องริมน้ำ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม
ในงานดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมเสวนาคือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เจ้าของตัวจริงพรรคประชาชน นายณัฐชนน ไพโรจน์ อดีตแกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ และผู้ต้องหาคดีกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw
บนเวทีสาวนา นายธนาธรชี้ให้เห็นถึงเดิมพันครั้งสำคัญของการตัดสินใจทางการเมืองที่ผ่านมาว่า “ประตูที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นมีประตูนี้ประตูเดียว” คือการทำให้ได้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 หรือประมาณ 70 เสียง จากเสียง ส.ว.ทั้งหมด 200 เสียง ที่เป็น ส.ว.สีน้ำเงินกว่าค่อน โดยมากถึง 138-140 เสียง
นายธนาธรกล่าวว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา ไม่ได้วัดกันที่ความรู้ความสามารถหรือความดีงามในอดีต แต่วัดกันที่ว่าใครจะนำไปสู่การเปิดประตูการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้มากกว่ากัน
“การตัดสินใจของพรรคประชาชนตั้งมั่นอยู่บนความเสี่ยงก็คือ มันต้อง Take Risk กันว่าประตูที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันมีประตูนี้ประตูเดียว จะเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง? มันไม่มีประตูอื่น ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญคุณต้องมี ส.ว.
“เลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ไม่ใช่เลือกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถมากกว่ากัน, ไม่ได้เลือกว่านายกรัฐมนตรีคนไหนในอดีตทำอะไรไว้บ้าง, ไม่ได้เลือกนายกรัฐมนตรีว่าคนไหนมีจริยธรรมคนไหนทุจริตคอร์รัปชัน
“มันเลือกจากเหตุผลว่าใครนำไปสู่การเปิดประตูการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้มากกว่ากัน ดังนั้นถ้าคุณใช้ฐานคิดนี้ยืนมั่นว่าเรา ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าเรายืนตรงนี้ มั่นมันต้องตัดสินใจแบบนี้ถ้ายืนตรงนี้มั่นนะฮะ เพราะไม่มีกุญแจคุณไม่ได้เป็นคนถือกุญแจเขาเป็นคนถือกุญแจ ถามว่าในเมื่อคุณไม่ได้ถือกุญแจ เขามีสิ่งที่คุณต้องการคุณก็มีสิ่งที่เขาต้องการ มันก็แลกเปลี่ยนกัน” นายธนาธรกล่าว
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า การสร้างซอมบี้การเมือง “ส้ม” ผสมพันธุ์ “น้ำเงิน” ในครั้งนี้นั้นไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาเรื่องพรมแดนไทย-เขมร หรือเปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่กัดกินประเทศไทยจนเน่าเฟะ แต่เป็นการแก้ไขปัญหา และตอบสนองตัณหาของตัวเองล้วนๆ กล่าวคือ
ฝั่งภูมิใจไทยก็ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องเขากระโดง, เรื่องฮั้ว ส.ว. รวมไปถึงการปูทางเอาไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ตัวเองจะดูด ส.ส.บ้านใหญ่จากพรรคอื่นทั้ง เพื่อไทย, ประชาธิปัตย์, รวมไทยสร้างชาติ เข้ามาเพื่อรวบรวมคะแนนเสียงให้มากที่สุด
ส่วนฝั่งพรรคส้มก็ต้องการเสียง ส.ว. 1 ใน 3 ที่จะสนับสนุนการเปิดประตูไปสู่ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ” ซึ่งรวมถึง มาตรา 1 และมาตรา 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับอธิปไตย และสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง
ในเวทีสัมนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังกล่าว นายธนาธรยังบอกด้วยว่า ตั้งแต่ตนเองตั้งพรรคการเมืองมา 7 ปี ย่างเข้าปีที่ 8 ไม่เคยมีช่วงไหนที่ตนเองจะมีอำนาจต่อรองทางการเมืองมากกว่าห้วงเวลานี้อีกแล้ว ดังนั้นจึงต้องการเสี่ยงคว้าโอกาสนี้เอาไว้
“ผมอยู่การเมืองมา 7 ปี มันไม่มีวินาทีไหนที่เรามีอำนาจต่อรองทางการเมืองถึงขนาดนี้ได้เลย กุญแจมันแค่ไขครั้งเดียว ถ้าผ่านกระบวนการนี้มันไม่ผ่าน ส.ว.อีก ถ้ายกมือรอบนี้ได้ มันเปิดหีบแล้วกลับมาปิดไม่ได้อีก มันย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว
ถ้าเกิดว่าใครที่คิดว่ามีทางเลือกที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้จริงก็อยากฟังเหมือนกัน เพราะผมมองไม่เห็น การใช้ 1 ใน 3 ของ ส.ว.มันแค่รอบนี้รอบเดียว ไม่ต้องกลับมาอีก มันรอบเดียวจริงๆ ...” นายธนาธรกล่าว
และด้วยเหตุนี้เอง นายธนาธรจึงกล่าว ปกป้อง “คดีฮั้ว ส.ว.สีน้ำเงิน” และกรณีการฮุบที่ดิน “เขากระโดง” ที่เชื่อมโยงกับผู้บริหารที่อยู่ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังของพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างว่ากรณี “เขากระโดง” ถ้ามีความผิดจริง ทำไมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยถึงไม่สั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ฟ้องร้องเอาผิด
“เขากระโดงเอาจริงๆ แล้วมันอยู่ที่การรถไฟฯ เพื่อไทยเป็นรัฐบาลมาตั้งนาน แทบบังคับให้การรถไฟฯ ถ้ามันผิดจริงการรถไฟฯ ฟ้องไปนานแล้ว นี่ไม่ได้ฟ้อง และถ้าผิดจริง ชาวบ้านแถวนั้นก็ผิดกันหมดเลย มันไม่ได้มีแปลงเดียว ...” นายธนาธร กล่าว
ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริงแล้วโดยเรื่องนี้เป็นปัญหาคาราคาซังมาตั้งแต่ ปี 2513 หรือ 54 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมีการนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรม และต่อสู้กันถึงชั้นศาลอุทธรณ์และฎีกา พร้อมกับมีคำพิพากษาที่เป็นที่สุดถึง 3 ฉบับ ประกอบด้วย
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 - 876/2560
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561
และ
3. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563
ซึ่งศาลได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดแจ้งว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375 + 650 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2462
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คำพูดของนายธนาธรทำให้นึกถึง “คดีการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี” ของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของนายธนาธร นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ พี่สาวนายธนาธร
รวมไปถึง นายธนาธร รวมกันแล้วกว่า 2,154 ไร่ ซึ่งชัดเจนว่าที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี โดยกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก ไปแล้ว แม้ว่าศาลปกครองกลางพิพากษาให้กรมที่ดินชดใช้ค่าเสียหายแก่นายธนาธร 4.9 ล้านบาท แต่คดีอาญาฐานรุกป่าสงวนก็ยังไปไม่ถึงศาลยุติธรรมเสียที ทั้งๆ ที่อัยการตีสำนวนคืนมาที่พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) ตั้งแต่ปีที่แล้ว
ส่วนเรื่อง “ฮั้วการเลือก ส.ว.” ที่คนเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าพรรคภูมิใจไทยอยู่เบื้องหลังในการจัดการเพื่อยึดองค์กรอิสระต่างๆ ให้อยู่ภายใต้อาณัติของตัวเอง จนเรียกได้ว่าสามารถกดปุ่มได้ ซึ่งคำพูดเมื่อวันศุกร์ที่แล้วคุณธนาธรเองก็ยอมรับว่า สาเหตุที่โหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯ นั้นเป้าประสงค์หลักก็คือเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่พรรคภูมิใจไทยจะสามารถสั่งการให้ ส.ว. 1 ใน 3 จากทั้งหมด 200 คน เปิดไฟเขียวให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทั้งฉบับ โดยไม่สนใจเลยว่า “ส.ว.สีน้ำเงิน” เหล่านี้ได้มาจากขบวนการอั้งยี่ซ่องโจร สมคบกันยึดอำนาจในองค์กรอิสระที่มีผลต่อการปกครองประเทศผ่านสภาสูง
บนเวทีเสวนา นายธนาธรกล่าวว่า “ฮั้ว ส.ว. นี่ยิ่งหนักเลย ใครเป็นรัฐบาลก็ไม่เกี่ยว เรื่องมันอยู่ที่ กกต. รัฐบาลเกี่ยวอย่างเดียวคือคดีอาญา ไม่ได้เกี่ยวกับการถอดถอน ส.ว. จะถอดถอน ส.ว.ก็ต้องไปกลไก กกต.
“และถ้าคุณเชื่อว่ากลไก กกต.มันเป็นของเขาอยู่แล้ว ใครเป็นรัฐบาลมันก็เป็นของเขาอยู่แล้ว ที่จะนำไปสู่การถอดถอน ส.ว.
“จริงๆ แล้วจะล้ม ส.ว. แล้วอะไร ถ้าเขาถือ กกต.อยู่แล้ว ถ้าคุณเชื่อแบบนั้น ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลเขาก็ถือ กกต.อยู่แล้ว คดีอาญาที่ต้องทำผ่านกระบวนการดีเอสไอ กว่าจะจบโน่น ดีไม่ดี ส.ว.หมดวาระไปแล้ว ไม่รู้คดีอาญาจะถึงฎีกาหรือเปล่าเลย ...”
คำพูดของนายธนาธรบ่งชี้ว่า คุณรู้ทั้งรู้ว่า ส.ว.สีน้ำเงินที่ได้มาจากขบวนการที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ยินยอมพร้อมใจจะให้ ส.ว.ชุดนี้ เดินหน้าเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กระทำชั่วต่อไป โดยไม่สนความถูกความผิด
นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่นายอนุทิน นายกรัฐมนตรี ฮุบเอาทางสาธารณประโยชน์ มาสร้างเป็นรันเวย์สนามบินขนงพระ ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อเอื้อให้ธุรกิจสนามกอล์ฟของครอบครัวชาญวีรกูล รวมไปถึงธุรกิจการให้บริการกระโดดร่มดิ่งพสุธา หรือ Skydiving กับนักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ว่าจะแก้ตัวยังไงนายอนุทินก็ยากที่จะดิ้นหลุด เพราะเมื่อย้อนไป เอกสารการขออนุญาตใช้พื้นที่สนามบิน เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 กลับมีชื่อผู้ยื่นขอใช้คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นการขอในนามส่วนตัว และมอบอำนาจให้ พล.อ.ต.นิพนธ์ โพธิ์เจริญ เป็นผู้ดำเนินการแทน
โดยพื้นที่ที่ยื่นขอใช้คือพื้นที่เดียวกับรันเวย์ที่ทับถนนหลวง และเป็นพื้นที่เดียวกับที่นิคมสร้างตนเองลำตะคองเดินทางไปจับพิกัดร่วมกับเอกชน
สรุป ปฏิบัติการสร้างซอมบี้การเมือง ด้วยการผสมพันธุ์ “พรรคส้ม” เข้ากับ “พรรคสีน้ำเงิน” ครั้งนี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ระหว่างกลุ่มนายธนาธร กับ กลุ่มนายเนวิน โดยหาข้ออ้างเรื่องการแก้ไขวิกฤตประเทศ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง และแก้ไขรัฐธรรมนูญตามใจตัวเองเท่านั้น ซึ่งจะต้องสูญเสียเงินไปอีกหลายพันล้าน และหมื่นล้านบาทในการทำภารกิจดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ นายธนาธรจึงต้องเอาสีข้างเข้าถู ออกมาแก้ต่าง ฟอกขาว เรื่องที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้ว ส.ว.เพื่อปลอบใจ และสร้างความชอบธรรมให้การผสมพันธุ์อันพิลึกพิลั่นครั้งนี้ดูดีที่สุด