รายงานพิเศษ
เพื่อให้เข้าใจความสำคัญในการติดตามสถานการณ์ของพายุโซนร้อน “บัวลอย” ที่จะอ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชันและพัดแฉลบไทยในวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายนนี้ ไปติดตามสถานการณ์ “น้ำในเขื่อนหลัก” ที่เป็น “อ่างเก็บน้ำ กันก่อน
*****
จากข้อมูลสถานการณ์น้ำรายวัน กรมชลประทาน วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2568 ... จับตาเฉพาะที่ 2 เขื่อนใหญ่
เขื่อนภูมิพล แม่น้ำปิง จ.ตาก มีน้ำในเขื่อน 11,126 ล้าน ลบ.ม.
- คิดเป็น 83% ของความจุอ่าง
- รับน้ำได้อีก 2,336 ล้าน ลบ.ม.
- มีน้ำไหลเข้าอ่าง 100 ล้าน ลบ.ม./วัน
- น้ำระบายออก 5.04 ล้าน ลบ.ม./วัน
ดังนั้น สถานการณ์ของเขื่อนภูมิพล คือ ยังมีน้ำจากแม่น้ำปิงไหลลงมาเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยมีคำฮิบายว่า แม้พายุรากาซา ที่ผ่านไปจะให้ฝนโดยตรงไม่มากนัก แต่พายุได้สร้างร่องมรสุมเอาไว้จนทำให้เกิดฝนต่อเนื่องตามมาในลุ่มน้ำปิง เติมลงมาที่เขื่อนภูมิพลต่อเนื่อง ในขณะที่ก่อนหน้านี้ เขื่อนได้รับคำสั่งให้ลดการระบายน้ำ จาก 10 ล้าน ลบ.ม./วัน เหลือเพียง 5 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน
เขื่อนสิริกิติ์ แม่น้ำน่าน จ.อุตรดิตถ์ มีน้ำในเขื่อน 8,609 ล้าน ลบ.ม.
- คิดเป็น 91% ความจุอ่าง
- รับน้ำได้อีก 901 ล้าน ลบ.ม.
- มีน้ำไหลเข้าอ่าง 74.74 ล้าน ลบ.ม./วัน
- น้ำระบายออก 9.98 ล้าน ลบ.ม./วัน
ที่เขื่อนสิริกิติ์ มีสถานการณ์คล้ายเขื่อนภูมิพล คือ น้ำยังไม่เต็มเขื่อนเพราะพายุรากาซา ที่ให้ฝนน้อยกว่าที่คาด แต่ก็ยังได้รับน้ำไหลเข้าเพิ่มมาเรื่อยๆจากร่องมรสุมที่รากาซาเซ็ตตัวไว้ ทำให้น้ำในแม่น้ำน่านไหลเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ... สถานการณ์เช่นนี้ หากมีพายุดีเปรสชัน หรือ หย่อมความกดอากาศต่ำพัดผ่านโดยโดยตรง มีโอกาสสูงมากที่จะมี “น้ำเต็มเขื่อน”
“พายุบัวลอย เป็นพายุโซนร้อนอยู่ในขณะนี้ (27 ก.ย.68) เมื่อเข้าใกล้ประเทศไทยวันที่ 28 กันยายน 68 ที่บริเวณภาคอีสานตอนบนก็จะอ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชัน และมีช่วงเวลาสำคัญคือวันที่ 29 กันยายน ซึ่ง บัวลอย จะอ่อนกำลังลงอีกเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ในระหว่างเคลื่อนตัวแฉลบผ่านบริเวณภาคเหนือ จะส่งผลให้มีฝนตกมากทั้งที่แม่น้ำปิงเหนือเขื่อนภูมิพล และแม่น้ำน่านเหนือเขื่อนสิริกิติ์ ทำให้เขื่อนได้น้ำเพิ่มขึ้นอีกมาก และยังรวมไปถึงพื้นที่อ่อนไหวต่อการถูกน้ำหลากและปนเปื้อนสารพิษอย่างแม่น้ำสาย (อ.แม่สาย จ.เชียงราย) และแม่น้ำกก (อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่) จะได้รับฝนตกมากด้วย”
ข้อมูลนี้ถูกอ้างอิงจากแบบจำลองของกรมอุตุนิยมวิทยาโดยนักวิเคราะห์สถานการน้ำหลายคน เริ่มแสดงความกังวลว่า เขื่อนใหญ่ทั้ง 2 แห่ง อาจจะ “เต็ม” ได้ทั้งคู่หรือไม่ จากสถานการณ์ที่ไทยต้องเผชิญพายุบัวลอย และอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมได้อีก
“เขื่อนสิริกิติ์ วันนี้ (27 ก.ย.68) รับน้ำได้อีก 901 ล้าน ลบ.ม. เมื่อเจอพายุบัวลอย และผลจากน้ำเหนือที่จะทยอยเติมลงมาหลังจากนั้น ยังไงก็เต็มแน่ๆ แต่เขื่อนสิริกิติ์มีลักษณะเป็นเขื่อนดินที่มีความยืดหยุ่น ถึงจะเต็มก็ยังพอจะสามารถหน่วงเวลาการปล่อยน้ำผ่านสปิลเวย์ไปได้ สามารถปล่อยให้มีน้ำในเขื่อนได้เกิน 100% โดยยังควบคุมการระบายน้ำได้บ้าง”
แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่า คือ เขื่อนภูมิพล ... ซึ่งจากสถานการณ์ในเวลานี้ เขื่อนภูมิพลมีน้ำอยู่คิดเป็น 83% ของความจุอ่าง รับน้ำได้อีก 2,336 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ดูเหมือนว่า จะยังสามารถรองรับน้ำได้อีกมากและยังน่าจะบริหารจัดการได้ แต่ที่ผ่านมาเขื่อนภูมิพลระบายน้ำออกจากเขื่อนน้อยมาก ทำให้มีนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งมีความเห็นว่า เขื่อนภูมิพลอาจจะเต็มได้ภายในช่วงเดือนตุลาคมนี้
“เขื่อนภูมิพลจะถูกปล่อยให้มีน้ำเกิน 100% ไม่ได้ เพราะเป็นเขื่อนคอนกรีตโค้งขนาดใหญ่จึงมีพฤติกรรมเขื่อนที่ต่างจากเขื่อนดิน” ... ถ้าเขื่อนภูมิพลเต็ม จะถือเป็นเรื่องที่ต้องกังวลมาก เพราะมีกลไกที่ถูกกำหนดให้ปล่อยน้ำโดยอัตโนมัติทันทีที่น้ำเต็มเขื่อน
“เขื่อนภูมิพล เป็นเขื่อนผลิตกระแสฟ้า มีความจุมากถึงประมาณ 13,000 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแห่งนี้จึงเป็นเขื่อนคอนกรีต และด้วยเหตุผลด้านความแข็งแรงปลอดภัยของเขื่อน เมื่อมาถึงจุเที่น้ำในเขื่อนเต็ม 100% จะไม่สามารถเก็บน้ำไว้ให้เกินกว่านั้นได้ แต่จะตัดน้ำออกไปทาง “อาคารระบายน้ำฉุกเฉิน” (สปิลเวย์) โดยอัตโนมัติ ...
หมายความว่า ถ้าเราปล่อยให้น้ำเข้าเขื่อนภูมพลจนเกินความจุ 100% ตัวเขื่อนจะมีกลไกควบคุมการระบายน้ำของมันเองทันที โดยปล่อยให้น้ำที่เกินความจุไหลล้นผ่านสปิลเวย์ไปเลยเท่ากับปริมาณน้ำที่ไหลลงเขื่อน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจะส่งผลกระทบกับพื้นที่ท้ายเขื่อนทั้งหมดทั้งลุ่มน้ำปิงและลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งหมดอย่างแน่นอน”
ดังนั้นหน่วยงานด้านการบริหารน้ำ ต้องพยายามบริหารโดยมีเป้าหมายไม่ให้น้ำเต็มเขื่อนภูมิพลโดยเด็ดดาด และต้องเริ่มจากการรับมือกับพายุบัวลอย ในอีก 1-3 วันนี้ ทันที
“ถ้าถามถึงสิ่งบ่งชี้อะไรที่ระบุว่า อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์น้ำเต็มเขื่อนภูมิพลได้ ... เราต้องเข้าใจก่อนว่า โดยปกติทุกปี พฤติกรรมของน้ำปิงน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพลจะไปสิ้นสุดที่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งหมายความว่า ในช่วงปลายเดือนกันยายนเช่นนี้ มันเพิ่งจะเดินครึ่งทางของช่วงเวลาที่ต้องรับน้ำเท่านั้น แต่กลับมีน้ำอยู่ในเขื่อนมากถึง 83% ของความจุอ่างแล้ว และจะต้องเจอกับพายุบัวลอยที่แบบจำลองคาดการณ์ว่าจะเกิดฝนมาที่เหนือเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ด้วย ... และเรายังไม่รู้ว่า ในช่วงเดือนตุลาคม จะมีพายุก่อตัวขึ้นมาอีกหรือไม่”
ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำที่ 2 เขื่อนใหญ่ในภาคเหนือตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงกลางเดือนตุลาคม ถือเป็นจุดชี้วัดที่สำคัญของลุ่มน้ำเจ้าพระยาในปี้นี้
หากติดตามสถานการณ์ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จะพบว่า หน่วยงานรัฐพยายามบริหารจัดการโดยมุ่งเน้นไปยังพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางซึ่งประสบภัยน้ำท่วมอยู่เป็นหลัก โดยพยายามบริหารให้ตัวเลขการระบายน้ำออกจากท้ายเขื่อนเจ้าพระยา (จ.ชัยนาท) ซึ่งมีสถานะเป็นเหมือนบานประตูควบคุมปริมาณการไหลผ่านของแม่น้ำเจ้าพระยาลงมาพื้นที่ด้านล่างให้มีอัตราการระบายน้ำที่ไม่สูงเกินไป (27 กันยายน 2568 - ระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 2,100 ลบ.ม./วินาที ... และการจะทำเช่นนั้นได้ ก็ต้องใช้วิธีลดอัตราการระบายน้ำออกจากทั้งเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ เช่นตัวเลขที่เราเห็นกันแล้วว่า เขื่อนภูมิพลมีการระบายน้ำออกในวันที่ 27 กันยายน 2568 แค่วันละ 5 ล้าน ลบ.ม. จากที่ก่อนหน้านี้เคยระบายน้ำอยู่ที่ประมาณวันละ 10 ล้าน ลบ.ม. .... ทั้งที่ในวันนั้นมีน้ำไหลเข้าเขื่อนมากถึง 100 ล้าน ลบ.ม.
นั่นเป็นเหตุผลที่ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มีการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีมติเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 ในการปรับแผนระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ โดยจะปรับอัตราการระบายน้ำออกจากทั้งเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มเป็น 15 ล้าน ลบ.ม./วัน ทั้ง 2 เขื่อน เพื่อให้มีพื้นที่ว่างรองรับน้ำที่จะเพิ่มขึ้นจากพายุบังลอยได้
ส่วนพื้นที่ด้านล่าง นักวิเคราะห์หลายหน่วยงานประเมินกันว่า เมื่อทั้ง 2 เขื่อนใหญ่ (ภูมิพล-ตาก / สิริกิติ์ - อุตรดิตถ์) เพิ่มอัตราการปล่อยน้ำมาแล้ว จะมีอัตราการไหลผ่านของน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา (ชัยนาท) อยู่ที่ประมาณ 2,400 ลบ.ม./วินาที ... ส่วนจะปล่อยน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาลงมาในอัตราเท่าไหร่ ต้องประเมินเป็นรายวัน เพราะต้องดูสถานการณ์ในที่ราบลุ่มภาคกลางด้วย
“หลังบัวลอยผ่านไป พื้นที่รับน้ำในลุ่มเจ้าพระยาน่าจะแทบไม่มีที่ว่างเหลือแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อย่างเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ ทุ่งบางระกำก็เต็มแล้ว บึงบอระเพ็ดก็เต็มแล้ว ดังนั้น หลังพายุบัวลอยผ่านไป เราจะเห็นตัวเลขที่ทำให้รู้ว่า มีน้ำมากแค่ไหน โดยจะต้องประเมินเผื่อปริมาณน้ำฝนที่ยังจะต้องเจอในช่วงเดือนตุลาคมไว้ด้วย ... จากนั้น ก็จะรู้ว่า ทุ่งรับน้ำในภาคกลาง ซึ่งเป็น “ที่ว่างเดียว” ที่ยังเหลืออยู่ ควรจะต้องถูกงัดออกมาใช้รับในเวลาไหน”
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงมีคำถามใหญ่เกิดขึ้นมาว่า ... สถานการณ์น้ำในเขื่อนใหญ่ที่มีน้ำใกล้เต็มเขื่อนหลายแห่ง ถือประเด็นสำคัญที่หน่วยงานบริหารจัดการน้ำทั้งหลาย ควรจะต้องรีบแจ้งต่อประชาชนหรือไม่ ... ข้อมูลของแต่ละหน่วยงานวิเคราะห์แล้วเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ประเมินไปในทางเดียวกันหรือไม่
น้ำอาจจะเต็ม 2 เขื่อนใหญ่ ที่สามารถกำหนดชะตาคนทั้งลุ่มน้ำได้ ... ถือเป็นเรื่องใหญ่พอมั้ย ที่หน่วยงานรัฐควรใช้วิธี แถลงอย่างจริงจัง โดยบุคคลระดับสูงที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสถานการณ์ว่า นี่เป็นเรื่องที่ประชาชนควรรับรู้ “ตั้งแต่ตอนนี้” เพื่อตระหนัก แต่ไม่ตระหนก