รายงานพิเศษ
“ตลอดการทำงานเข้าตรวจโรงงานกลุ่มรีไซเคิลโดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนมาประมาณ 10 เดือน สิ่งที่เราพบมากที่สุด คือ การลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์มาจากต่างประเทศ มีทั้งโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตแต่ทำไม่ถูกต้อง โรงงานเถื่อนที่ไม่มีใบอนุญาตเลย และโรงงานจีนที่ใช่นอมินีคนไทยเป็นเจ้าของ”
ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ อดีตหัวหน้าทีมสุดซอย หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในช่วงที่มี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรี เล่าถึงกลไกได้เข้าไปเจอในระหว่างที่รับหน้าที่เป็นทีมหัวหมู่ทะลวงฟันเข้าไปตรวจสอบโรงงานกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสีย (Waste Processor) โดยอาศัยอำนาจรัฐมนตรีในช่วงก่อนการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ในเวที “พลเมืองสู้มลพิษ จับคาอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม” ที่จัดขึ้นโดบมูลนิธิบูรณะนิเวศ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 มีตัวแทนประชาชนกว่า 100 คน จาก 12 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากกากอุตสาหกรรมมาหลายปีเข้าร่วม
“ต้นทางเถื่อน ปลายทางก็ต้องเถื่อน”
วลีสั้นๆ นี้ คือสิ่งที่อดีตหัวหน้าทีมปฏิบัติการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้ให้เห็นถึงวงจรอุบาทว์ของการจัดการกากอุตสาหกรรมในประเทศไทยซึ่งสรุปมาได้จากการเข้าตรวจสอบโรงงานที่ถูกร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก เพราะผู้ประกอบการสามารถเปิดโรงวานได้ด้วยกลไกพิเศษ ไม่ถูกตรวจสอบทั้งศักยภาพของโรงงานและไม่ถูกตรวจสอบว่ามีความสามารถจัดการกับวัตถุดิบที่รับมารีไซเคิลได้จริงหรือไม่ เพราะโรงงานกลุ่มนี้ มีจุดเริ่มตั้งแต่การได้ใบอนุญาตมาอย่างไม่ถูกต้อง หรือที่มีใบอนุญาตถูกต้องก็ประกอบกิจการไม่เป็นไปตามใบอนุญาต บางรายทำเกินไปกว่าที่ได้รับใบอนุญาตโดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ กลุ่มอิทธิพลและกลุ่มการเมืองในพื้นที่
“ขอยกตัวอย่างที่ จ.ฉะเชิงเทรา ทีมสุดซอบพบการนำสายไฟบดย่อยไปลักลอบทิ้งในป่ารวมถึง 28 จุด มีทั้งรูปแบบที่ผู้ประกอบการไปเสนอค่าตอบแทนให้ชาวบ้านไม่กล้าร้องเรียน และมีทั้งจุดที่ชาวบ้านไม่รับรู้มาก่อนเลยจึงมาร้องเรียนให้เราไปตรวจสอบเพื่อติดตามจับกุม”
“สายไฟคือหนึ่งในอีกหลายชนิดของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ลักลอบนำเข้ามาในประเทศไทยเพื่อนำมารีไซเคิลและนำของที่ยังมีค่าส่งกลับไปขาย แต่กลับทิ้งเศษซากอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ไม่ได้แล้ว กลายเป็นวัตถุอันตรายปนเปื้อนอยู่บนแผ่นดินไทย” ฐิติภัสร์ อธิบายพฤติกรรมของกลุ่มโรงงานรีไซเคิลที่ถูกชุดปฏิบัติการสุดซอยเข้าไปตรวจสอบตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ฐฺิติภัสร์ ย้ำว่า หลักการใหญ่ที่เป็นนโยบายจากรัฐมนตรีอุตสาหกรรมในการทำงานของทีมสุดซอย คือ ต้องไม่ให้เกิดการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมขึ้นอีก ต้องเร่งแก้ไขความเดือดร้อนเดิมที่ชาวบ้านต้องกลายเป็นเหยื่อ และต้องวางรากฐานเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว
การแก้ปัญหาพื้นที่ปนเปื้อนเดิมที่เกิดขึ้นมานานแล้ว คือ ประเด็นร้อยที่ชาวบ้านรอความหวัง เช่น ที่โรงงานแว็กซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล จ.ราชบุรี และที่โรงงานวิน โพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบพยายามเดินหน้าต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ชนะคดีแล้ว แต่การชดเชยเยียวยาที่เหมาะสมกลับไม่เกิดขึ้น เพราะหน่วยงานรัฐก็ไม่สามารถดำเนินการบังคับคดีให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบในการชดเชยเยียวยาและการนำกากอุตสาหกรรมไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการได้ เนื่องจากการกำจัดมีราคาสูง และผู้ประกอบการได้โยกย้ายทรัพย์สินออกไปจากบัญชีบริษัทหมดแล้ว ... ทำให้หากต้องการจะช่วยชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบให้เร็ว ก็ต้องไปขออนุมัติงบประมาณของรัฐมาใช้ไปก่อน ซึ่ง ฐิติภัสร์ เปิดเผยว่า ก่อนนายเอกนัฏ พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ก็ได้จัดทำงบประมาณปี 2569 ไว้สำหรับใช้แก้ไขใน 2 พื้นที่ดังกล่าวแล้ว
“ต้นเดือนตุลาคม กระทรวงอุตสาหกรรมจะมีงบประมาณราว 40 ล้านบาท มานำ กากอุตสาหกรรมที่เป็น “ของเหลว” ซึ่งค้างอยู่ในโรงงานวิน โพรเสส ออกไปกำจัดอย่างถูกต้อง และในงบปี 69 ยังได้รับอนุมัติไปแล้วอีกราว 400 ล้านบาท เพื่อเคลียร์กากของเสียอันตรายทั้งหมดออกไปภายในปี 2569 ... ส่วนที่ราชบุรี ก็ได้จัดสรรงบประมาณในช่วงต้นปี 2569 ไว้แล้วเช่นกัน เป็นงบสำหรับนำไปสำรวจของเสียที่ต้องกำจัดทั้งหมดในโรงงานแว็กซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล ที่ถูกลักลอบฝังกลบในโรงงานมายาวนานมากกว่า 10 ปี”
อดีตหัวหน้าชุดปฏิบัติการสุดซอย ชี้แจงให้เห็นว่า ภารกิจใหญ่สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณปี 2569 ของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ การเข้าไปสำรวจและฟื้นฟูใน 2 พื้นที่นี้ ซึ่งภาคประชาขชนต้องช่วยกันจับตาอย่างใกล้ชิดว่า งบประมาณที่ขออนุมัติไปแล้ว ได้ถูกนำไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ในการขอจากสำนักงบประมาณหรือไม่ หลังเปลี่ยนแปลงผู้บริหารกระทรวง
หากตัดคำว่า “ฝักฝ่ายทางการเมือง” ออกไป ต้องยอมรับว่า ชุดปฏิบัติการสุดซอย ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากเครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม เพราะประชาชนเห็นการทำงานที่ลงพื้นที่ไปจัดการกับโรงงานทุกกลุ่มแบบไม่สนใจอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังโรงงาน เห็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ละที่สำคัญที่สุด คือ เห็นความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายที่สนับสนุนให้ข้าราชการในกระทรวงอุตสาหกรรมสามารถทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้จริง ต่างจากในอดีตที่ผ่านมาที่ชาวบ้านมักจะมองว่า เจ้าหน้าที่รัฐมักจะปกป้องโรงงานมากกว่าปกป้องสิทธิของประชาชน
“จากทีมปฏิบัติการสุดซอยที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรี เราจะเปลี่ยนไปเป็น “คณะสุดซอย” ที่ไม่มีอำนาจรัฐแล้ว แต่เป็นทีมของภาคประชาชนที่เปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากคำว่า “กำกับดูแล” ไปเป็นคำว่า “ตรวจสอบและติดตาม” โดยเราจะตามย้อนกลับไปดูว่า ภายใต้การทำงานของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ได้สานต่อสิ่งที่ชุดสุดซอยได้ทำไว้เดิมหรือไม่ โรงงานที่ถูกลงโทษสั่งปิดไปได้กลับมาเปิดใหม่หรือไม่ นโยบายเดิมที่เราจะไม่ออกใบอนุญาตใหม่ให้กลุ่มโรงงานคัดแยกขยะ(105) และโรงงานรีไซเคิล(106) ยังดำเนินต่อไปหรือไม่” ฐิติภัสร์ ประกาศต่อที่ประชุมที่มีประชาชนผู้ได้รับผลกระทบกว่า 100 คน เป็นสักขีพยาน
นอกจากติดตาม ตรวจสอบ รับเรื่องร้องเรียน ฐิติภัสร์ เผยว่า คณะสุดซอย ยังได้แบ่งภารกิจกันในการผลักดันร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ในระยะยาว โดยมี 2 ฉบับที่อยู่ในการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว คือ ร่าง พรบ.โรงงาน ฉบับใหม่ ที่จะเพิ่มทั้งอายุความและบทลงโทษกับโรงงานที่ลักลอบทิ้งของเสีย ... ร่าง พรบ.PRTR เพื่อบังคับให้ต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายมลพิษ ซึ่งต้องพยายามขับคลื่อนให้ผ่านเป็นกฎหมายก่อนยุบสภา และอีก 1 ฉบับที่ยังไม่ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพราะต้องผ่านกระทรวงการคลังเนื่องจากจะตั้งกองทุนอุตสาหกรรมขึ้นมาเป็นกลไกในการฟื้นฟู คือ ร่าง พรบ.จัดการกากอุตสาหกรรม ที่จะแยกโรงงานกลุ่มรับกำจัดและบำบัดของเสียออกมาอยู่ใต้หลักเกณฑ์ที่เข้มข้นขึ้น