รองโฆษกมหาดไทยกัมพูชา อ้างคำพูด “พล.อ.ประวิตร” สมัยรัฐบาล “อภิสิทธิ์” บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้วอยู่ในเขตอธิปไตยกัมพูชา ชี้การขับไล่คนเขมรออกจากบ้าน-ที่ดินทำกิน สลายการชุมนุม ข่มขู่จับกุม โดยใช้แผนที่ที่เขียนขึ้นฝ่ายเดียว ถือว่าละเมิดหลักการปักปันเขตแดน เข้าขายเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศ
วันนี้(23 ก.ย.) นายทัช โสกา รองโฆษกกระทรวงมหาดไทย กัมพูชา ได้เขียนบทความเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนในเครือข่ายรัฐบาลหลายสำนัก โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในวังวนของการละเมิดหลักการปักปันเขตแดนระหว่างประเทศ ความเท่าเทียมทางอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน ซึ่งเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศ!
นายทัชอ้างว่า ประเทศไทยได้วางแผนรุกราน คุกคาม และบังคับใช้หลักการที่ผิดกฎหมายอย่างเป็นระบบครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านทางเจ้าหน้าที่ กองทัพ และกองกำลังพันธมิตร รวมถึงการส่งข้อความที่บิดเบือน ใส่ร้าย ข่มขู่ และข่มขู่คุกคาม ใช้มาตรการต่างๆ จับกุม และบังคับใช้กฎหมายไทยกับพลเมืองกัมพูชาที่อาศัย ครอบครอง และได้รับประโยชน์จากดินแดนบรรพบุรุษอันชอบธรรมมาหลายชั่วอายุคน บนดินแดนอธิปไตยอันชอบธรรมของกัมพูชา
นายทัชยังอ้างอีกว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วคนปัจจุบันของประเทศไทย ต่างยอมรับว่าที่ดินอยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา และในปี พ.ศ. 2553 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศต่อผู้สื่อข่าวว่าที่ดินในหมู่บ้านไพรจัน(บ้านหนองหญ้าแก้ว) และหมู่บ้านโชคชัย(บ้านหนองจาน) รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ตามแนวชายแดน อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา
“ตรงกันข้ามกับที่ทราบกันดีว่า ด้วยเหตุผลทางการเมืองภายในประเทศและแรงกดดันจากกลุ่มหัวรุนแรงบางกลุ่มของไทย รวมถึงความตั้งใจที่จะรักษาตำแหน่งของตนไว้ ท่านกลับกล้าละเมิดกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศอย่างเปิดเผย กิจกรรมที่ฝ่าฝืนกฎหมายของผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้แก่ การประกาศให้ประชาชนของตนเข้ายึดครองและแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นที่ชายแดนที่เป็นข้อพิพาท และสัญญาว่าจะออกโฉนดที่ดิน เรียกร้องให้ฝ่ายบริหารจังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชาดำเนินการตาม และกำหนดระยะเวลาให้ชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่สมัยโบราณให้อพยพออกไป
“ตามแผน นโยบาย และข้อความของผู้ว่าราชการจังหวัด กองทัพไทยได้ดำเนินการวางรั้วลวดหนาม วางยางรถยนต์ ผ้าสแลนสีดำ ละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา ติดตั้งกล้องวงจรปิด ขับไล่พลเมืองกัมพูชาออกจากบ้านเรือน ขัดขวางการใช้พื้นที่เพาะปลูก สร้างสนามเพลาะ และรื้อถอนบ้านเรือนของพลเมืองกัมพูชาที่ไม่มีอาวุธ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ กองกำลังผสม พระสงฆ์ และพลเมืองกัมพูชาที่ไม่มีอาวุธจะออกมาประท้วงในพื้นที่นี้โดยสันติวิธีและถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอด” รองโฆษกมหาดไทยเขมรกล่าว
เข้าอ้างอีกว่า ความรุนแรงอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งทำให้พระสงฆ์กว่า 30 รูป กองกำลังไร้อาวุธ และพลเมืองกัมพูชาผู้บริสุทธิ์หมดสติ บาดเจ็บสาหัส ฯลฯ เป็นพฤติกรรมของคนยุคดึกดำบรรพ์ ขัดต่อแก่นแท้ของอารยธรรมในอดีต ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นองค์ประกอบของอาชญากรรมระหว่างประเทศภายใต้อำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ ยิ่งไปกว่านั้น หากนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย กระทรวงมหาดไทย ไม่ดำเนินมาตรการควบคุมสถานการณ์ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว แม่ทัพภาคที่ 1 และกองทัพไทยก่อขึ้น หรือหากรัฐบาลไทยยังคงเพิกเฉยหรืออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ในฐานะปัจจัยร่วม ประเทศไทยจะร่วมกันรับผิดชอบที่ทำให้ประเทศไทยต้องประสบกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายทางประวัติศาสตร์ ซึ่งขัดต่อความปรารถนาของประชาชนและนักการเมืองรุ่นใหม่ของไทย ซึ่งเป็นคนรุ่นต่อไปที่กำลังลุกขึ้นมาฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้ดีขึ้น
ตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการกระทำฝ่ายเดียวของไทย ซึ่งรวมถึงความพยายามจับกุมพลเมืองกัมพูชา การวางลวดหนามรอบที่ดิน การติดตั้งยางรถยนต์ ผ้าคลุมสีดำ และกล้อง การขับไล่พลเมืองกัมพูชา การรื้อถอนบ้านเรือนในดินแดนอธิปไตยของกัมพูชาที่ผู้คนอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน และการใช้ความรุนแรงในรูปแบบอื่นๆ ล้วนเป็นวิธีการที่ไทยกำลังแสดงให้โลกเห็นว่า “ไทยกำลังบังคับใช้กฎอัยการศึกในดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา” ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างสากล
ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศไทยถือเป็น “การบังคับใช้กฎอัยการศึกในดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา” ซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกเทียบเคียงได้ ประเทศไทยกำลังหวนกลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์ ดำเนินชีวิตอย่างป่าเถื่อน การกระทำหรือภารกิจฝ่ายเดียวทั้งหมดของประเทศไทย ล้วนเป็นการละเมิดหลักการระหว่างประเทศว่าด้วย “การปักปันเขตแดนอาณานิคม” ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้หากปราศจากความตกลงใหม่ระหว่างสองฝ่าย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังละเมิดหลักการเขตอำนาจของ “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม” ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งไม่สามารถกำหนดเป็นเส้นแบ่งเขตแดนทางกฎหมายได้โดยฝ่ายเดียว
นายทัช อ้างอีกว่า ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ การกำหนดเส้นเขตแดนฝ่ายเดียวและการกำหนดให้เป็นเส้นเขตแดนฉุกเฉินถือเป็นการละเมิดพื้นฐานทางกฎหมาย ประการแรก เส้นเขตแดนไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยข้อตกลงระหว่างสองรัฐ และไม่มีสนธิสัญญาใหม่เกี่ยวกับพรมแดน ประการที่สอง เส้นแบ่งเขตไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยการปฏิบัติงานทางเทคนิคของคณะกรรมาธิการชายแดนร่วม (Joint Border Commission-JBC) ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากทั้งสองรัฐเพื่อสำรวจและทำเครื่องหมายเขตแดน การปักปันเขตแดนฝ่ายเดียวของไทยถือเป็นการละเมิดหลักการ Uti-Possidetis Juris (UPJ) อย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งเป็นหลักการว่าด้วยพรมแดนที่ไม่อาจละเมิดได้ ซึ่งคู่กรณีในข้อพิพาทนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพรมแดนที่หลงเหลือจากอาณานิคมได้ เว้นแต่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงพรมแดนที่มีอยู่
นายทัช สรุปลงท้ายว่า จากข้อเท็จจริง การกระทำฝ่ายเดียวหรือการกระทำใดๆ และหลักฐานที่เป็นรูปธรรมมากมายของประเทศไทย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไทยไม่ควรปล่อยให้ตนเองต้องดิ้นรนต่อสู้โดยประกาศว่าได้อนุมัติให้กองทัพตัดสินใจเรื่องเขตแดนกับกัมพูชาอย่างครบถ้วนแล้ว กล่าวคือ เขาต้องตรวจสอบและดำเนินมาตรการที่เหมาะสมกับผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ซึ่งได้ดำเนินมาตรการต่อเนื่อง แม่ทัพภาคที่ 1 และผู้นำในการดำเนินการที่บ่อนทำลายข้อตกลงหยุดยิงและข้อตกลงอื่นๆ ระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกดขี่ข่มเหงพลเมืองกัมพูชานั้นขัดต่อหลักการของอาเซียน มาตรา 33 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักการทั่วไปในฐานะสมาชิกขององค์กรระดับโลกนี้ การกระทำดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจะนำไปสู่ “อาชญากรรมระหว่างประเทศ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้