รายงานพิเศษ
“มีอาวุธมั้ยคะ มีอาวุธมั้ย” (เทของในกระเป๋าออกมาให้ดู)
“นี่เวทีรับฟังความคิดเห็น คุณมาทำแบบนี้เหรอ ... ตรวจมาข้างนอกไม่ใช่เหรอ มีอาวุธมั้ยครับ คุณคิดว่ายังไงครับ เวทีรับฟังคุณมานั่งค้นเราข้างในเนี่ยนะ”
ข้อความเหล่านี้ปรากฎอยู่ในคลิปที่ถูกบันทึกไว้เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 เป็นภาพและเสียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรีสอร์ตแห่งหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่ง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ อส. ของจังหวัดปราจีนบุรี มาขอตรวจค้นกระเป๋าของชายหญิงคู่หนึ่งกลางห้องประชุม ทั้งที่อยู่ระหว่างการบรรยายใน “เวทีรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) รายงานผลการศึกษาโครงการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC” หรือถ้าจะอธิบายให้เข้าใจโดยง่าย คือ เวทีรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆในการที่จะขยายพื้นที่ EEC จากที่เคยครอบคลุม 3 จังหวัด ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ให้ครอบคลุมมาถึงจังหวัดปราจีนบุรีด้วย
โดยเฉพาะในเขตอำเภอกบินทร์บุรี และอำเภอศรีมหาโพธิ ซึ่งมีปัญหาจากโรงงานรีไซเคิลกลุ่มทุนจีนอย่างหนักอยู่แล้ว ทำให้มีประชาชนและภาคประชาสังคมชาวปราจีนบุรีจำนวนหนึ่ง รวมตัวกันในนามกลุ่ม “ปราจีนเข้มแข็ง” คัดค้านการขยายตัวของ EEC มายังปราจีนบุรี โดยใช้สโลแกนว่า “หยุด ยกปราจีน ให้ทุนจีน” แต่ที่ผ่านมากลุ่มปราจีนเข้มแข็ง พยายามสื่อสารว่า พวกเขาได้พื้นที่น้อยมากในเวทีรับฟังความคิดเห็นหลายครั้งก่อนหน้านี้ ทั้งที่มีสถาบันวิชาการอย่าง “สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” เป็นหน่วยงานที่นำเสนอผลการศึกษาและจัดเวทีรับฟัง
คำถามสำคัญ คือ ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงเลือกขอค้นกระเป๋าเป็นบางคนเท่านั้น และมาขอค้นกลางห้องประชุมในระหว่างที่กำลังมีการบรรยาย
“ที่ผ่านมามีเวทีที่พวกเราเคยถูกปิดไมค์ มีเวลาให้พวกเราพูดแค่คนละไม่กี่นาที ในขณะที่เลขาธิการ EEC กับผู้ว่าฯปราจีน ที่มีท่าทีสนับสนุน EEC อย่างชัดเจนใช้เวลาพูดเป็นชั่วโมง”
สุเมธ เหรียญพงษ์นาม จากกลุ่มคนรักษ์กรอกสมบูรณ์ หนึ่งในเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง คือ ชายคนที่ถูกขอตรวจค้นกระเป๋ากลางห้องประชุมเวทีรับฟังความคิดเห็นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 เขาอธิบายถึงวิธีการในการ “รับฟังความคิดเห็นของประชาชน” ในหลายเวทีที่ผ่านมา จนกระทั่งมาถึงเวทีครั้งล่าสุด ที่เขาเดินทางมาตามคำเชิญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ อส.ในเครื่องแบบ เข้ามาขอตรวจค้นกระเป๋าหลังจากเริ่มเวทีไปเพียงไม่นาน ทั้งที่ระหว่างเดินเข้ามาที่ห้องประชุมก็ไม่มีการตรวจค้นใดๆ
“ผมได้รับเอกสารเชิญให้มาเข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็น จากอาจารย์ของ ม.ธรรมศาสตร์ ผ่านทางแชทในเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ในนามกลุ่มคนรักษ์กรอกสมบูรณ์ ... แม้ว่าจะได้รับแจ้งล่วงหน้าเพียงประมาณ 3 วัน แต่ผมก็อยากไปแสดงความเห็นด้วยความสุภาพ .... ผมไปกับน้องผู้หญิงอีกคนที่ทำงานตรวจสอบเรื่องโรงงานทุนจีนลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมด้วยกัน พอมาที่จุดลงทะเบียนก็ขอเอกสาร ยังได้เจอเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.และทักทายกันตามปกติ ระหว่างเดินขึ้นไปที่ห้องประชุมก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ อส.ในเครื่องแบบรออยู่ที่ทุกประตูทางเข้า แต่ก็ไม่ถูกเรียกตรวจค้นอะไร ยังมีเจ้าหน้าที่ที่รู้จักกันพาเข้าไปในห้องที่ใช้จัดงาน” สุเมธ เล่าเหตุการณ์ก่อเกิดเหตุ
เวทีรับฟังความคิดเห็น เริ่มต้นขึ้นด้วยการบรรยายของนักวิชาการจาก ม.ธรรมศาสตร์ เพื่ออธิบายเหตุผลที่ควรจะขยาย EEC มาที่ จ.ปราจีนบุรี แต่การบรรยายเริ่มไปได้เพียง 5 นาที เจ้าหน้าที่ อส. พร้อมด้วยปลัดฝ่ายปกครองของ อ.กบินทร์บุรี ก็เข้ามาขอค้นกระเป๋าของสุเมธ ซึ่งนั่งรวมอยู่กับตัวแทนคนอื่นจากเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง
“ผมกำลังฟังบรรยายไปได้เพียงประมาณ 5 นาที มีเจ้าหน้าที่ อส. เดินเข้ามาบอกว่า ขออนุญาตค้นกระเป๋าของผมที่วางอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้ ผมจึงถามว่าจะขอค้นไปทำไม และถามต่อว่า ทุกคนในห้องนี้จะต้องถูกตรวจค้นเหมือนกันมั้ย แต่ไม่ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ แต่กลับไปขอค้นกระเป๋าของผู้หญิงอีกคนที่เดินทางมาด้วยกัน โดยไม่แจ้งวัตถุประสงค์ที่ขอค้นเช่นเดิม เมื่อน้องผู้หญิงจึงบอกว่า เป็นกระเป๋าส่วนตัว มีแต่เอกสาร จะค้นอะไร เจ้าหน้าที่จึงแจ้งว่า จะค้นเพื่อหาอาวุธในกระเป๋า ทำให้น้องผู้หญิงซึ่งรู้สึกแย่ จึงเทของออกมาจากกระเป๋าให้ดูทั้งหมด ก่อนที่ผมจะเปิดกระเป๋าของผมให้ดูว่ามีแค่เอกสารข้อมูลอีกด้านของ EEC พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐจึงมาทำเช่นนี้ในเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นเวทีที่ควรจะเปิดกว้าง”
เหตุการณ์ในคลิปที่ถูกบันทึกไว้แต่สุเมธไม่ได้เล่า ยังแสดงให้เห็นว่า เมื่อการขอค้นกระเป๋าเริ่มขึ้นจนมีเสียงดังโต้ตอบกัน การบรรยายที่หน้าห้องของนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาชื่อดังกลับยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งสุเมธตั้งคำถามว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในเวทีรับฟังความเห็น นักวิชาการที่กำลังบรรยายอยู่ ตอบเพียงว่า มีเวลาบรรยายไม่มาก ขออนุญาตบรรยายต่อไปเลย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ตอนนั้น มี อส.มา 3 คนครับ มีอีกคนเป็นปลัดปกครอง อ.กบินทร์บุรี และมีอีกคนเดินมาข้างหน้า ไม่แน่ใจว่าเป็นใคร แต่คนที่เราไม่รู้จักเป็นคนที่พูดเชิญให้น้องผู้หญิงออกไปข้างนอกห้อง แต่เราไม่ออกไป เราจึงบอกว่าให้เอาเอกสารไปช่วยแจกด้วย จนเขาเดินออกไปเอง”
“ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ เพราะถ้าเจ้าหน้าที่มีข้ออ้างว่ามีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ควรจะต้องตั้งจุดตรวจค้นทุกคนที่มาเข้าร่วมเวทีตั้งแต่ด้านนอก แต่สิ่งที่เราพบ คือ ในช่วงที่เรามา เราเห็นทุกคนต้อนรับเรา เพราะเราได้หนังสือเชิญมา ... ดังนั้นจึงตั้งคำถามกลับไปว่า การมาขอตรวจค้นอย่างกะทันหันในห้องประชุม เกิดขึ้นจากคำสั่งของใคร ทำไมต้องมาค้นในห้องประชุม ทำไมไม่เชิญเราออกไปข้างนอก ทั้งที่ในห้องประชุมเวลานั้นมีบุคคลระดับสูงอยู่หลายคน ไม่ว่าเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เลขาธิการ EEC รวมทั้งอาจารย์จาก ม.ธรรมศาสตร์ ที่กำลังบรรยายอยู่”
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น สุเมธ เดินออกไปสอบถามเพื่อหาคำตอบจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐอีกหลายคนนอกห้องประชุมรวมทั้งหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่มาขอค้น แต่ไม่ได้รับคำอธิบายถึงสาเหตุของการส่ง อส.มาค้นกระเป๋าแค่ตัวเขากับผู้หญิงคนดังกล่าวเพียง 2 คน
สุเมธ ยังขอให้ผู้บังคับบัญชาของ อส. ก็คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ซึ่งมีผู้บังคับบัญชาสูงสุดอยู่ในเหตุการณ์ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ควรจะออกมาชี้แจงการปฏิบัติครั้งนี้ เพราะก่อนหน้านี้ผู้ว่าฯคนนี้เคยแต่งตั้งผู้ประกอบการโรงงานรีไซเคิลที่เป็นนายทุนชาวจีนให้มาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา จนถูกตั้งคำถามจากภาคประชาชนมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบ
จาเหตุการณ์นี้ ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความของประชาชนผู้เสียหายจากการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตทางข้อกฎหมายไว้อย่างน่าสนใจว่า พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ อส. ที่เข้ามาขอตรวจค้นผู้เข้าร่วมประชุมในเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อหน้าคนจำนวนมากกลางห้องประชุม อยู่ในขอบข่ายอำนาจที่ อส.สามารถทำได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญของประชาชนหรือไม่
“ผมดูแล้วเห็นว่า การกระทำนั้นเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากที่มีบลักษณะทำให้อับอาย คุกคาม ปิดกั้นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์”
“เมื่อพิจารณาจากข้อกฎหมาย ขอตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศไทยมีกฎฆมายบังคับใช้ตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 แล้ว การกระทำนี้ถือเป็นความผิดตามมาตรา 6 คือ อาจจะเป็นความผิดฐานการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาทหรือไม่”
“กฎหมายฉบับนี้มีใช้บังคับมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ปัจจุบันเห็นว่าเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนยังค่อนข้างละเลย หรือไม่ตระหนักในการปฏิบัติหน้าที่ให้อยู่ภายใต้กฎหมายนี้อยู่พอสมควร” ...
ทนายชำนัญ ทิ้งท้ายว่า นี่อาจเป็นกรณีที่ผู้เสียหายสามารถแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่หรือผู้สั่งการได้