ทบ.แถลงครบ 53 วันหลังหยุดยิง พบเขมรละเมิดทั้งวางทุ่นระเบิด-ยิงปืนเล็กก่อกวน-พฤติกรรมยั่วยุ-บินโดรนล้ำแดน-ปล่อยเฟกนิวส์-โล่มนุษย์ ซัดปากอ้างรักสันติภาพแต่การกระทำย้อนแย้ง ชี้หากพบสอดแนม-เตรียมโจมตี เป็นเหตุป้องกันตนเองได้
วันที่ 19 ก.ย. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) แถลงข่าวสรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งถ้านับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงที่ไทยและกัมพูชาได้กำหนดร่วมกันโดยไม่มีเงื่อนไขในวันแรก คือช่วงเช้าของวันที่ 29 ก.ค. 68 จนถึงวันนี้ นับเป็นวันที่ 53 แล้ว
ซึ่งไทยได้มีความพยายามในการเข้าร่วมประชุมหารือเพื่อเห็นชอบร่วมกันผ่านการประชุมต่างๆ เช่น การประชุม GBC ไทย–กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 และได้ข้อสรุปร่วมกัน 13 ข้อ เพื่อยุติความรุนแรงตามแนวชายแดน และวางกลไกเพื่อรักษาสันติภาพอย่างยั่งยืน ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทยและกัมพูชา ทั้งในพื้นที่ ทภ.1 และ ทภ.2 มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นในหลายประการ
โดยกำลังทหารของฝ่ายไทยได้ยึดมั่นและปฏิบัติตามข้อตกลงมาโดยตลอด รวมทั้งยังคงเตรียมพร้อม เฝ้าติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด แต่ก็พบว่ากำลังทหารของฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามในการดำเนินการต่างๆ ที่ถือเป็น การละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิง ในหลายประการ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
1. การใช้อาวุธ :
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไทยได้พบหลักฐานที่แสดงถึงว่าทางกัมพูชามีความพยายามในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 ผ่านการลักลอบเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย เพื่อทำการวางทุ่นระเบิดดังกล่าว หวังทำร้ายเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง PMN-2 นั้นเป็นชนิดใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในการสู้รบในอดีต ทำให้สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าทางกัมพูชามีการใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 หลังการเจรจาในข้อตกลงหยุดยิง ผ่านหลักฐาน ดังนี้
1.1 การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
- ทุ่นระเบิดที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยเหยียบ และได้รับบาดเจ็บ รวมจำนวน 3 ครั้งหลังข้อตกลงหยุดยิง
- ทุ่นระเบิดที่ได้ตรวจพบ โดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ที่ได้ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยได้มีการเคลียร์ให้ปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว แต่กลับพบแนวการวางใหม่ และทั้งหมดอยู่ในสภาพใหม่ พร้อมใช้งาน ซึ่งผลการปฏิบัติของชุด TMAC สามารถตรวจพบได้ ดังนี้
• ห้วงวันที่ 10 – 23 ส.ค.68 สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้ 122 ทุ่น, ทุ่นระเบิดต่อต้านยานพาหนะ 4 ทุ่น, สรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด 50 รายการ และสรรพาวุธระเบิดที่ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ 1,575 รายการ
• ห้วงวันที่ 29 ส.ค. – 21 ก.ย.68 สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้ 227 ทุ่น, สรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด 25 รายการ, สรรพาวุธระเบิดที่ถูกทิ่งไว้ในพื้นที่ 467 รายการ
1.2 การใช้อาวุธปืนเล็กยิงก่อกวนเจ้าหน้าที่ทหาร
ตามที่หน่วยในพื้นที่ชายแดน ทภ.2 ได้ตรวจพบและบันทึกหลักฐานนำส่งรายงานมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ
• เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 เวลา 21.30 น. ในบริเวณพื้นที่ช่องคานม้า ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พบกองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงเข้าใส่แนวกำลังฝ่ายไทย เป็นเหตุให้เกิดการปะทะจนถึงเวลา 22.00 น. จึงยุติ
• เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 ตั้งแต่เวลา 22.00 น. ในพื้นที่เขาพระวิหาร บริเวณภูมะเขือและห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ พบกองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับใช้อาวุธยิงสนับสนุนประเภทเครื่องยิงลูกระเบิด ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามหลักสากลในการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง การยิงจากฝ่ายกัมพูชายังคงเกิดขึ้นเป็นระยะจนถึงช่วงเช้าวันที่ 30 ก.ค.2568
• เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2568 เวลา 05.17 น. ในพื้นที่ผามออีแดง จ.ศรีสะเกษ ตรวจพบการยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากฝั่ง กัมพูชา เข้ามาในเขตแดนประเทศไทยอย่างชัดเจน
2. การแสดงออกถึงพฤติกรรมการยั่วยุ
ซึ่งภายหลังข้อตกลงหยุดยิงที่ทางไทยและกัมพูชาได้ให้ร่วมกันไว้ ฝ่ายกัมพูชาก็ยังคงพยายามแสดงออกถึงพฤติกรรมต่างๆ เพื่อมุ่งหวังให้กระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารไทยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
2.1 การใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) บินลาดตระเวนรุกล้ำเขตแดนไทย
ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ ที่อาจส่งผลต่อการปฏิบัติการทางทหาร โดยในห้วง 28 ก.ค.–16 ก.ย. 68 (หลังข้อตกลงหยุดยิง) ตรวจพบรวมทั้งสิ้น 2,905 ครั้ง ( มากที่สุดในบริเวณพื้นที่ตอนในของ ทภ.2 )
• ในพื้นที่ ทภ.2 ตรวจพบรวม 2,443 ครั้ง
• ในพื้นที่ ทภ.1 และ กปช.จต. ตรวจพบจำนวน 462 ครั้ง
2.2 การเผยแพร่ข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง
ที่พบว่ากัมพูชามีความพยายามในการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการให้ข้อมูลหรือข่าวสารที่บิดเบือน และไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งจากทางรัฐบาล กระทรวงกลาโหม และภาคประชาชนของกัมพูชา อาทิ
• การไม่ยอมรับในเรื่องการวางทุ่นระเบิด ทั้งที่มีหลักฐานการใช้ทุ่นระเบิดอย่างชัดเจน
• การกล่าวอ้างว่าฝ่ายไทยได้ใช้อาวุธเคมี ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนของกัมพูชาในห้วงที่ผ่านมา
• และความพยายามในการบิดเบือนเรื่องของพื้นที่อ้างสิทธิ์ว่าเป็นพื้นที่ของฝั่งตน เป็นต้น
2.3 การใช้กำลังภาคประชาชน อาทิ สตรี เด็ก และพระภิกษุสงฆ์ แสดงสัญลักษณ์ หรือออกกระทำการแทนรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทหาร
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กัมพูชาได้ปล่อยให้กลุ่มมวลชนออกมาแสดงออกในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อเจ้าหน้าที่ทหารไทยและประชาชนชาวไทย หรือเป็นฝ่ายเรียกร้องแทนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่ ทภ.1 และ ทภ.2
ดังเช่นภาพที่ปรากฏเมื่อคณะ IOT ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และทหารกัมพูชาเข้ามาแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เมื่อ 18 ส.ค.68 ในบริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี และล่าสุดในพื้นที่ บ.หนองจาน และ บ.หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว
จะเห็นได้ว่าการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในข้างต้นนี้ ล้วนเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากัมพูชามีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายไทยได้รวบรวมและข้อมูลส่งให้คณะ IOT รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศเข้าประท้วงในเวทีและการประชุมต่างๆ ในระดับนานาชาติเป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าไทยได้พบการกระทำของกัมพูชาในเรื่องดังกล่าว แต่ไทยยังแสดงความจริงใจและให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดการประชุมเพื่อหารือถึงทางออกอย่างสันติวิธี ร่วมกับทางกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากการเข้าร่วมการประชุม GBC ไทย–กัมพูชา ครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้น ณ เกาะกง ประเทศกัมพูชา เมื่อ 10 ก.ย.68 ที่ผ่านมา เพื่อรักษาบรรยากาศที่ดี ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมุ่งหวังถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
และสถานการณ์ล่าสุด ที่พบว่าประชาชนชาวกัมพูชาได้ออกมาชุมนุมประท้วงขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย มีพฤติการณ์ที่ยั่วยุและใช้สิ่งเทียมอาวุธ เช่น ไม้ หรือหินขว้างปาทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทย ในพื้นที่เขตอธิปไตยไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งบริเวณดังกล่าว ไม่ใช่ พื้นที่อ้างสิทธิ์ตาม MOU43 แต่อย่างใด
การชุมนุมประท้วงดังกล่าวพบว่ามีทหารกัมพูชาร่วมในเหตุการณ์และไม่ได้มีท่าทีในการห้ามปรามประชาชน เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงการใช้ประชาชนออกหน้าในการยั่วยุ รุกล้ำดินแดน และกระทำการที่ผิดกฎหมายไทยอย่างชัดเจน ซึ่งทางการไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมการจลาจล โดยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับฝ่ายปกครอง เข้าดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อรักษาความสงบและบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ ซึ่ง ณ วันนี้สถานการณ์ก็ยังไม่มีท่าทีคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาไม่มีท่าทีและความจริงจังในการดำเนินการต่อปัญหาดังกล่าว
จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมด คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงมาโดยตลอด และไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ทั้งยังพยายามสร้างปัญหาเพิ่มเติม ผ่านการนำมวลชนและองค์กรต่างๆ มาใช้ในการแสดงออก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ให้เป็นผู้แสวงหาสันติภาพ และเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำโดยฝ่ายไทย
ทั้งที่ ความจริงนั้นกลับย้อนแย้งโดยสิ้นเชิง ที่ชัดเจนว่า กัมพูชาคือผู้สร้างปัญหา ริเริ่มให้เกิดความขัดแย้ง และใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งนั้นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง โดยไม่สนใจในความเดือดร้อนของประชาชน และความสัมพันธ์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมอาเซียนที่มีมาอย่างยาวนาน
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร กองทัพบกจะยืนหยัดในความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาตามกรอบนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม ปฏิบัติตามแนวทางดำเนินการต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย ตามกฎการใช้กำลังสากล (ROE-Rules of Engagement) เมื่อการกระทำเข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Act) หรือเจตนาที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Intent)
โดยเฉพาะหากเป็นการสอดแนมหรือเตรียมโจมตี ซึ่งสามารถใช้เป็นเหตุเริ่มการป้องกันตนเองได้ ทั้งในมาตรการเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อปกป้องอธิปไตย รักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ