ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยปี 2565 ให้การปฎิเสธรับบริจาคเลือดแก่กลุ่ม LGBTQ+ ไม่ถือเป็นการเลือกปฎิบัติ ชี้วัตถุประสงค์เพื่อคัดกรองโลหิตที่มีความปลอดภัย
วันนี้ (19 ก.ย.) ศาลปกครองกลางมีคําพิพากษาในคดีหมายเลขดําที่ 1062/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 1961/2568 ระหว่าง สภากาชาดไทย (ผู้ฟ้องคดี) คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (ผู้ถูกฟ้องคดี) โดยผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า นาย ป. (ผู้ร้อง) มีเพศกําเนิดเป็นชายแต่มีเพศสภาพเป็นหญิง และมีการแสดงออกแตกต่างจากเพศโดยกําเนิดได้ยื่นคําร้องต่อผู้ถูกฟ้องคดีขอให้ตรวจสอบการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ โดยกล่าวหาว่า ผู้ร้องได้ไปขอบริจาคโลหิตที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติของผู้ฟ้องคดีและทําตามขั้นตอนในการบริจาคโลหิต แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธไม่รับบริจาคโลหิตของผู้ร้อง เนื่องจากเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคําวินิจฉัยตามคําร้องที่ 01/2563 เรื่องที่แล้วเสร็จเลขที่ 01/2565 ลงวันที่ 1 มีนาคม 2565 ว่า แบบคัดกรองของผู้ฟ้องคดีในปัจจุบันและการสัมภาษณ์โดยเจ้าหน้าที่ไม่อาจคัดกรองพฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างแท้จริง และเป็นวิธีการที่ไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์การคัดกรองโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพได้ เพราะผู้ให้ข้อมูลอาจไม่ให้ข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริงและบางเรื่องยังขาดความชัดเจน
การที่ผู้ฟ้องคดีปฏิเสธไม่รับบริจาคโลหิตของผู้ร้องเพราะแบบคัดกรองดังกล่าว จึงเข้าลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และไม่เข้าลักษณะเป็นการกระทําที่เป็นไปเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัยที่จะได้รับการยกเว้น ไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ จึงมีคําสั่งให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติของผู้ฟ้องคดีดําเนินการกําหนดนโยบายในการรับบริจาคโลหิตโดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณาจากพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงของผู้บริจาคแทนระบบการคัดกรองโลหิตเดิม และประชาสัมพันธ์นโยบายดังกล่าวในสื่อต่างๆ เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบโดยทั่วกัน ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วย จึงนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําวินิจฉัยดังกล่าว
ศาลปกครองกลางมีคําวินิจฉัยว่า ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติเป็นส่วนหนึ่งของผู้ฟ้องคดี และเป็นองค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหากําไรได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นแกนกลางในการให้บริการโลหิตของประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2508 โดยองค์การอนามัยโลกได้กําหนดเป้าหมายงานบริการโลหิตที่มีประสิทธิภาพว่า ทุกประเทศควรมีโลหิตและผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย เพียงพอ และมีต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติของผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่รับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทั้งผู้บริจาคโลหิตและผู้รับบริจาคโลหิต
กรณีจึงเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีมีความจําเป็นที่จะต้องทําการคัดกรองโลหิตเพื่อให้ได้โลหิตที่มีความปลอดภัย เมื่อพิจารณาข้อมูลการกําหนดให้งดบริจาคโลหิตสําหรับเพศชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชายของนานาประเทศมีข้อมูลตรงกันว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง เมื่อข้อมูลการกําหนดให้งดบริจาคโลหิตในกรณีดังกล่าวของประเทศไทยยังมิได้กําหนดช่วงเวลาที่จะงดรับบริจาคโลหิตไว้ ผู้ฟ้องคดีย่อมไม่อาจปฏิบัติต่อผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวเป็นอย่างอื่นได้
และเมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้บริจาคโลหิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวกับประโยชน์ของผู้รับบริจาคโลหิตที่จะได้รับโลหิตที่มีความปลอดภัยแล้ว หากให้ผู้บริจาคโลหิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวบริจาคโลหิตได้โดยยังมิได้กําหนดแนวทางปฏิบัติไว้เป็นการเฉพาะ จากข้อมูลการศึกษาวิจัยอย่างเหมาะสมจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลดังกล่าวน้อยมาก และไม่คุ้มกับความเสียหายที่จะก่อให้เกิดขึ้นแก่ผู้ป่วย ผู้รับบริจาคโลหิต หรือสังคมโดยส่วนรวมที่มีโอกาสได้รับโลหิตที่ไม่ปลอดภัย จึงเห็นได้ว่า หากไม่มีการใช้แบบคัดกรองโลหิตและการสัมภาษณ์โดยเจ้าหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีอาจจะทําให้เกิดความปลอดภัยในโลหิตที่บริจาคลดน้อยลง
การที่ผู้ฟ้องคดีใช้แบบคัดกรองและการสัมภาษณ์โดยเจ้าหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี เพื่อความปลอดภัยของผู้บริจาคโลหิตและความปลอดภัยของผู้ป่วยที่ต้องใช้โลหิต จึงเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วนแล้ว แม้การปฏิเสธรับบริจาคโลหิตจากผู้ร้องของเจ้าหน้าที่จะมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ร้อง แต่การกระทําดังกล่าวมีวัตถุประสงค์และความมุ่งหมายเพื่อคัดกรองโลหิตที่มีความปลอดภัยตามเป้าหมายงานบริการโลหิตที่มีประสิทธิภาพของผู้ฟ้องคดี อันเป็นเหตุผลที่หนักแน่นควรค่าแก่การรับฟังได้ การที่ผู้ฟ้องคดีไม่รับบริจาคโลหิตของผู้ร้องจึงมีลักษณะเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้รับบริจาคโลหิตที่ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศตามมาตรา 3 ประกอบมาตรา 17 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่มีอํานาจที่จะออกคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีดําเนินการต่าง ๆ ได้ตามมาตรา 20 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคําวินิจฉัยเรื่องที่แล้วเสร็จเลขที่ 01/2565 ลงวันที่ 1 มีนาคม 2565 ที่ให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติของผู้ฟ้องคดีดําเนินการกําหนดนโยบายในการรับบริจาคโลหิตที่อาจไม่ปลอดภัย โดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณาจากพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงของผู้บริจาค แทนระบบการคัดกรองโลหิตที่พิจารณาความเสี่ยงที่กําหนดตามเพศหรือเพศสภาพ ของกลุ่มบุคคลที่ผู้ฟ้องคดีระบุให้เป็นกลุ่มผู้บริจาคที่มีความเสี่ยงสูง และประชาสัมพันธ์นโยบายการรับบริจาคโลหิตจากบุคคลทุกเพศในสื่อต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบโดยทั่วกัน โดยให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคําวินิจฉัย จึงเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ดี การที่ผู้ฟ้องคดีออกบัตรประจําตัวชั่วคราวสําหรับผู้บริจาคโลหิตให้แก่ผู้ร้องกรณีเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีเชื้อเอชไอวีในโลหิต ทําให้ผู้ร้องไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ตลอดชีวิตนั้น เมื่อผู้ฟ้องคดีมิได้มีข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้งว่าผู้ร้องมีเชื้อเอชไอวีในโลหิต ประกอบกับเมื่อบุคคลผู้ที่ได้ทราบกรณีพิพาทดังกล่าวจากสื่อสาธารณะเกิดความเข้าใจว่า ผู้ร้องเป็นผู้ที่มีโลหิตไม่ปลอดภัยและเป็นบุคคลที่มีเชื้อเอชไอวี จนเกิดการดูหมิ่นหรือเยาะเย้ยผู้ร้องอย่างร้ายแรง การกระทําของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นการกระทบต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของผู้ร้องเพื่อนําไปสู่ความเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ อันเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการปกป้องอัตลักษณ์ของมนุษย์และคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์แต่ละคน ที่ผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นองค์กรของรัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพต่อการแทรกแซงของผู้ฟ้องคดีได้
แม้คู่กรณีจะไม่ได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมากล่าวอ้าง แต่โดยที่ประเด็นดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจึงยกขึ้นมาวินิจฉัยตามข้อ 92 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ไว้ด้วย และพิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีเรื่องที่แล้วเสร็จเลขที่ 01/2565 ลงวันที่ 1 มีนาคม 2565 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีคําวินิจฉัยดังกล่าว สําหรับคําสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 นั้น ให้มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น